ข่าวรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน)

[kikoo]

พฤษภาคมนี้นายกฯจะประกาศยุบสภา และถ้าหากเกิดผลัดเปลี่ยนพรรครัฐบาลขึ้นมา อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยครับ เชื่อเถอะโครงการของ รฟท.ทั้งหมดคงขาดตอนและถูกลืมเหมือนเดิมนั้นแหล่ะครับ(แต่ไหงกรมทางฯมันสานต่อโครงการได้(ว่ะ)) ทั้งรถจักรใหม่เอย ทางคู่เอย เผลอๆHSTอาจจะโดนหางเลขด้วย

แต่ไม่เป็นไรถ้าHSTโดนยุบน่ะก็ดีแล้ว เพราะไม่เป็นประโยชน์กับผู้ใช้บริการส่วนใหญ่เลย ยังไงซะทางคู่+รถจักรใหม่ยังได้ประโยชน์มากกว่าและคุ้มกับภาษีที่พ่อแม่ผม(และสมาชิกท่านอื่น)ต้องจ่ายไปทุกปีด้วย...
_________________
ความคืบหน้าโครงการปรับปรุงทางช่วงที่วัง-กันตัง
http://portal.rotfaithai.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=5618

[Wisarut]

ผ่านเอ็มโอยู'รถไฟไทย-จีน'
โดย กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ
หน้า อสังหา Real Estate - อสังหาฯ-คมนาคม
ออนไลน์เมื่อ วันอังคารที่ 22 มีนาคม 2011 เวลา 12:30 น.
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,620 24-26 มีนาคม พ.ศ. 2554

คมนาคมลุ้นโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทาง "หนองคาย-กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์" ล่าสุดคณะกรรมการระดับรัฐบาลที่มี "สุเทพ เทือกสุบรรณ" เป็นประธาน อนุมัติผ่านร่างเอ็มโอยูพร้อมดันให้เกิดในรัฐบาลชุดนี้ คาดเริ่มขั้นตอนเจรจาจีนต้นเม.ย.นี้

นายจุฬา สุขมานพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม และประธานคณะทำงานย่อยเพื่อดำเนินการจัดทำร่างบันทึกข้อตกลงร่วม(เอ็มโอยู)ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าที่ประชุมคณะกรรมการประสานงานความร่วมมือเศรษฐกิจไทย-จีน ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2554 ที่ผ่านมาได้เห็นชอบร่างเอ็มโอยู โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย ตามที่กระทรวงคมนาคมนำเสนอ โดยขั้นตอนต่อไปนั้นได้มอบหมายให้คณะทำงานเพื่อดำเนินงานความร่วมมือด้านรถไฟ ระหว่างไทย-จีน ฝ่ายไทย ที่มีนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานจะเริ่มขั้นตอนการเจรจาหาและสรุปร่างเอ็มโอยูทั้งสองฝ่าย(ไทย-จีน)ต่อไป

"คาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะยื่นให้จีนพิจารณารายละเอียดเพื่อให้ทันต่อการนำเสนอสภาพิจารณาในเดือนเมษายน 2554 ซึ่งได้มีการนัดหมายกับทางจีนไว้แล้ว โดยจะเริ่มการเจรจาต่อจากนั้นจึงมาจัดทำเป็นเอ็มโอยูฉบับสมบูรณ์เพื่อนำเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบ ก่อนที่จะมีการนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรต่อไป จากนั้นจึงไปลงนามร่วมกันอย่างเป็นทางการ โดยกระบวนการทั้งหมดน่าจะเสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้ แต่ก็เกรงว่าหากไม่ทันก่อนการยุบสภาเกิดขึ้นอาจส่งผลต่อความล่าช้าได้เช่นกัน"

ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ในส่วนของร่างเอ็มโอยูของทางฝ่ายไทยนั้น มีสาระสำคัญ ประกอบด้วย การจัดตั้งรัฐวิสาหกิจขึ้นมาตามกฎหมายไทย เพื่อดำเนินการพัฒนาการก่อสร้างโครงการทั้งหมด โดยจะต้องรักษาสัดส่วนการถือหุ้นของฝ่ายไทยไม่ต่ำกว่า 51 % และฝ่ายจีน 49 % ด้วย

ทั้งนี้โครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย มีระยะทาง 615 กิโลเมตร มีวงเงินลงทุนประมาณ 1.5 แสนล้านบาท เบื้องต้นกระทรวงคมนาคมได้กำหนดกรอบเวลาไว้ว่าหลังจากได้มีการลงนามอย่างเป็นทางการช่วงกลางปี 2554 นี้ ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการร่วมกันระหว่างไทย-จีนดำเนินการศึกษาทางวิศวกรรมและสำรวจออกแบบโครงการประมาณ 1 ปี และเริ่มก่อสร้างในปลายปี 2555 โดยใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4 ปี คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2559

ด้าน นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง กล่าวว่าในส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางอื่น ๆ นั้นขณะนี้กระบวนการร่างกฎหมายร่วมทุน"พีพีพี"ได้เร่งดำเนินการใกล้แล้วเสร็จ เพื่อให้สามารถใช้บังคับกับการพัฒนาโครงการเมกะโปรเจ็กต์สำคัญ ๆ ของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

"ได้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นไปแล้ว 2-3 ครั้งจากหลาย ๆ ฝ่าย ขณะนี้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างสรุปความถูกต้องเพื่อนำเสนอในระดับสูงเพื่อการอนุมัติต่อไป เมื่อประกาศใช้ก็น่าจะช่วยให้โครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น"นายสมชัยกล่าว

[nop2]

เต็มใจโดนหลอกเพื่อให้รถสินค้าจริงวิ่งแท้ๆ ไม่ใช่ทางรถไฟความเร็วสูง แต่ดันบอกว่าเป็นรถไฟความเร็วสูง
_________________
"You are star I am darkness Our love brighter than the sun .."

[Wisarut]

มีข่าวลือแพร่สะพัดว่าทางฝั่งลาวอาจขอให้จีน ลดสเปก โดยการตัดระบบรถไฟฟ้าออก เนื่องจาก ลาวไม่ยอมให้ จีนแดงใช้ไฟฟ้า ทุกเมกกาวัตต์จาก เขื่อนน้ำงึมไปใช่เดินรถไฟฟ้า เนื่องจาก ไฟฟ้าจากเขื่อนน้ำงึมเป็นบ่อเงินบ่อทองคำของรัฐบาลลาว ในการได้เงินดอลลาร์จากฝั่งไทย เท็จจริงอยู่ที่ผู้เล่า

[Wisarut]

นักวิชาการแนะรับมือจีน 'รู้เข้า รู้เรา รู้จริงและรู้เท่าทัน'
คอลัมน์: ศูนย์ข้อมูลธุรกิจ
หน้าธุรกิจ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
วันที่ 25 มีนาคม 2554 14:44
Tags : การค้าอาเซียน-จีน ความท้าทายของ "ทุนไทย"

กรุงเทพธุรกิจ รายงานคำต่อคำ ผศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในงานสัมมนา การค้าอาเซียน-จีน ความท้าทายของ "ทุนไทย" จัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ว่า

"ประเด็นจีนภิวัฒน์ เปรียบเทียบง่ายๆ เมื่อเรารู้จัก Globalization หรือ โลกาภิวัตน์ แล้วถ้าเราเทียบตัวชี้วัดเดียวกันเราก็จะดูจากการค้า การลงทุน บริการ การท่องเที่ยวและสาขาต่างๆ ในแง่ของจีนภิวัฒน์กับโลกาภิวัฒน์ก็ดูจากด้านบิซิเนสเป็นอย่างไร ด้านเทคโนโลยีเป็นอย่างไรและด้านวัฒนธรรมเป็นอย่างไร ดูด้านบิซิเนสก่อนไม่มีที่ไหนในโลกที่ไม่มีสินค้าจีนไปขาย

ดิฉันไปจีนหลายครั้งพบพ่อค้าจากมัลดีฟไปซื้อสินค้าจากจีน เพราะมัลดีฟไม่มีการผลิตสินค้าจึงยืนยันได้ว่าไม่มีที่ไหนในโลกไม่มีสินค้าจีนไปขาย และกระแสจีนตอนนี้มีทุนจีนเดินออกไปเดี๋ยวนี้จีนไม่ได้มากับสินค้าแต่มากับทุนด้วย หนึ่งในโปรเจกที่ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยพูดเรื่องไชนา ซิตี้ คอมเพล็กซ์ที่บางนาก็เป็นหนึ่งในโมเดลนั้น

ด้านวัฒนธรรมตอนนี้สถาบันขงจื๊อของจีนเปิดไปทั่วโลกแล้วรูปแบบเดียวกับบริติช เคาท์ซิลเลย ในไทยมี 12 แห่งแล้ว ล่าสุดอู๋ ปัง กั๋ว เบอร์ 2 ของโปลิตบูโรก็มาวางศิลาฤกษ์ปีที่แล้ว

ด้านเทคโนโลยีอย่าคิดว่าจีนไม่มีเทคโนโลยีเดี๋ยวนี้จีนส่งยานอวกาศไปดวงจันทร์แล้ว และที่พูดกันมาก คือ เทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูง สหรัฐยังต้องยกนิ้วให้ และธนาคารโลกยังมีรายงานรถไฟความเร็วสูงของจีน

ตอนนี้มีคำถามว่าจีนกำลังล่าอาณานิคมโดยใช้รถไฟความเร็วสูงจริงหรือไม่

ถ้าดูจาก 3 ดัชนีนี้ไม่น่าพลาด เพราะกระแสจีนตอนนี้มาแรงมาก ท่านทราบดีตอนนี้ทุนสำรองเงินตราจีนสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก นี่ยังไม่รวมฮ่องกง ไต้หวันและมาเก๊า นับเฉพาะจีนแดงเท่านั้น ขณะนี้พูดกันมากว่าเงินหยวนจะมาเป็นอัตราแลกเปลี่ยนหลักของโลกไหม ประเทศไทยก็กำลังเตรียมตัวค้าขายกับจีนเป็นหยวนไม่ต้องเสียเวลาไปแลกเป็นดอลลาร์ ส่วนจีดีพีจีนเป็นอันดับ 2 ของโลก ทุกคนทราบดีอยู่แล้ว เมื่อตอนที่จีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) จีนยังอยู่ในอันดับตัวเลข 2 หลัก ในปี 2001 ปัจจุบันจีนอยู่ในอันดับ 2 ของโลกแล้ว

แต่ถ้าพูดการส่งออกจีนเป็นอันดับ 1 แล้ว ส่วนเอฟดีไอ (Foreign direct investment) เดิมจีนมีเอฟดีไอมากใครๆ ก็ไปลงทุนในจีน แต่ปัจจุบันไม่ใช่ เพราะเป็นกระแสจีนไปลงทุนต่างประเทศแทน จีนไปลงทุนตอนใน เพราะจีนชายฝั่งเขาลงทุนจนไม่รู้จะทำมาหากินอะไรแล้วก็ไปจีนตอนในตามนโยบาย Go West Policy แต่ทำมาหากินในบ้านตัวเองไม่พอ

ขณะที่ด้านพลังงานจีนไปดูดพลังงานทุกที่ของโลก ไปคาซักสถาน อุซเบกิสถาน แอฟริกา จนถึงพลังงานทดแทนจีนเป็นประเทศที่ทุ่มพลังงานทางเลือกมาก ไปเมืองจีนหลายบ้านใช้โซลาเซลล์ เรียกว่าจีนให้ความสำคัญกับความมั่นคงพลังงานมาก

พูดเรื่องเบาๆ บ้างเรื่องท่องเที่ยว ปัจจุบันคนจีนเที่ยวเก่งมาก ปี 2553 คนจีนออกไปเที่ยวต่างประเทศ 54 ล้านคน มาไทยเกือบ 1 ล้านคน และคนต่างชาติไปเที่ยวจีน 26 ล้านคน เป็นจุดหลามปลายทางอันดับ 4 ที่คนต้องการไปเที่ยวมากที่สุด

เรื่องหยวนกับดอลลาร์เป็นความใฝ่ฝันของจีน ถ้าติดตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 12 ของจีนปี 2011-2015 พูดเรื่องนี้ชัดเจน แต่สิ่งหนึ่งที่อยากให้ทุกคนตระหนักไว้ว่าคนจีนส่วนใหญ่ยังจน รายได้ต่อหัวของจีนอยู่อันดับ 95 ของโลก ขนาดจีดีพีอยู่อันดับ 2 แต่พอดูรายได้ต่อหัวอยู่อันดับ 95 ของโลก ส่วนของไทยอยู่อันดับ 86 ของโลก เหนือกว่าจีนเล็กน้อย จีดีพีของจีนอันดับ 2 ห่างจากอันดับ 1 เยอะมาก โดยจีนแซงญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นอันกับ 2 เพียงหายใจรดต้นคอ จีดีพีสหรัฐคิดเป็น 24.5 % ของจีดีพีโลก ส่วนจีน 9.8% รายได้ต่อหัวของจีนอยู่ที่ 4,200 ดอลลาร์ ญี่ปุ่น 42,000 ดอลลาร์ นี่เป็นข้อเท็จจริงที่จีน 1,300 ล้านคน รวยแค่ 300 ล้านคน ที่เหลือเป็นเกษตรกรและอยู่ถ้ำก็มี

ปี 2553 เศรษฐกิจไทยโต 7.8 % เก่งจังเลย แต่ปีที่แล้วจีนโต 10.3 % จีนโตวันโตคืนไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไร จีนมีชาวเน็ตมากที่สุด เป็นประเทศที่มีคู่แต่างงานมากที่สุด ดูฟุตบอลโลกมากที่สุด

กระแสที่ทุนจีนเดินออกไปเริ่มตั้งแต่ปี 2000 จีนมีทั้งปัจจัยดึงและดัน อาเซียนสำคัญกับจีนมากทั้งในแง่ตลาด 600 ล้านคน ปี 2015 เราจะเป็น AEC ข้อตกลงอาเซียน-จีน เป็นเรื่องที่จีนยกขึ้นมาผลักดัน นายจู หรง จี อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นคนเจรจาและชวนอาเซียนทำตั้งแต่ปี 2000 เราแข่งกันจะเป็นจะตายในตลาดที่ 3 ในสหรัฐ ยุโรปและญี่ปุ่น

ทุกคนงงหมดเมื่อจีนมาชวนทำ FTA แต่จีนคิดอะไรไกล 10 ปี ล่วงหน้า และตอนนี้จีนกำลังใช้การลงทุนในต่างประเทศดึงทรัพยากร จีนออกไปต่างประเทศไม่ได้ไปแบบเดี่ยวๆ มีรัฐบาลหนุนหลัง

แผนพัฒนาฉบับที่ 11 ของจีนเพิ่งจบและแผนฉบับใหม่ประกาศชัดให้ทุนจีนเดินออกไป สมัยเริ่มปฏิรูปประเทศจะเน้นดึงทุนต่างประเทศเข้ามา แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วและทุนที่จะเข้ามาจะมีหน่วยงานคัดกรองว่าต่างชาติที่จะมาลงทุนในจีนเจ๋งจริงไหม การหนุนทุนจีนออกไปข้างนอกมีเหตุผล คือ

1.หาความมั่นคงพลังงาน จีนไปลงทุนพม่า กัมพูชาและลาวเยอะมาลงทุนก๊าซธรรมชาติ ผลิตไฟฟ้าและเหมืองแร่

2.ไปลงทุนเพื่อยู่ใกล้ตลาดทำให้จีนเป็นนักลงุทนอันดับต้นของสหรัฐ

3.ลงุทนเพื่อเทคโนโลยีและการบริหารจัดการแบบใหม่ทำให้จีนไปลงทุนที่เยอรมันทั้งที่ต้นทุนการตั้งสำนักงานสูงมากแต่จีนบอกคุ้ม

4.ลงทุนเพื่อหลีกกระแสกีดกันสินค้าจีน จีนไม่ต้องการให้สินค้าจีนถูกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดจึงแยกกันไปลงทุนในประเทศอื่น เช่น เมดอินไทยแลนด์

สำหรับประเด็นผลักดันมาจากเงินหยวนแข็งค่าขึ้นและการลงทุนของเอกชนจีนจะได้รับเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากรัฐบาลจีน แนวโน้มการลงทุนต่างประเทศของจีนมีแต่ขึ้นตลอดปีที่แล้วเพิ่มขึ้น

30% เกือบครึ่งของทุนจีนมาเอเชีย โดยอันดับ 1 ไปฮ่องกง อันดับ 2 ออสเตรเลีย อันกับ 3 อาเซียน แต่อาเซียนจะลงทุนในจีนมากกว่าที่จีนลงทุนในอาเซียนเพราะจีนเปิดประเทศปี 1979 ให้ต่างชาติไปลงทุน และไทยเป็นต่างชาติอันดับต้นที่เข้าไปลงทุนในจีน ส่วนจีนเพิ่งออกไปลงุทนต่างประเทศปี 2000 แต่มาเร็วและแรงเพิ่ม 10 เท่าตัว จากปี 2003 จีนลงทุนในอาเซียน 230 ล้านดอลลาร์ มาปัจจุบัน 2,700 ล้านดอลลาร์

ไทยยังไม่ใช่แนวหน้าที่จีนเข้ามาลงทุน ปี 2008 ในอาเซียนจีนไปลงทุนในสิงคโปร์มากที่สุด รองลงมาเป็นอินโดนีเซีย เวียดนาม พม่า ไทย กัมพูชา แต่ไทยไม่จำเป็นต้องหาทางขยับมาเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน ถ้าเป็นการลงทุนที่ไม่สะอาดและไม่ได้มาตรฐานและไม่ใช่อุตสาหกรรมที่มาแล้วสร้างประโยชน์ให้ประเทศไทย

โดยจีนมาลงทุนในอาเซียนและอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (จีเอ็มเอส) มากเพราะคนจีนทำมาหากินในบ้านตัวเองยากขึ้น รัฐบาลจีนเข้มงวดปิดโรงงาน 2,000 แห่ง ในปีที่แล้ว ถ้าโรงงานไม่ดูแลสิ่งแวดล้อมจะถูกปิดจึงมองการลงทุนในอาเซียน และค่าจ้างแรงงานในจีนสูงขึ้นมากเพราะกฎหมายแรงงานฉบับใหม่ของจีนจะต้องดูแลสวัสดิการแรงงานทำให้ปีที่แล้วค่าแรงเพิ่มขึ้น 20 % ทำให้จีนชายฝั่งขยับไปลงทุนจีนตอนใน เช่น กวางสี

มีกิจการบางส่วนที่เกาะกระแสอาเซียนและมีความสัมพันธ์กับนักการเมืองบางประเทศในอาเซียนที่มีนโยบายยืนหยุ่นหรืออุ้มผู้ประกอบการมากกว่าในจีน เมื่อรัฐบาลบางประเทศในอาเซียนเอื้อแล้วทำไมจะไม่มาก จึงขอให้หน่วยงานรัฐจับตาให้ดีเพราะอยู่ในจีนไม่ได้จึงออกมา ดิฉันไม่ได้ต่อต้านจีนเพราะถ้าดีจริงก็มาได้ ซึ่งจะยกตัวอย่างตั้งแต่ต้นปีมีคณะจากจีนเดินทางมาไทยเยอะมาก เริ่มตั้งแต่วันที่

18 ม.ค.2554 มีการพูดถึงอภิมหาโปรเจกไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์ หลังจากนั้นก็มีมาต่อเนื่องก็น่าสนใจตั้งคำถามว่ามาทำไมมากระชับความสัมพันธ์ มาเที่ยวพัทยา มาเพื่อหากินต่อหรือมาเพื่อประโยชน์ของทั้ง 2 ชาติก็ยังตอบไม่ได้

เรื่องรถไฟความเร็วสูงของจีนไม่ได้มาแค่รถไฟแต่มีคนมาด้วย คนลาวบอกที่จีนมาสร้างสนามกีฬาซีเกมส์ให้เอามาเองทุกอย่างแม้แต่ส้วม เส้นทางรถไฟที่จีนสร้างเข้าลาวผ่านหลวงพระบางมาเวียนจันทน์ระยะทาง 500 กิโลเมตร

จีนสร้างทางรถไฟผ่านลาวทั้งที่ประชากรลาวน้อย เพราะจีนไม่ได้มองแค่ลาวแต่มองตลอดแนวผ่านลาว หนองคาย กรุงเทพฯ ปาดังเบซา มาเลเซีย สิงคโปร์ ทำให้เส้นทางนี้เดินหน้าเร็ว ขอชื่นชมกระทรวงคมนาคมที่หารือกับจีนอย่างระมัดระวัง จีนคุยกับลาวแบ่งสัดส่วนการลงทุนระหว่างจีนกับลาวในสัดส่วน 70 ต่อ 30 ซึ่งลาวรับทุกข้อเสนอเพราะในลาวมีทางรถไฟเพียง 3.5 กิโลเมตร แต่ไทยกับลาวไม่เหมือนกัน และรัฐมนตรีรถไฟของจีนที่ลงนามกับลาวถูกปลดเพราะวิตามินซี จึงทำให้การทำงานของกระทรวงคมนาคมต้องรอบคอบและชัดเจน ซึ่งรถไฟในลาวจะเริ่มสร้างในวันที่ 25 เม.ย.นี้แล้ว

เส้นทางรถไฟจากจีนไปเวียดนามเริ่มวิ่งแล้วเริ่มจากหนานหนิงไปฮานอย วิ่งด้วยรถไฟจีนที่ลงทุน 300,000 ล้านหยวนตั้งแต่ปี 2004 และอีกแนวเป็นเส้นทางคุนหมิงผ่านลาวกายไปฮานอยเป็นเส้นทางรถไฟตั้งแต่สมัยฝรั่งเศส

ส่วนอีกเส้นทางต่อจากฮานอย โฮจิมินต์ กัมพูชา สระแก้ว กรุงเทพฯและสิงคโปร์ เป็นเส้นทางที่ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) สนับสนุนเพราะสร้างเส้นทางเพิ่มแค่ช่วงโฮจิมินต์ไปพนมเปญ 200 กิโลเมตร และช่วงปอตเปตไปสระแก้ว 20 กิโลเมตร แต่จีนไม่ชอบเพราะอ้อมและลาวก็ไม่ชอบเพราะไม่ผ่านลาวจึงทำให้จีนเลือกพัฒนาเส้นทางที่ผ่านลาว ท่านอาจสงสัยเส้นทางรถไฟในจีนรางกว้าง 1.4 เมตร แต่รางในเวียดนาม 1 เมตร แล้วรถไฟจีนเข้ามาในเวียดนามได้อย่างไรทำให้เวียดนามสร้างรางที่ 3 ให้ รถไฟจีนจึงวิ่งต่อได้ แต่ไม่ได้สร้างเปล่าคิด 1,000 หยวน ต่อ 1 โบกี้

เส้นทางจากยูนนานไปพม่ากำลังสร้างจะสร้างปี 2013 จีนทุ่มเงิน 10,000 ล้านดอลลาร์ ระยะทาง 990 กิโลเมตร ผ่านชายแดนจีนที่เมืองลุ่ยลี่และเข้าพม่าที่เมืองมูเซ จีนเข้าไปลงทุนพร้อมทุกอย่างมีห้างสรรพสินค้า โรงแรม ซึ่งเส้นทางนี้เป็นอภิมหาโปรเจกต์ที่มีรถไฟความเร็วสูง 160 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง ต่อมาเป็นท่อแก๊ซ น้ำมัน และจีนฉลาดที่ไม่กลั่นที่พม่าแต่ส่งไปกลั่นที่จีน และยังมีท่าเรือน้ำลึกของบริษัทคอสโกที่เป็นบริษัทโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ของจีน

ท่านอาจจะสงสัยว่าแบบนี้จะทำอย่างไรกับจีน จะรู้เขา รู้เรา เท่านี้ยังไม่พอต้อง รู้จริง และ รู้เท่าทัน

ดิฉันชอบที่คุณบัณฑูร ล่ำซำ พูดว่าเวลาเราคุยกับจีนคุยแบบรู้ 1 พูดรู้ 10 และขอโค้ทคำพูดผู้ใหญ่ระดับองคมนตรีว่า คนไทยคบกับจีน 2 แบบ แบบแรกคบจีนเอาวิชา อีกแบบคบแบบอคติ มีคนโปรจีนสุดๆ ไม่ก็ต่อต้านจีนสุดๆ มีคนบอกว่าโปรจีนสุดๆ ทำงานให้รัฐบาลจีนหรือเปล่า แต่อีกฝ่ายที่ต่อต้านจีนก็เกินไป คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจีนอย่าเอียนขนาดนั้นและอย่าอคติขนาดนั้น และต้องยึดรู้เข้า รู้เรา รู้จริงและรู้เท่าทัน"

[Wisarut]

รถไฟจีน-ไทย ใครได้อะไร ใครเสียอะไร
โดยสิงห์ สนามหลวง
เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 982
ประจำวันที่ 25 มีนาคม 2554

เที่ยวนี้ลุงสิงห์ สนามหลวง ได้คุยเรื่องมาตรฐานการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง และ อื่นๆที่เกี่ยวข้อง

[kikoo]

[nop2]

[kikoo]

[ivetren]

ลองดูครับ ไม่รู้มีคนเอามาลงแล้วหรือยัง แต่เห็นว่าน่าสนใจดี