รวมข่าวรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในอนาคตตามนโยบายรัฐบาล

[Mongwin]

เปิดแผนเร่งสปีดลงทุน เมกะโปรเจ็กต์ 1.8 ล้านล้านบาท
โดย ฐานเศรษฐกิจ - 23 พฤศจิกายน 2558



นับจากวันที่ “บิ๊กตู่” เปลี่ยนรัฐนาวาในการขับเคลื่อนทีมเศรษฐกิจรัฐบาลมาเป็น”สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” กุมบังเหียนรองนายกฯด้านเศรษฐกิจ ร่วม 3 เดือน เป็นไปตามคาด มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระยะสั้น ระยะยาว ต่างพรั่งพรูออกมาหลายชุด เป็นขั้น เป็นตอน ไม่ว่าจะเป็น กองทุนหมู่บ้านฯหมู่บ้านละ 5 ล้านบาท เร่งรัดโครงการก่อสร้างขนาดเล็กโครงการละ 1 ล้านบาท

มาตรการหนุนเอ็สเอ็มอี มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ การสนับสนุน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเดิมและใหม่ เพื่อใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนประเทศ ในอนาคต กระทั่งถึงไทยแลนด์ ฟิวเจอร์ฟันด์ กองทุนแสนล้านบาทที่กระทรวงการคลังกำลังเร่งนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในเร็ว ๆ นี้ เพื่อเปิดทางให้เอกชนนำเงินไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ
ล่าสุดในงานปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ ” ยกเครื่องเศรษฐกิจใหม่ Thailand s New S-sure ” (18 พ.ย.) หัวหน้าทีมเศรษฐกิจยังได้ฉายภาพชัดว่าจะยกให้เป็นปี 2559 เป็นปีแห่งการลงทุน เพื่อรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ต่อเนื่องจึงจำเป็นต้องเร่งรัดการลงทุนทั้งของภาครัฐและเอกชน โดยมุ่งเป้าไปยังโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ โครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ที่ต้องเร่งแจ้งเกิดในเร็ววัน

เขายังย้ำว่า “ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2559 รถไฟฟ้าทุกสายจะต้องพร้อมสำหรับการประกวดราคาและระหว่างที่มีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ก็จะมีการลงทุนในโครงการขนาดเล็กๆ ควบคู่กันไป”

ขจัดอุปสรรคดึงเอกชนร่วม

อย่างไรก็ดีต้องยอมรับว่าก่อนหน้านั้นรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ติดถล่มกับการเข็นเม็ดเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ไม่สามารถผลักดันได้ตามแผน ซึ่งเรื่องนี้ พล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง อดีตรมว.คมนาคมก็เคยยอมรับว่า ผลงานไม่เข้าเป้าเพราะติดปัญหาสารพัดทางด้านเทคนิค แม้จะวางกรอบการลงทุน 8ปี (2558-2565) หว่านเม็ดเงินลงทุนร่วม 3 ล้านล้านบาท อย่างเป็นขั้นตอนแล้วก็ตาม

ดังนั้นเมื่อปรับเปลี่ยน คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ดัน อาคม เติมพิทยาไพสิฐ ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่ากระทรวงคมนาคมเต็มตัว อดีตดีกรีเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จึงได้เร่งทำแอกชันแพลน อย่างเร่งด่วนกลั่นกรองโครงการที่มีความเป็นไปได้ บรรจุเข้าแผน เพื่อผลักดันให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม เบ็ดเสร็จมีทั้งหมด 20 โครงการเม็ดเงินลงทุน 1.79 ล้านล้านบาท โดยจะเร่งให้มีการลงทุนเกิดขึ้นจริงตั้งแต่ปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า เพื่อยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

ซึ่งในทางปฏิบัติไม่ง่ายดังใจคิดนัก แต่ก็ไม่เกินความสามารถเมื่อทั้งนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจแพ็กคู่ออกมาหนุนสุดตัว เพื่อขจัดอุปสรรคให้หมดไปไม่ว่าจะเป็นการจ่อใช้มาตรา 44 การปลดล็อกแผนการเปิดทางให้เอกชนเข้ามาร่วมทุนแบบ PPP ( Public Private Patnership ) แบบฟาสต์แทร็กลดระยะเวลาจาก 1 ปี 11 เดือนเหลือเพียง 9 เดือนเท่านั้น ลดขั้นตอนเรื่องการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ฯลฯ ให้หมดไป

“โครงการทั้ง 20 โครงการจะพยายามเร่งรัดให้เกิดการลงทุนไม่เกินกลางปีหน้าและคาดหวังว่า ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุนสัดส่วนจะอยู่ที่ 20 % แต่ก็มิใช่ ลิมิตอยู่แค่นี้ อาจจะมากกว่านี้เพราะเมกะโปรเจ็กต์มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและจีดีพี สนับสนุนเศรษฐกิจโตระยะยาวต่างกับมาตรการกระตุ้นที่ทำในเวลาสั้น ๆ เท่านั้น” อาคมระบุ

เข็น PPP 8โครงการ 6 แสนล้าน

จากแผนเร่งด่วนของรัฐบาล ทำให้เกิดการบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลัง ที่ออกมารับลูกทันควัน จากข้อมูลของ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ( 11 พ.ย.) ระบุว่า ครม.ได้อนุมัติ เร่งรัดให้เอกชนเข้าลงทุนแบบ PPP ในเมกะโปรเจ็กต์ 5 โครงการมูลค่าร่วม 3.34 แสนล้านบาท ซึ่งขณะนี้ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในมือของคณะกรรมการ PPP เพื่อรอการพิจารณาเปิดทางให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน อาทิ

โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู สายสีเหลือง สายสีน้ำเงิน และโครงการมอเตอร์เวย์อีก 2 โครงการ คือบางปะอิน-โคราชและบางใหญ่-กาญจนบุรี ซึ่งหลายโครงการผ่านความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมแล้ว และกำหนดกรอบเวลา ภายในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าจะนำเสนอเข้าพิจารณาในคณะกรรมการนโยบาย เดือนมีนาคมนำเสนอ ครม. และในเดือนพฤษภาคม 2559 ก็สามารถพิจารณาคัดเลือกเอกชนให้เข้ามาลงทุนได้

นอกจากนี้ยังมีอีก 3 โครงการที่จะต้องพิจารณานำเสนอเข้าคณะกรรม PPP คือ โครงการ รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ส่วนต่อขยายพญาไท –ดอนเมือง เพื่อเชื่อมโยง 2 สนามบินระหว่างสุวรรณภูมิมาดอนเมือง ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ และรถไฟความเร็วสูง 2 เส้นทางคือ กรุงเทพฯ-หัวหิน และกรุงเทพฯ-พัทยา-ระยอง ซึ่งเจ้าของโครงการและกระทรวงคมนาคมต้องเร่งทำแผนส่งให้คณะกรรมการภายในวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้

เซ็น MOU ญี่ปุ่นช่วงโรดโชว์

ขณะที่โครงการความร่วมมือกับต่างประเทศระหว่างไทยกับรัฐบาลจีนและญี่ปุ่น นั้นก็มีความคืบหน้าไปมากโดยเฉพาะรถไฟไทย-จีน เส้นทางหนองคาย-แก่งคอย- มาบตาพุด ซึ่งจีนมีแผนลากเส้นทางยาวจากจีนผ่านลาวสู่หนองคาย มีการเจรจามา 8 ครั้ง แต่ยังติดขัดในหลายเรื่อง เพราะเป็นโครงการขนาดใหญ่มากจึงต้องพิจารณากันอย่างรอบคอบ

แต่อย่างไรก็ดีโครงการนี้เดินหน้ามาถึงขั้นจะเปิดตัวโครงการในวันที่ 19 ธันวาคมนี้โดยเริ่มต้นวางศิลาฤกษ์ อาคารศูนย์การควบคุมและบริหารการเดินรถ สถานีเชียงรากน้อย และตั้งเป้าว่าในเดือนพฤษภาคม 2559 จะตอกเสาเข็มต่อไป ซึ่งเท่ากับเป็นการแสดงในเชิงสัญญาลักษณ์ว่าโครงการเกิดขึ้นแน่

ส่วนความร่วมมือรถไฟไทยกับญี่ปุ่น การเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่นของรองนายกฯสมคิดระหว่างวันที่ 25-28 พฤศจิกายนนี้ จะมีการเซ็นข้อตกลงความร่วมมือ (เอ็มโอยู) ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น โดยทางรัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสนใจลงทุนเส้นทาง กาญจนบุรี-กทม.-แหลมฉบัง –สระแก้ว ซึ่งโครงการนี้สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วเพราะใช้โครงข่ายเดิม และมีแผนจะเชื่อมโยงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายของเมียนมา เพื่อขนส่งวัตถุดิบและมีการขนส่งสินค้าป้อนระหว่างอีสเทิร์นซีบอร์ดกับทวายอีกด้วย

อย่างไรก็ดีในส่วนของความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าในกทม.ก็มีความคืบหน้าขึ้นตามลำดับ อาทิสายสีม่วง(บางใหญ่-บางซื่อ)จะเปิดทดสอบวันที่ 14 ธันวาคมนี้ ก่อนเปิดบริการจริงในเดือนสิงหาคมปีหน้าเร็วกว่าแผนเดิม 5 เดือน สายสีเขียวใต้ (แบริ่ง-สมุทรปราการ) คืบหน้าไป 50 % มีแผนจะเปิด 2 สถานีจาก 10 สถานีก่อน สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายคืบหน้า 60 % กำลังเร่งหาผู้เดินรถ

นอกจากนี้รัฐบาลยังพร้อมที่จะผลักดันรถไฟฟ้าอีก 2 สายคือสายสีส้ม (ศูนย์วัฒธรรมฯ-มีนบุรี) และสีม่วงใต้(เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) เข้าครม.ในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนธันวาคมนี้ พร้อมกับโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาระยะต่อไป ผลักดันเป็นเชิงพาณิชย์แห่งที่ 3 เข้าครม. ด้วยเช่นกัน ขณะที่ รางคู่ 2 เส้นทาง คือ ฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย และจิระ-ขอนแก่น กำลังอยู่ระหว่างการประมูลคาดจะเซ็นสัญญาก่อสร้างก่อนสิ้นปี 2558 ส่วนโครงการที่เหลือจะทยอยตามมา

ถือเป็นความพยายามของหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ “ประยุทธ์ 2” ที่ออกแรงเต็มที่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระลอกใหญ่ที่จะเริ่มเห็นชัดต้นปีเป็นต้นไป

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,107 วันที่ 22 – 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

[Wisarut]

“สมคิด” ตะลุยรถไฟฟ้า 5 สีชุ่มฉ่ำ ยันเซ็นความร่วมมือข้าว-ยาง-รางกับจีน
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์
3 ธันวาคม 2558 05:45

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้เร่งรัดให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม.เร่งดำเนินการในโครงการรถไฟฟ้า 5 สาย ซึ่งประกอบด้วย รถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี, รถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี, รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ, รถไฟฟ้าสายเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง และการจัดหาบริษัทเดินรถของโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและคาดว่ารถไฟฟ้า 3 สายทาง ที่จะเปิดประกวดราคาก่อนต้นปีมี 3 สายทางคือรถไฟฟ้าสายสีส้ม, สายสีชมพู, สายสีเหลือง ส่วนอีก 2 สายทาง ประกวดราคาได้ในกลางปี 59 โดยโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี กระทรวงคมนาคม จะเสนอให้ ครม.พิจารณาได้ในสัปดาห์หน้า

ส่วนโครงการที่ต้องเข้ากรอบการลงทุนให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐแบบเร่งด่วน (PPP Fast Track) คือโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี, รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ, รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง และการจัดหาบริษัทเดินรถของโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินนั้น จะเร่งรัดโครงการให้เร็วที่สุดและดำเนินการได้ในปี 59

ส่วนกรณีการเลื่อนลงนามความร่วมมือไทย-จีน ด้านรถไฟ ข้าว และยางพาราวันที่ 3-4 ธ.ค.นี้ ยังทำได้ปกติ โดยอุปสรรคที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องรายละเอียด และให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งเรื่องยางพารา รถไฟไปเร่งเจรจากันให้เสร็จก่อนรองนายกรัฐมนตรีจีนจะเดินทางมาถึงไทย โดยในส่วนของรถไฟไทย-จีน ให้นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม ไปดูข้อความเอกสารที่จีนส่งมาให้ก่อน หากเงื่อนไขรายละเอียดและเอกสารความร่วมมือพร้อม ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร.

[Wisarut]

"สมคิด"ลงแส้"รฟม.-ร.ฟ.ท." ล้างท่อประมูลเมกะโปรเจ็กต์
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
5 ธันวาคม 2558 เวลา 19:11:30 น.


นาย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการมั่นใจว่าทุกโครงการเดินไปข้างหน้า ได้ประชุมติดตามโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของกระทรวงคมนาคม ทั้งรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ และมอเตอร์เวย์ ซึ่งผลก็เป็นที่น่าพอใจสำหรับกรอบเวลาจะเริ่มต้นโครงการ โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าที่ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศ (รฟม.) มีหลายเส้นทางจะเปิดประมูลปีหน้า เริ่มได้เร็วที่สุดคือ สายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) จะเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 8 ธ.ค.นี้ จากนั้นจะทยอยเปิดประกวดราคาออกมาเรื่อย ๆ

สำหรับรถไฟทางคู่ ทางการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ให้ความมั่นใจว่า ปีหน้าจะเปิดประมูลอีก 3-4 เส้นทาง จะมีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1/59 และ 2/59 ร่วม 1 แสนล้านบาท ส่วนมอเตอร์เวย์ 3 เส้นทาง อยู่ระหว่างจัดสรรงบประมาณก่อสร้างให้

"ทุกโครงการเดินไปข้างหน้า แต่ช่วงนี้เร่งทยอยเข้า ครม. โครงการไหนเข้า PPP Fast Track ก็ให้เร่ง สั่ง สคร.(สำนักงานคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ) ประสานทุกฝ่ายให้งานราบรื่น ทั้งสภาพัฒน์ คณะกรรมการ PPP และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนจะมีเม็ดเงินลงมาสู่ระบบเยอะมาก ทั้งงบประมาณจากรัฐ เอกชน และต่างประเทศ"

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการ สคร. กล่าวว่า ปีหน้าจะมีโครงการพร้อมเข้า PPP Fast Track คือ รถไฟฟ้าสายสีชมพู สายสีเหลือง และการเดินรถสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย (บางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค) คาดว่าเสนอให้คณะกรรมการ PPP พิจารณาเดือน ก.พ.-มี.ค. 2559 ส่วนมอเตอร์เวย์จะเป็นในส่วนการจัดเก็บค่าผ่านทางจะเป็นระยะถัดไป

นาย พีระยุทธ สิงห์พัฒนากุล ผู้ว่าการ รฟม. กล่าวว่า จะเร่งขั้นตอนประมูลรถไฟฟ้าให้เร็วขึ้นเป็น 4 เดือน จากเดิม 6-8 เดือน ว่าจะลงนามรถไฟฟ้า 4 สายใหม่เสร็จภายในเดือน ส.ค.-ก.ย. 2559 ประกอบด้วย 1.สายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) 110,325 ล้านบาท หลัง ครม.อนุมัติวันที่ 8 ธ.ค.นี้จะเปิดประมูล เม.ย.ปีหน้า

ส่วนสายสี ชมพู (แคราย-มีนบุรี) 56,690 ล้านบาท และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) 54,644 ล้านบาท จะให้เอกชนรายเดียวมาลงทุนก่อสร้างและเดินรถ ขณะนี้ รฟม.เสนอโครงการไปที่สคร.จะเสนอคณะกรรมการ PPP เดือน ก.พ. 2559 จะเริ่มกระบวนการร่างทีโออาร์และประมูลในเดือน เม.ย.-พ.ค. และได้ผู้รับเหมาปลายปี 2559

ส่วนสายสีม่วงใต้ (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) 131,171 ล้านบาท เนื่องจากมีการต่อขยายเส้นทางไปอีก 5 กม. เป็น 23.6 กม. ต้องเสนอที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) พิจารณาเพิ่มเติมในแผนแม่บท และผลการพิจารณาอีไอเอ จะเสนอ ครม.อนุมัติโครงการเดือน พ.ค. จากนั้นเดือน ส.ค.จะเปิดประมูล

ส่วน การเดินรถสายสีน้ำเงินต่อขยาย วงเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาท ได้เสนอผลการศึกษาวิเคราะห์ตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน ปี 2556 ไปยังกระทรวงคมนาคมแล้ว คาดว่าจะเสนอสคร. และคณะกรรมการ PPP อนุมัติเดือน มี.ค. 2559 นอกจากนี้รองนายกรัฐมนตรียังเร่งรฟม.สรุปการเดินรถสายสีเขียวช่วงหมอชิต-คู คต และแบริ่ง-สมุทรปราการโดยเร็ว จะยกให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) หรือ รฟม.จะบริหารโครงการเอง เพราะต้องเข้าคณะกรรมการ PPP

นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ รองอธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) กล่าวว่า อยู่ระหว่างทยอยประมูลมอเตอร์เวย์สายพัทยา-มาบตาพุด 20,200 ล้านบาท ภายใน ม.ค. 2559 จะได้ผู้รับเหมาทั้งหมด ส่วนสายบางปะอิน-โคราช 84,600 ล้านบาท คาดว่าภายใน ธ.ค.นี้จะทยอยประมูล 3 สัญญาก่อน ในส่วนงานทางต่างระดับ และต้นปีหน้าถึงจะเริ่มประมูลงานส่วนที่เหลือ ส่วนสายบางใหญ่-กาญจนบุรี 55,620 ล้านบาท จะเริ่มประมูลเดือน มี.ค.-พ.ค. 2559 จะลงนามก่อสร้างได้ไม่เกินไตรมาสที่ 3

นายกมล ตั้งกิจเจริญชัย รองผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. กล่าวว่า วันที่ 8 ธ.ค.นี้จะเคาะราคารถไฟทางคู่สายจิระ-ขอนแก่น 26,004 ล้านบาท มีผู้รับเหมา 4 รายผ่านการพิจารณาคุณสมบัติ คือ บมจ.อิตาเลียนไทย, บมจ.ซิโน-ไทยฯ, บมจ.ยูนิคฯและบมจ.ช.การช่าง จะลงนามสัญญาเดือน ธ.ค.นี้ พร้อมกับสายฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย วงเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาท

[Mongwin]

กทม.ดันรถไฟฟ้ารางคู่บางนา-สุวรรณภูมิ ขนส่งผู้โดยสารเข้า-ออกเมืองสุดสะดวก
แนวหน้า วันจันทร์ ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2558, 06.00 น.

นายอมร กิจเชวงกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรุงเทพมหานครโดยสำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) ดำเนินการตามแผนนโยบายกรุงเทพมหานครในการพัฒนาระบบขนส่งเชื่อมการเดินทางระบบล้อ ราง เรือ เพื่อให้ประชาชนได้เดินทางสะดวกรวดเร็วและปลอดภัย ในส่วนของการเดินทางสู่สนามบินและจากสนามบินเข้ามาใจกลางเมือง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะนำนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมกรุงเทพฯ

ปัจจุบันมีบริการระบบขนส่งหลายรูปแบบ ทั้งระบบรางและล้อ ซึ่งกรุงเทพมหานครมีโครงการรถไฟฟ้ารางคู่ขนาดเบา (Light Rail) สายบางนา-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ขณะนี้ได้ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเสร็จแล้ว อยู่ระหว่างเตรียมเสนอเรื่องขออนุมัติจากรัฐบาล เนื่องจากเส้นทางนี้อยู่นอกแผนคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก(คจร.) โดยจะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจร อำนวยความสะดวกให้ประชาชนในพื้นที่ถนนบางนา-ตราด ถนนสุขุมวิท และพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการให้เดินทางเข้าเมืองได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมทั้งจะช่วยขนส่งผู้โดยสารจากสนามบินสุวรรณภูมิเข้า-ออกเมืองได้สะดวกรวดเร็วขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานด้านสนามบินดอนเมืองก็มีบริการระบบขนส่งระบบล้อ ล่าสุดมีบริการ Airport LimoBus Express เป็นทางเลือกให้บริการผู้โดยสารจากสนามบินดอนเมืองเดินทางเข้าสู่ใจกลางมหานครกรุงเทพ และฝั่งธนฯ สามารถเชื่อมโยงระบบขนส่งมวลชนของกรุงเทพมหานครได้ทั้งรถไฟฟ้า (BTS) และรถไฟใต้ดิน (MRT) เป็นรถบัสขนาด 33 ที่นั่ง ให้บริการ 2 เส้นทาง เดินรถโดยใช้ทางโทลล์เวย์และเชื่อมต่อทางด่วน (express way) โดยประสานกรุงเทพมหานครในจุดจอดรถที่เหมาะสม

เส้นทางที่ 1 สนามบินดอนเมือง-เพลินจิต จุดจอดอมรินทร์ เชื่อมต่อรถไฟลอยฟ้า (BTS) ที่สถานีชิดลม และสวนลุมพินี จุดจอดพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 ฝั่งซ้ายเชื่อมต่อรถไฟใต้ดิน (MRT) ที่สถานีสีลมและรถไฟลอยฟ้า (BTS) ที่สถานีศาลาแดงเส้นทางที่ 2 สนามบินดอนเมือง-ถนนข้าวสาร จุดจอดถนนจักรพงษ์ ตรงข้ามวัดชนะสงคราม เชื่อมต่อฝั่งพระนคร จุดให้บริการที่สนามบินดอนเมือง ณ อาคารผู้โดยสาร 1 ประตู 5 ค่าบริการ 150 บาท/ท่าน สามารถจองได้ทางเว็บไซต์ www.limobus.co.th หรือ Call center 09-9191-8800

[Wisarut]

ลงพื้นที่ถกเยียวยาสายสีส้ม รฟม.ทำความเข้าใจชุมชนแม่เนี้ยว-เวนคืนแค่ 184 ราย
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์
8 ธันวาคม พ.ศ. 2558, 05:01


นายพีระยุทธ สิงห์พัฒนากุล ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า ภายหลังจากที่ รฟม.ได้ลงพื้นที่บริเวณชุมชนแม่เนี้ยว 3 ถนนประชาสงเคราะห์ ซึ่งเป็นแนวเส้นทางที่รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก ช่วงตลิ่งชัน-มีนบุรี ระยะทาง 16.4 กม. วงเงินลงทุน 85,316 ล้านบาท เป็นการลงไปทำความเข้าใจกับประชาชนที่เรียกร้องให้ปรับแนวทาง ซึ่งที่ผ่านมาคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ได้ยืนยันแนวเส้นทาง โดยให้ใช้เส้นทางถนนประชาสงเคราะห์เพื่อไปบรรจบกับสายสีส้ม ตะวันออกที่สถานีศูนย์วัฒนธรรม เพียงแต่ว่า รฟม.ต้องลงไปทำความเข้าใจจริงๆ เพื่อเจรจารับฟังความคิดเห็นว่าประชาชนมีข้อกังวลที่อยากให้ รฟม.ดำเนินการอื่นใด ในขณะเดียวกันคนที่ไม่ได้รับผลกระทบจะต้องเข้าใจด้วย ในบริเวณ ชุมชนแม่เนี้ยวมีผู้ได้รับผลกระทบเพียง 184 รายเท่านั้น ดังนั้น จะต้องแยกระหว่างผู้ที่ได้รับผลกระทบกับไม่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้เกิด ความเข้าใจที่ตรงกัน ไม่เช่นนั้นจะรวมกันหมดและทำให้เกิดความแตกตื่น อย่างไรก็ตาม สำหรับ การเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ รฟม.จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย แต่หากประชาชนมีความ ต้องการก็สามารถเสนอความคิดเห็นและยื่นเรื่องได้ ซึ่งหาก รฟม.พิจารณาแล้วพบว่า มีความเหมาะสมก็จะทำเรื่องเสนอบอร์ด รฟม.

นายพีระยุทธกล่าวต่อว่า สำหรับการเสนอ ขออนุมัติโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกนั้น คาดว่าจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติก่อสร้างโครงการได้ประมาณปี 59 เพราะขณะนี้โครงการยังต้องศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติม เช่น บริเวณเกาะกรุงรัตนโกสินทร์ ส่วนการเดินรถจะเป็นการร่วมทุนกับเอกชน (PPP) ตลอดเส้นทาง ทั้งสายสีส้ม ส่วนตะวันตก (ตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรมฯ) และสายสีส้ม ส่วนตะวันออก ศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) โดยขณะนี้ อยู่ระหว่างการจ้างที่ปรึกษาดำเนินการศึกษารูปแบบการลงเดินในระบบเดินรถของสายสีส้ม ตลอดเส้นทาง.

[Wisarut]

รฟม.เตรียมสรุปรถไฟฟ้าอีก4 สาย ชงครม.ปี 59มูลค่ากว่า 1.2 แสนล.


โดย MGR Online

8 ธันวาคม 2558 05:40 น.


รฟม.เร่งศึกษาออกแบบรถไฟฟ้าอีก 4 สาย มูลค่ากว่า 1.2 แสนล. ชงครม.อนุมัติในปี 59 สีส้ม ตะวันตก ,สีน้ำเงิน (บางแค –พุทธมณฑล สาย 4) สีเขียว ใต้(สมุทรปราการ – บางปู) สีเขียวเหนือ(คูคต – ลำลูกกา) โครงข่ายครอบคลุมเชื่อมการเดินทางกทม.และปริมณฑล“พีระยุทธ”เผยเสนอสายสีส้มนำร่อง หลังสรุปแนวเส้นทาง เร่งลงพื้นที่ประชาสงเคราะห์ทำความเข้าใจผู้ได้รับผลกระทบ 184 ราย

นายพีระยุทธ สิงห์พัฒนากุล ผู้ว่าการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วนตะวันตก (ตลิ่งชัน –ศูนย์วัฒนธรรมฯ) ระยะทาง16.4 กม. วงเงินลงทุน 85,316.04 ล้านบาท ว่า ขณะนี้แนวเส้นทางส่วนใหญ่มีความชัดเจนแล้ว เหลือเพียงบริเวณตลิ่งชัน ที่แนวเส้นทางของรถไฟฟ้าสายส้มซ้อนทับกับรถไฟฟ้าสายสีแดง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ซึ่งจะต้องหารือร่วมกันให้ได้ข้อยุติต่อไป รวมถึงการทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ( EIA) เพิ่มเติมในบางช่วง เช่น บริเวณเกาะกรุงรัตนโกสินทร์ คาดว่าจะสรุปโครงการเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ในปี 2559 โดยภาครัฐจะลงทุนก่อสร้างงานโยธา ส่วนการเดินรถจะเป็นการร่วมทุนกับเอกชน (PPP) ตลอดเส้นทางทั้งสายสีส้ม ส่วนตะวันตก (ตลิ่งชัน –ศูนย์วัฒนธรรมฯ)และสายสีส้ม ส่วนตะวันออก ศูนย์วัฒนธรรมฯ – มีนบุรี (สุทินวงศ์)

ส่วนกรณีที่มีประชาชนย่านประชาสงค์เคราะห์ ยังไม่เห็นด้วยกับแนวเส้นทางและเรียกร้องให้ รฟม.ปรับแนวเส้นทางนั้น ยืนยันว่า ที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ได้สรุปแนวเส้นทางแล้ว และจะไม่มีการปรับเปลี่ยนอีก โดย รฟม.จะเดินหน้าลงพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจกับกลุ่มที่ยังไม่เห็นด้วยอย่างจริงจัง ในรูปแบบการปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operations : IO) ซึ่งผู้ได้รับผลกระทบย่านประชาสงค์เคราะห์มีจำนวน 184 ราย โดยจากการลงพื้นที่ครั้งที่ 1 ชาวบ้านบางส่วนเริ่มเข้าใจแล้ว ส่วนที่ยังไม่ยอมรับ รฟม.จะลงพื้นที่อีก 2-3 ครั้ง

“การลงพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจกับผู้ได้รับผลกระทบแล้ว จะต้องแยกคนที่ได้รับผลกระทบจริงๆ ออกจากคนที่ไม่ได้รับผลกระทบเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องว่า จะใช้พื้นที่ตรงจุดใดและกระทบกับใครบ้าง เพราะที่ผ่านมา อาจจะมองว่าผู้ได้รับผลกระทบมีจำนวนมากเกินจริง นอกจากนี้ยังได้รับฟังความคิดเห็นของผู้ได้รับผลกระทบว่ามีข้อกังวล หรือมีความต้องการอย่างไรบ้าง ซึ่งการเยียวยาหากสามารถดำเนินการได้จะนำเสนอตามขั้นตอนแต่การพิจารณาจะต้องเหมาะสมไม่ให้เกิดปัญหาว่าเลือกปฏิบัติได้”นายพีระยุทธกล่าว

นายพีระยุทธกล่าวว่า นอกจากรถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วนตะวันตกที่เตรียมเสนอครม.ในปี 2559 แล้ว รฟม.ยังมีรถไฟฟ้าอีก 3 โครงการ ในความรับผิดชอบที่อยู่ในขั้นการศึกษาและจะทยอยเสนอครม.ภายในปี 2559 ประกอบด้วย, โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงบางแค –พุทธมณฑล สาย 4 ระยะทาง 7 กม. วงเงินลงทุน 17,262.45 ล้านบาท , โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวใต้ ช่วง สมุทรปราการ – บางปู ระยะทาง 9.2 กม. วงเงินลงทุน 13,701.21 ล้านบาท , โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ ช่วงคูคต – ลำลูกกา ระยะทาง 6.5 กม. วงเงินลงทุน 11,989.33 ล้านบาท

[Mongwin]

คมนาคม เผย ครม.เห็นชอบรถไฟฟ้าสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี 1.1 แสนลบ.
ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 8 ธันวาคม 2558 14:36:36 น.

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วง ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี วงเงิน 1.1 แสนล้านบาท นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ได้สั่งการให้เน้นใช้วัสดุในประเทศอย่างน้อย 30% ในการสร้างรถไฟฟ้าทุกสาย เพื่อสนับสนุนภาคเศรษฐกิจในประเทศ

[Wisarut]

ติงครม.เร่งอนุมัติสายสีชมพู เหตุไม่เคลียร์ข้อร้องเรียนหวั่นกระทบคนในพท.
โดย ฐานเศรษฐกิจ -
ออนไลน์เมื่อ 6 ธันวาคม 2558 156

หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,111 วันที่ 6 – 9 ธันวาคม พ.ศ. 2558
“วิชาญ” ท้วงครม.รีบเร่งไฟเขียวสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูก่อนเสนอสคร. และคณะกรรมการพีพีพี. พิจารณารูปแบบการร่วมลงทุนที่เหมาะสม ทั้งที่มีคนร้องเรียนเกรงจะเกิดผลกระทบต่อประชาชนและแนวเส้นทางยังไม่สอดคล้องกับการพัฒนาในอนาคต หลังรฟม.ทำหนังสือชี้แจงถึงแนวเส้นทางช่วงผ่านสถานีตลาดมีนบุรี

นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานมูลนิธิคนรักเมืองมีน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าตามที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) มีหนังสือชี้แจงเรื่องแนวเส้นทางโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีที่ 29 (สถานีตลาดมีนบุรี) ซึ่งทางมูลนิธิคนรักเมืองมีนได้ยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการรฟม. เพื่อขอให้พิจารณาทบทวนแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายดังกล่าว ช่วงจากถนนสีหบุรานุกิจไปยังถนนสุวินทวงศ์นั้น โดยทางรฟม.ยืนยันว่าแนวถนนสีหบุรานุกิจซึ่งเป็นแนวเส้นทางตามแผนแม่บทมีความเหมาะสมทั้งเตรียมนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในวันที่ 8 ธันวาคม 2558 เห็นชอบก่อนที่จะเสนอคณะกรรมการร่วมลงทุน(พีพีพี)ระดับชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิจารณารูปแบบการร่วมลงทุนที่เหมาะสมต่อไปนั้น

“การท้วงติงผ่านสื่อมวลชนครั้งนี้ วัตถุประสงค์เพื่อให้เห็นว่าก่อนที่ครม. จะพิจารณาเป็นประการใดนั้นอยากให้พิจารณาในกรณีว่ารถไฟฟ้าโครงการดังกล่าวนี้ ยังมีการเคลียร์ปัญหาข้อร้องเรียนต่างๆ หมดไปแล้วหรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบเมื่อมีการก่อสร้างโครงการ ทำให้เกิดความล่าช้าตามมาดังที่เกิดปัญหากับหลายเส้นทางมาแล้วที่พบว่ามีการร้องเรียนผ่านกระบวนการทางศาล หากสามารถแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนต่างๆได้ครบหมดแล้ว จึงน่าจะอนุมัติให้ดำเนินโครงการต่อไปได้มากกว่าจะดันทุรังนำเสนอพิจารณา”

นายวิชาญกล่าวอีกว่ากรณีดังกล่าวนี้ยังเห็นว่าประเด็นที่รฟม. ตอบกลับข้อชี้แจงดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจน ทั้งๆที่ผลกระทบเมื่อมีการก่อสร้างโครงการจะส่งผลโดยตรงต่อพื้นที่ของตลาดช่วงมีการก่อสร้างเพราะยังเห็นว่าพื้นที่ถนนสีหบุรานุกิจเป็นพื้นที่แออัด เป็นศูนย์รวมและการผ่านเข้า-ออกขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและรถตู้สาธารณะ มีผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ตลาดเพียง 1.5 หมื่นคน ประการสำคัญแนวรถไฟฟ้าผ่านเข้าไปยังพื้นที่ตลาดจะต้องเลี้ยวออกโดยข้ามไปยังคลองสามวา คลองแสนแสบ และข้ามถนนรามคำแหงไปยังสถานีซ่อมบำรุงนั้นเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้องตามหลักสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม

ทั้งนี้เห็นว่าจะเกิดผลกระทบช่วงการก่อสร้างอย่างมากโดยเฉพาะการรื้อย้ายระบบสาธารณูปโภค ทั้งแนวท่อประปา โทรศัพท์ และเสาไฟฟ้า แต่หากเลี้ยวไปตามถนนสุวินทวงศ์จะเกิดผลกระทบน้อยกว่า อีกทั้งยังสามารถสร้างการเชื่อมโยงพื้นที่ได้หลายรูปแบบ ทั้งสกายวอล์กหรือรถเมล์ไฟฟ้าเพื่อเลี่ยงความหนาแน่นจากการใช้พื้นที่แทนการนำแนวรถไฟฟ้าผ่านพื้นที่ ซึ่งน่าจะเกิดผลกระทบมากกว่าโดยเฉพาะจุดก่อสร้างสถานีในย่านชุมชน ทั้งหากมีการขยายแนวเส้นทางในอนาคตไปยังพื้นที่หนองจอกหรือฉะเชิงเทราก็สามารถดำเนินการได้สะดวกกว่า

“ส่วนเรื่องพีพีพีจะพิจารณาเรื่องรูปแบบการลงทุน แต่ในเมื่อสถานีอยู่ด้านนอกพื้นที่มากกว่าจะเข้าไปในชุมชนอย่างไหนจะลดต้นทุนได้มากกว่า อีกทั้งกรณีเดิมรฟม. จะใช้พื้นที่ประมาณ 80 ไร่ดำเนินการ ล่าสุดเพิ่มเป็นกว่า 200 ไร่ โดยอ้างเหตุว่าจะเป็นอาคารจอดรถ แต่ไม่คิดว่าเมื่อรถจำนวนมากทะลักเข้าไปใช้บริการจะเกิดปัญหาอะไรตามมาเพราะถนนโดยรอบปัจจุบันสภาพการจราจรหนาแน่นอยู่แล้ว อีกทั้งเมื่อมีสถานีอยู่ในตลาด รถจากหลายทิศทางทะลักเข้าไปใช้บริการที่สถานี 29 คิดง่ายๆ ว่าจะเกิดผลกระทบต่อปัญหาการจราจรถนนโดยรอบอย่างไร รัฐบาลควรตรวจสอบข้อมูลให้รอบคอบก่อนที่จะทิ้งภาระหรือปัญหาให้คนมีนบุรีในอนาคตจากกรณีหมกเม็ดโครงการนำเสนอให้ครม.อนุมัติ”

[Wisarut]

[Mongwin]

ตกลง 110,000 ล้าน หรือว่า 95,000 ล้านนะครับ