Ads Service

Main Menu

 
icon_home.gif Homepage
icon_community.gif Members Zone
· ข้อมูลส่วนตัว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ข่าวสารส่วนตัว
· บริการเว็บเมล์
· กระดานข่าว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก กระดานฝากข้อความ
· รถไฟไทยแกลลอรี่
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก รายนามสมาชิก
· แบบสำรวจ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก สมุดเยี่ยม
· เกี่ยวกับสมาชิก
favoritos.gif News & Stories
· เรื่องทั้งหมด
· เนื้อหาสาระ
· เรื่องสำหรับพิมพ์
· ยอดฮิตติดอันดับ
· ค้นหาข่าวสาร
· ค้นหากระทู้เก่า
nuke.gif Contents
· กำหนดเวลาเดินรถ
· ประเภทขบวนรถโดยสาร
· ข้อมูลเส้นทางรถไฟ
· แผนที่เส้นทางรถไฟ
· อัตราค่าโดยสาร
· คำนวณค่าโดยสารรถไฟ
· รูปแบบการให้บริการรถไฟ
· หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
· ทริปท่องเที่ยวโดยรถไฟ
· ระบบติดตามขบวนรถ
som_downloads.gif Services
· Downloads
· GoogleSearch
· Hotels Booking
· FlashGames
· Wallpaper 1
· Wallpaper 2
· Wallpaper 3
· Wallpaper 4
icon_members.gif Information
· เกี่ยวกับเรา
· นโยบายความเป็นส่วนตัว
· แผนผังเว็บไซต์ฯ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ส่งข้อแนะนำติชม
· ติดต่อลงโฆษณา
· แนะนำและบอกต่อ
· สถิติทั้งหมด
· สำหรับผู้ดูแลระบบ
 

Sponsors

 

Rotfaithai Gallery in Facebook

 

Visitors

 


มีผู้เข้าเยี่ยมชม
สมาชิก:311283
ทั่วไป:13264004
ทั้งหมด:13575287
คน ตั้งแต่
01-08-2004
 


วิวัฒนาการของตั๋วรถไฟไทย





 

     ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ประเทศฝรั่งเศส และอังกฤษ ได้แผ่อิทธิพลเข้ายึดครองประเทศในแถบอินโดจีน และมีแผน ที่จะเข้ายึดครองดินแดนไทย ให้เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสและอังกฤษ ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงตัดสินพระทัย ให้สร้างทางรถไฟหลวงจากกรุงเทพ ถึงนครราชสีมา เพื่อให้เป็นเส้นทางการคมนาคม และใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์

     หลังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง กรมรถไฟ (Thai State Railways) ขึ้น ในเดือนตุลาคม ปี พ.ศ. 2433 และให้ มิสเตอร์ เค. เบทเก ชาวเยอรมันเป็นเจ้ากรมรถไฟคนแรก ภายใต้ เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ (กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา) ต่อมาเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2434 (ร.ศ.110) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงเสด็จพระราชดำเนิน มาทรงประกอบพระราชพิธีทำพระฤกษ์ และทรงขุดดินประเดิมทางรถไฟ เพื่อเริ่มก่อสร้างทางรถไฟสาย กรุงเทพ–นครราชสีมา บริเวณย่านสถานีหัวลำโพงในปัจจุบัน และทรงเปิดดำเนินการ ให้ประชาชนเดินทางไปมาระหว่าง สถานีกรุงเทพ–กรุงเก่า (อยุธยา) ซึ่งเป็นระยะทาง 71 กม.ได้ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2439 (ร.ศ.115) เป็นต้นมา

     ตั๋วหนาที่ใช้ในอดีต เป็นไปตาม มาตรฐาน Edmonson คือ ต้องมีความหนาระหว่าง 0.6 - 0.8 มม. กว้าง 30.5 มม. และ ยาว 57 มม. ผิวหน้าหลังตั๋วต้องซับซึมหมึกชัดเจนเรียบลื่น และมีความแข็งเพียงพอ ไม่หักงอขณะพิมพ์ โดยตั๋วหนาที่ใช้สมัยก่อน เป็นผลิตภัณฑ์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ

     เนื่องจากมีผู้เสนอขายผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ ที่มีราคาต่ำกว่า แต่คุณภาพเท่าเทียมของต่างประเทศ แรกๆ ก็มีผู้ขายเพียงรายเดียว ต่อมาระยะหลัง มีผู้ขายเพิ่มขึ้นเป็นหลายราย ทำให้เกิดการแข่งขันกันด้วยราคา เนื่องจากทางการรถไฟฯ ได้มีการกำหนดพิจารณา โดยใช้ราคาต่ำเป็นเกณฑ์ จึงทำให้ผู้ขาย ได้ลดคุณภาพตั๋วลง

     สันนิษฐานว่า ต้นแบบของตั๋วหนา นำมาจากประเทศเยอรมันนี เพราะในอดีตต้องสั่งตั๋วหนานำเข้ามาจากยุโรป แม้แต่การรถไฟของประเทศมาเลเซีย (รฟม.) ก็มีตั๋วหนาขนาดเดียวกับของเราเช่นกัน โดยแรกเริ่มสีของตั๋วหนา จะบ่งบอกถึงชั้นที่นั่งของตั๋ว เช่น ชั้นที่ 1 ใช้ตั๋วหนาสีเหลือง ส่วน ชั้นที่ 2 ใช้ตั๋วหนาสีเขียว และ ชั้นที่ 3 ใช้ตั๋วหนาสีส้ม โดยมีลักษณะเด่น ของตั๋วทุกใบจะมีการพิมพ์คำว่า The State Railway of Thailand ติดต่อกันเต็มด้านหน้าของของตั๋ว เพื่อกันการปลอมของตั๋วเหมือนการพิมพ์ธนบัตร

     กรมรถไฟฯ ได้สั่งซื้อเครื่องพิมพ์ตั๋วรุ่น G.Goebel Masch No.781, 1219 ประเทศเยอรมันนี และได้ขึ้นบัญชีไว้ เมื่อวันที่ 1 กรกฏาคม พ.ศ. 2494 โดยได้ให้จัดพิมพ์ตั๋วหนาภายในประเทศ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ต่อมาได้สั่งซื้อเครื่องพิมพ์ตั๋ว Kunitomo No. 1205, 1216 จากประเทศญี่ปุ่น และขึ้นบัญชีเมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ. 2497 และได้สั่งซื้อเครื่องพิมพ์ตั๋วรุ่น G. Goebel Masch No.1384, 1385 Mod. FDO. เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2519 เพื่อทดแทนเครื่องเดิม จนกระทั่งเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 การรถไฟฯ จึงได้ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตั๋วใหม่ มาให้บริการประชาชน โดยออกตั๋วด้วยระบบคอมพิวเตอร์ แบบสมัยใหม่ โดยใช้ควบคู่กับตั๋วหนา เนื่องจากสถานีที่ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ ก็คงให้ใช้ตั๋วหนา จนกระทั่ง ทุกสถานีมีคอมพิวเตอร์ใช้ แล้วจึงค่อยยกเลิกการใช้ตั๋วหนา

     การรถไฟฯ มีแผนกพิมพ์ตั๋วโดยสารและเอกสารการเงิน ที่ฝ่ายการเงินและการบัญชี โดยมีตั๋วหนาสีต่างๆ และมีลายหลายแบบ เช่น ตั๋วสีฟ้า ตั๋วสีขาวทแยงมุมเขียว ตั๋วสีเหลือง ตั๋วสีเหลืองคาดส้มวงกลมขาว ตั๋วสีชมพู ตั๋วลดครึ่งราคาชั้นสาม และมีการลดราคาแบบลดขาดหรือลดไม่ขาด

     "การลดขาด" หมายถึง ตั๋วที่การรถไฟฯ ลดให้โดยไม่ได้รับเงินชดเชยใดๆ ได้แก่ ครฟ. ผอ. และเด็ก ส่วน "การลดไม่ขาด" หมายถึง ตั๋วที่การรถไฟ ได้รับเงินชดเชย จากรัฐบาลหรือหน่วยงานอื่น ที่มีการตกลงร่วมกับการรถไฟฯ

     แรกเริ่มมีการแบ่งตั๋วแยกกัน ระหว่างค่าโดยสารและค่าธรรมเนียม โดยมีตั๋วหนาค่าธรรมเนียมรถเร็ว 20 บาท ตั๋วหนาค่าธรรมเนียมรถด่วน 30 บาท และ ตั๋วหนาค่าธรรมเนียมรถปรับอากาศ 50 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 มีการรวมค่าธรรมเนียมรถด่วนหรือรถเร็ว ค่าธรรมเนียมรถด่วนรถปรับอากาศ เข้ากับค่าโดยสารเป็นตั๋วใบเดียวเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อความสะดวกของผู้โดยสาร ไม่ต้องถือตั๋วหลายใบ และเป็นการลดต้นทุนในการผลิตอีกด้วย เช่น ตั๋วหนา กรุงเทพ-นครสวรรค์ ชั้น 3 รวม ค่าธรรมเนียมรถเร็ว เป็นเงิน 68 บาท ต่อมา เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2525 ได้มีการกำหนดระเบียบใหม่ ในการพิมพ์ตั๋วหนาเที่ยวเดียวรวมค่าธรรมเนียมต่างๆขึ้นใหม่

     ก่อนปี พ.ศ. 2529 ตามสถานีต่างๆ ยังมีการจำหน่ายตั๋วครึ่งราคา โดยวิธีตัดครึ่งตั๋วหนา ทำให้การจำหน่ายตั๋ว ไม่สะดวกรวดเร็ว และทำให้เกิดความยุ่งยากทางบัญชี จึงได้มีการกำหนดตั๋วครึ่งราคาออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ประเภท "ลดค่าโดยสารขาด" และ "ลดค่าโดยสารไม่ขาด" โดยมีการกำหนดสีของตั๋ว และเครื่องหมายสังเกต แตกต่างจากตั๋วหนาทั่วไป เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 โดยกำหนดพิมพ์บนตั๋วหนาเที่ยวเดียวว่า “ครึ่งราคา ครฟ. และเด็ก” มีเฉพาะชั้นที่ 2 เป็นสีฟ้า ส่วนชั้น 3 เป็นสีชมพู

     ปี พ.ศ. 2529 เสนอให้นำตั๋วสีขาวทแยงส้มพิมพ์เป็นตั๋วไป-กลับ แทนการพิมพ์ตั๋วสีขาวคาดน้ำเงิน (ฟ้า) หลังจากนั้นมีการยกเลิก การพิมพ์ตั๋วเป็นตั๋วไป-กลับ ให้ใช้พิมพ์ตั๋วสีขาวทแยงส้ม เป็นตั๋วราคาพิเศษรวมค่าธรรมเนียมรถเร็วชั้น 3 เช่น ด้านหน้าตั๋ว กำหนดพิมพ์ กรุงเทพ- พิษณุโลก ราคาพิเศษรวมค่าธรรมเนียมรถเร็ว ชั้นที่ 3 ราคา 80 บาท ด้านหลังตั๋ว พิมพ์ ใช้กับขบวนธรรมดาไม่คืนเงินค่าธรรมเนียมรถเร็วให้ คันที่.........เลขที่นั่ง............ ต่อมา มีการร้องเรียนจากประชาชนที่ต้องการให้มีตั๋วไป-กลับ เพื่อสะดวกแก่การโดยสารสำหรับระยะทางไม่เกิน 100 กม. ฝ่ายการเดินรถพิจารณาแล้ว จึงให้พิมพ์ตั๋วไป-กลับ ขึ้นใหม่ โดยใช้ตั๋วสีขาวคาดเหลือง ต่อมามีตั๋วสีบางชนิดค้างสต็อก เช่น ตั๋วสีขาวคาดเหลือง ตั๋วสีขาวทแยงมุมส้ม จึงได้นำมาพิมพ์เป็นตั๋วไปกลับจนกว่า จะมีการสั่งซื้อใหม่

     การลดค่าโดยสารไม่ขาด หรือการลดค่าโดยสารขาด จะมีสีของตั๋วและเครื่องหมายสังเกต แตกต่างไปจากตั๋วหนาทั่วไป ชั้นสองใช้สีฟ้า ชั้นสามใช้สีชมพู เช่นตั๋วหนาเที่ยวเดียวพิมพ์ว่า "ครึ่งราคา ครฟ. และเด็ก" มีเฉพาะชั้นที่สองและสามเท่านั้น ส่วนการจำหน่ายตั๋วผู้โดยสารต้องมีบัตร ครฟ. มาแสดงหรือเด็กที่มีความสูงอยู่ในเกณฑ์เสียค่าโดยสารครึ่งราคา

 

ตั๋วหนาสีต่างๆ พิมพ์ใน ปี พ.ศ. 2538

 
สีของตั๋ว ประเภทและความหมาย
สีส้มคาดแดง ตั๋วค่าธรรมเนียมรถเร็วชั้น 3 ราคาพิเศษ เต็มราคา รถธรรมดา
สีส้มคาดเหลือง ไปกลับ เต็มราคา
สีฟ้า ลดราคาขบวนเชิงพาณิชย์
สีชมพู

ลดราคาสายใหม่ เที่ยวเดียว ครึ่งราคา ผู้มีสิทธิลดขาด มีเครื่องหมาย วงกลม/ครึ่งวงกลม
ราคาพิเศษ รถปรับอากาศ ลดขาด/ลดไม่ขาด วงกลม/ครึ่งวงกลม

สีชมพูคาดเหลือง ไปกลับ ครึ่งราคา ผู้มีสิทธิลดขาด ลดไม่ขาด มีเครื่องหมาย วงกลม/ครึ่งวงกลม
สีขาวทแยงมุมเขียว ตั๋วไปกลับสายแม่กลอง
สีขาวทแยงมุมส้ม สายแม่กลอง และสายใหญ่ (ราคาพิเศษ)
สีส้ม สายใหญ เที่ยวเดียว เต็มราคา ราคาพิเศษชานเมือง 10, 20, 30 บาท
สีขาวทแยงมุมเหลือง สายใหญ่
สีขาวคาดเหลือง สายใหญ่
สีขาวคาดแดง สายใหญ่ (ธ.รถเร็ว)
สีเขียวอ่อน สายใหญ่เชิงพาณิชย
สีขาวคาดส้ม สายใหญ่ (ธ.รถเร็ว)
สีขาวคาดชมพู ตั๋วค่าธรรมเนียม ปรับอากาศ
สีเขียวคาดแดง ตั๋วค่าโดยสารรวมค่าธรรมเนียมรถเร็ว
สีเขียวคาดเหลือง ตั๋วค่าโดยสารรวมค่าธรรมเนียมรถด่วน
 

     ปี พ.ศ. 2539 มีการใช้ตั๋วสีส้มคาดเหลือง ตั๋วสีชมพูคาดเหลือง ส่วนตั๋วที่ยกเลิกจะใช้ทยอยพิมพ์ตั๋วเชิงพาณิชย์

      เพื่อความทันสมัย ภาพพจน์ขององค์กร และความสะดวกรวดเร็ว ในการให้บริการ จึงได้มีการเริ่ม โครงการขายตั๋วด้วยคอมพิวเตอร์ (Seat Ticketing and Reservation System: STARS ระยะที่ 1) เริ่มมีการขายตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 โดยเริ่มให้บริการ 103 สถานี โดยมีคอมพิวเตอร์ใช้งาน 200 เครื่องประกอบด้วยสถานีที่เป็นแบบ Online จำนวน 39 สถานี ในภาคเหนือใช้คอมพิวเตอร์ 64 เครื่อง ภาคใต้ใช้คอมพิวเตอร์ 33 เครื่อง ภาคอีสานใช้คอมพิวเตอร์ 16 เครื่อง และกรุงเทพใช้คอมพิวเตอร์ 10 เครื่อง ส่วนสถานีแบบ Offline 64 สถานี ในภาคเหนือ 22 เครื่อง ภาคใต้ 24 เครื่อง ภาคอีสาน 25 เครื่อง และกรุงเทพ 6 เครื่อง โดย บริษัทดิจิทัลอินฟอร์เมชั่น (บริษัท ซี ดี จี ซิสเต็มส์จำกัด) ได้ร่วมมือกับบริษัท Korea Computer Corporation (KCC) จากประเทศเกาหลี ใช้เงินประมาณ 110 ล้านบาท โดยตั๋วที่พิมพ์ออกมาจะมีลักษณะเป็นกระดาษบางๆ มีสำเนาเพียงหนึ่งฉบับ มีลักษณะกว้าง 75 ซม. ยาว 130 ซม. ดังรูป

     ต่อมาได้มีปัญหา Y2K จึงได้มีการปรับปรุงระบบให้ดีขึ้น และขยายขอบเขตของระบบมากขึ้น จึงเริ่ม โครงการขายตั๋วด้วยคอมพิวเตอร์ (Seat Ticketing and Reservation System: STARS ระยะที่ 2) โดยบริษัทปรีดาปราโมทย์ อายุสัญญา 12 ปี เริ่มวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2541 ใช้เงินประมาณ 803 ล้านบาท โดยเริ่มเปิดให้บริการและใช้งานเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2542 มีจำนวน 103 สถานี และวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 เพิ่มอีกจำนวน 343 สถานี รวมเปิดใช้บริการทั้งสิ้นจำนวน 446 สถานี และมีคอมพิวเตอร์ จำนวน 799 เครื่อง สัญญาจะสิ้นสุด วันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ส่วนตั๋วที่ออกมาจากโครงการนี้ มีลักษณะเป็นกระดาษบางๆ มีสำเนา หนึ่งฉบับเช่นกัน มี ทั้งแบบสั้นใช้สำหรับเชิงสังคมโดยมีลักษณะกว้าง 63 ซม. ยาว 75 ซม. และแบบยาวเชิงพาณิชย์ โดยมีลักษณะกว้าง 75 ซม. ยาว 200 ซม. ดังรูป

     นอกจากนี้หากผู้โดยสารไม่ได้ซื้อตั๋วที่สถานี ก็สามารถซื้อบนขบวนรถได้ แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น โดยพนักงานห้ามล้อ (ตัดตั๋ว) จะออกตั๋วบาง หากเป็นขบวนรถวิ่งระยะสั้นๆ และผู้โดยสารขึ้นที่ป้ายหยุดรถ ผู้โดยสารก็สามารถซื้อบนขบวนรถได้ โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่ม เพราะป้ายหยุดรถไม่มีการจำหน่ายตั๋วด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ เราเรียกตั๋วชนิดนี้ว่า ตั๋วบางสำเร็จรูปหรือตั๋วฉีก เพราะมีการฉีกให้ครบจำนวนเงิน ที่ผู้โดยสารจ่ายตามระยะทางที่ผู้โดยสารเดินทาง

     ส่วนตั๋ว VIP Card หรือบัตรโดยสาร วี.ไอ.พี ราคา 350 บาท ราคาเดียวทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ลักษณะเป็นแผ่นพลาสติกบาง แบบบัตรเครดิต ใช้โดยสารเฉพาะชั้น 3 ทุกขบวนให้บริการสำหรับการเดินทางสำหรับรถชานเมืองไปกลับ ระหว่างสถานีกรุงเทพ/ธนบุรี กับสถานีเชียงราก ตลิ่งชัน และหัวตะเข้ ใช้เดินทางภายใน 1 เดือน นับแต่วันเริ่มต้นการเดินทาง

     นอกจากนี้ ยังมีตั๋วเดือนสำหรับนักเรียน นักศีกษา หรือประชาชนทั่วไป มีทั้งเที่ยวเดียว และไปกลับ ตั๋วผ่านเขต ตั๋วหมู่คณะในการเช่าเหมาตู้เพื่อการโดยสาร

     มี ตั๋ว Visit Thailand Rail Pass เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับผู้โดยสารชาวต่างประเทศ มี 2 สี สีแดงแบบรวมค่าธรรมเนียม ผู้ใหญ่ ราคา 3,000 บาท เด็ก ราคา 1500 บาท ส่วนสีน้ำเงินเป็นราคาที่ไม่รวมค่าธรรมเนียม คิดราคาผู้ใหญ่ 1,500 บาท เด็กเพียง 750 บาท ใช้เดินทางได้ทุกสายภายใน 20 วัน นับแต่วันเริ่มการเดินทาง ดังรูป

     ในโอกาสพิเศษหลายวาระ การรถไฟฯ ยังได้จัดพิมพ์ตั๋วแบบบัตรเครดิต หรือตั๋วแบบพลาสติก โดยมีรูปลักษณ์แตกต่างกัน อาทิ เช่น คราวที่ประเทศไทย เป็นเจ้าภาพจัดงานชุมนุมลูกเสือโลกครั้งที่ 2 ที่หาดยาว ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ลูกเสือใช้รถไฟเดินทางจากดอนเมือง-แจมโบรี ก็จัดการพิมพ์ตั๋ว เฉพาะการขึ้น หรือเมื่อวันที่ 6-20 ตุลาคม พ.ศ. 2541 ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 13 การรถไฟฯ จึงได้จัดทำตั๋วเฉพาะกิจขึ้นอีกด้วย

 

 

อนุเคราะห์ข้อมูลโดย : ดร.ศิริพงศ์ พฤทธิพันธุ์
ผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถ การรถไฟแห่งประเทศไทย
อนุเคราะห์ภาพประกอบโดย : การรถไฟแห่งประเทศไทย
เรียบเรียงลงเว็บไซต์โดย : CivilSpice









สงวนลิขสิทธิ์โดย © Rotfaithai.Com : All Right Reserved.

อนุญาตให้นำเนื้อหาไปใช้ได้ เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
หากจะนำไปเผยแพร่ยังเว็บไซต์ หรือสื่ออื่นๆ กรุณาขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร
พร้อมระบุอ้างอิงถึงแหล่งที่มาของข้อมูล ให้ถูกต้องและชัดเจน

ติดประกาศ: 2008-05-04 (8056 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]


Content ©