View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44782
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 16/02/2010 11:01 pm Post subject: |
|
|
ยอดเยี่ยมครับ ภาพเคลื่อนไหวถ่ายที่เมืองไทยก่อนสงครามนี่ หาชมได้ยากจริง ๆ |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42784
Location: NECTEC
|
Posted: 12/03/2010 3:26 am Post subject: |
|
|
ท่านผู้ว่าฯ จำนง เทพหัสดิน ได้เล่าถึงการเดินทางไปตามที่ต่าง ในระหว่างการไต่เต้าเป็นนักปกครองระดับภูธร แต่ ปี 2487 - 2518 จนเกษียรอายุในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัด ก่อนจะได้เป็น รมช. มหาดไทยในปี 2521 ไว้สนุกหลายเรื่อง - ซึ่งหาอ่านได้่ใน 32 ปี แห่งชีวิตนักปกครอง
ตอนแรก ที่จบอักษรศาสตร์ จุฬา ได้ไปเป็นครูสอนหนังสือเป็นครูตรี ที่เทพศิรินทร์ ปี 2481 เงืนเดือน 110 บาท แต่จ่ายให้แม่ 40 บาท เหลือใช้จริง 70 บาท ในยุคที่ทองบาทละ 25 บาท แต่เพราะอยากเป็นนายอำเภอแท้ๆ ทั้งๆที่ไม่จบรัฐศาสตร์ ถึงได้หาทางเข้าทำงานที่มหาดไทย โดยทำงานที่กรมประชาสงเคราะห์ที่เพิ่งตั้งใหม่ปี 2483 ได้เงินเดือน 80 บาท ที่ต้องเจียดให้แม่เหมือนเดิม ....
ต่อมา ได้ไปเป็นผู้ปกครองโรงเรียนประชาสงเคราะห์ ที่ปากเกร็ด ราวปี 2484 ทำให้ได้เห็นอิทธิฤทธิ์การเล่นพรรคแล่นพวก อย่างจังๆ ก็คราวนี้่เอง คือ เกิดเหตุสมเด็จองค์เก่าพ้นอำนาจ สมเด็จองค์ใหม่ที่เป็นคนชั่วช้า (จริงๆ เป้นคนเดิม แต่ได้กลับเข้ามาถิ่นเก่า หลังโดนโยกย้ายไปพักหนึ่ง) ได้กลับเข้ามา ทำให้ไม่มีการสานต่อนโยบายดีๆ ที่คนเก่าเขาทำไว้ เพราะพวกใครพวกมัน
อีก 3 เดือนต่อมา ได้ย้ายไปแผนกบรรเทาสาธารณภัย เลยได้ไปแจกจ่าย เสื้อผ้า ยา อาหารแห้งที่สหรัฐไทยเดิม ทำให้รู้สึกโล่งอกไป แต่กระทันก็ต้องสมบุกสมบันไม่ใช่น้อย
ทางที่ว่าสมบุกสมบัน ก็เพราะชั้นแต่เมืองโกที่ห่างจากแม่่สายแค่ 15 กิโลเมตร ก็ใช้เวลาเดินเท้า 1 วันเต็มๆ เพราะถนนเป็นเลนตมลึกเท่าหัวเข่า แจกของ 1 เดือนเต็มๆ ถึงจะหมด และกลับกรุงเทพได้ พอหน่วยบรรเทาสาธารภัยมีการย้ายสังกัด คุณจำนง ต้องการออกจากกรมประชาสงเคราะห์ เพราะเบืองานด้านนี้เต็มที อยากเข้าสู่มหาดไทยในฐานะนักปกครอง ก็ต้องเจรจากับท่านขุนจำนงภูมิเวช (อธิบดรกรมประชาสงเคราะห์) โดยอ้างว่ารักกับผู้หญิง แต่พ่อแม่่ของสาวนั้นอยากให้เป็นปลัดอำเภอ การเจรจาครั้งนี้นัยว่าถูกเส้นท่านมาก ... ก็จะดำเนินการ ... แต่ จู่ๆ ก็ได้รับคำสั่งให้ไปเชียงตุงเป็นคำรบ 2 เลยได้เห็นทหารไทยที่เดินทางกลับไปพักรักษาตัว โดนมาลาเรียกินเม็ดเลือด นอน สั่นหงึกๆ ขณะที่ทหารใหม่ ดูจะไม่สนใจว่าต่อไปตนจะนอนสั่นหงึกๆ หรือไม่ก็กลับมาทางกระบอกไม้ไผ่ เพราะ เวลานั้น ที่เชียงตุงมีแต่พยาบาลชาวไทยใหญ่ หรืออย่างดีก็เสนารักษ์ประจำหน่วยทหาร
งานนี้ ขนข้าวและเกลือจากลำปาง ไปเชียงตุง 3 เที่ยว เลยได้่เห็นตลาดมืดของจริง เพราะเวลานั้น ข้าวและเกลือแพงมาก ขนาดขายกระสอบละ 40 บาทที่ลำปาง แต่ขายได้กระสอบ 80-90 บาท ที่ผู้การถาวร เคยเล่าว่า เกลือ กระสอบละเท่าทองคำ 1 บาท เพราะเวลานั้นทองบาทละ 86 บาท จนมีผู้หากินโดยการขนข้าวและเกลือ ไปขายเชียงตุงเอากำไร แค่ 2 กระสอบ ก็มากกว่าเงินเดือนทั้งเดือนแล้ว ที่เมืองมะนี้เอง ที่ได้เจอกับพันตรี สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผบ.พันปืนกล 1 ที่ดูแลรักษาพื้นที่อยู่
ที่เมืองมะนั้น เจ้าเมือง (ผู้ใหญ่บ้าน) วัยกลางคนยังไถนาเลยนะครับ ไม่ได้อยู่สบาย สมัยนั้น ค่าเสียผีกับสาวที่เพิ่งเป้นวัยรุ่นไม่กี่ปี แค่ 12 บาท แต่ค่ากินดองกะ สาวนั้น จ่ายเป็นทอง หนึ่งจั๊ต หรือทองหนึ่งบาทก็พอแล้ว
พอกลับกรุงเทพฯ แม่ของท่านจำนงตกใจนึกว่าเป็นผี เพราะฝ่าดงมาลาเรียที่เชียงตุงมา แต่รอดตายมาได้
จากนั้นไม่นานในปี 2487 ก็ได้เป็นปลัดอำเภอตรี ที่หนองแค สระบุรี และเพียงแค่ปีเดียวก็เกิดอภินิหารได้เป็นนายอำเภอ ที่อำเภอยางตลาด จังหวัดมหาสารคาม เพราะยุคนั้น จังหวัดกาฬสินธุ์ถูกยุบแต่ปี 2474 เพราะประหยัดงบประมาณ เวลานั้นทั้งอำเภอไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้อง จุดตะเกียงน้ำมันหมู และการเดินทางจากกรุงเทพ ไปยางตลาด ใช้เวลา 2-3 วัน เที่ยวแรก ขึ้นรถรวม 43 กรุงเทพ - นครราชสีมา จากนั้น ขึ้นรถรวม 151 นครราชสีมา - อุดรธานี ลงบ้านไผ่ แล้วขี่เกวียนไปที่ยางตลาด ...
พรุ่งนี้่จะมีต่อ เพราะเรื่องราวของท่านสนุกจริงๆ โดยเฉพาะการไปเป็นนายอำเภอ ที่กำแพงเพชร ช่วงปี 2491-92 เพราะสมัยนั้น จากกรุงเทพฯ ไปกำแพงเพชร ไปได้ทางเดียวคือ ทางน้ำ จากกรุงเทพฯ ขึ้นเรือแดงที่ บขส. รับช่วงกิจการมากจากบริษัทเรือไทยที่ปิดกิจการ วันแรกไปถึงปากน้ำโพ วันที่ 2 จึงได้ขึ้นทวนน้ำไปตามลำแม่ปิง จนถึงกำแพงเพชร
Last edited by Wisarut on 13/09/2017 1:33 pm; edited 3 times in total |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44782
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 12/03/2010 2:31 pm Post subject: |
|
|
เคยอ่านนานมากแล้วครับ น่าจะเอามาพิมพ์ใหม่
ถือเป็นหนังสือที่โด่งดังมากเมื่อ 30 ปีที่แล้ว
ไว้จะยืมหอสมุดปรีดี พนมยงค์มาอ่านอีกครับ |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42784
Location: NECTEC
|
Posted: 16/03/2010 11:16 am Post subject: |
|
|
วันนี้ได้คุยกับเพื่อฝรั่งถึงได้ความว่าเมื่อปี 2502 มีประกาศชวนท่องเที่ยวที่ศรีราชาไปดูการทำไม้และ รถไฟป่าไม้ที่ศรีราชาด้วย ค่าจัดทัวร์คิด หัวละ 800 บาทเอง |
|
Back to top |
|
|
nathapong
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 3515
Location: Ayuthaya - Lamlukka - Navanakhon - Silom
|
Posted: 16/03/2010 12:40 pm Post subject: |
|
|
Wisarut wrote: | วันนี้ได้คุยกับเพื่อฝรั่งถึงได้ความว่าเมื่อปี 2502 มีประกาศชวนท่องเที่ยวที่ศรีราชาไปดูการทำไม้และ รถไฟป่าไม้ที่ศรีราชาด้วย ค่าจัดทัวร์คิด หัวละ 800 บาทเอง |
ถ้าราคา 800 บาท ในสมัยปี 2502 (ก่อนผมเกิดอีกแน)
ถ้าคิดเป็นมูลค่าเงินในปัจจุบัน ไม่ตกร่วม ๆ 40,000 บาทเรอะ..เฮีย
(เทียบจากมูลค่าทองคำ ปี 2502 ราคาทองคำตกราว ๆ บาทละสามร้อย ตอนนี้ บาทละ 18,000 บาท) |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44782
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 16/03/2010 1:05 pm Post subject: |
|
|
ทองคำ ราคาถีบตัวสูงเกินไป ลองคิดคำนวณจากอัตราค่าบริการสาธารณะดีกว่าครับ
-------------------
พ.ศ. ๒๕๐๔
โรงแรมรถไฟหาดใหญ่ ห้องเตียงคู่ ราคา ๕๐-๕๕ บาท
โรงแรมสุขสมบูรณ์ ๑ สงขลา ห้องเตียงคู่ ราคา ๔๐ บาท
อัตราค่าโดยสาร รถโดยสาร
สงขลา-หาดใหญ่ ๓๐ กิโลเมตร คนละ ๒ บาท
หาดใหญ่-สะเดา ๔๐ กิโลเมตร คนละ ๓ บาท
อ้างอิง : หนังสือ นำเที่ยวสงขลา พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔
----------------
ปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๕๓) ๕๐ ปีผ่านไป
โรงแรมสุขสมบูรณ์ ๑ ห้องเตียงคู่ ราคา ๓๕๐ บาท
คิดเป็น ๓๕๐/๔๐ = ๙ เท่าของราคาเมื่อ ๕๐ ปีก่อน
ค่าโดยสารรถโพธิ์ทอง สงขลา-หาดใหญ่ = ๒๐ บาท
คิดเป็น ๑๐ เท่าของราคาเมื่อ ๕๐ ปีก่อน
----------------
ดังนั้น พออนุมานได้ว่า ค่าบริการการคมนาคมขนส่ง โรงแรม ๕๐ ปี เพิ่ม ๑๐ เท่า
ดังนั้น ค่าทัวร์ศรีราชาสมัย ๒๕๐๒
คิดเป็นการพักโรงแรมรถไฟหาดใหญ่ห้องเตียงคู่ได้ = ๘๐๐/๕๐ = ๑๖ คืน
และนั่งรถไปกลับหาดใหญ่-สงขลาได้ = ๘๐๐/๔ = ๒๐๐ วัน
หรือคิดเทียบเป็นอัตราเงินปัจจุบัน = ๘,๐๐๐ บาท เลยทีเดียว
พอ ๆ กับค่าเหมา บจพ.ป.ไหมครับ |
|
Back to top |
|
|
pak_nampho
1st Class Pass (Air)
Joined: 25/06/2007 Posts: 2371
Location: คนสี่แควพลัดถิ่น ทำมาหากิน ที่เกาะภูเก็ต
|
Posted: 16/03/2010 4:50 pm Post subject: |
|
|
เอ..สูตรคำนวนของ ป๋าณัฐและอ.เอก เฮียวิศจะว่าอย่างไรหนอ... _________________ +++++++++++++++++ ๑๑๖ ปี รถไฟไทยก้าวไกล....จากรถจักรไอน้ำ +++++++++++++++++
....................บุตร ครฟ. พขร.ตรี แขวงรถพ่วงปากน้ำโพ ................... |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42784
Location: NECTEC
|
Posted: 22/03/2010 2:00 pm Post subject: |
|
|
^^^
ก็ไม่ว่ากระไรนี่
วันนี้ค้นเจอเรื่องราวเกี่ยวกับ Siam Steam Navigation Co.Ltd. ที่เป็นบริษัทลูกของ East Asiatic Company สมัยก่อนที่แปรสภาพ เป็น Thai Navigation Co. ปี 2484 ก่อน จะปิดฉากตัวเองในรูป Thai Marine Navigation Co.Ltd. ปี 2522 ได้ความว่า
เรือ ของ Siam Steam Navigation Co.Ltd. จากสิงคโปร์ไปกรุงเทพ
จาก Krctay, ไปตรังกานู (Tringganu), Bisut, Semerak, กลันตัน (Kelantan), ตากใบ (Tabai), บางนรา (Ba.ignara), ตะลุบัน (Telupin), ปัตตานี (Patani), สงขลา (Singora), นครศรีธรรมราช (Lacon), เกาะสมุย (Kobsamoi), บ้านดอน (Bandon), หลังสวน (Langsuen), บ้านตะโก (Taka), ชุมพร (Chumpon), เกาะหลัก (Koblak) และ กรุงเทพ (Bangkok). ออกทุกอาทิตย์
นี่เอง ที่ทำให้สิ้นเหตุที่จะทำทางรถไฟจากสงขลาเลียบชายฝั่งไปหมดระยะที่ตากใบ นอกเหนือจากการ Link ยะลาให้เข้าระบบ
http://newspapers.nl.sg/Digitised/TOC.aspx?issueid=straitstimes19160330 |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44782
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 22/03/2010 3:36 pm Post subject: |
|
|
ภาคใต้ได้เปรียบภาคอื่น ๆ ตรงที่มีทะเล
แม้ระยะทางจะไกล แต่ใช้เรือได้ รวดเร็วกว่าการคมนาคมภาคอื่นหลายเท่าตัวมาตั้งแต่ครั้งโบราณ
สมัยก่อนเลยพยายามสร้างทางรถไฟผ่านที่กันดาร ที่ห่างทะเลเข้าไว้ครับ |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42784
Location: NECTEC
|
Posted: 28/03/2010 12:18 pm Post subject: |
|
|
เมื่อวานนี้ผมเพิ่งซื้อ หนังสือ 32 ปี แห่งชีวิตนักปกครอง มาไว้ในครอบครองแล้ว ทำให้ทราบว่า กว่าแก้ปัญหา เรื่อง ผู้ใหญ่บ้าน (แก่บ้าน) ไม่ได้เรื่อง ภายในเขต อำเภอ ยางตลาด จังหวัดมหาสารคาม (ในสมัยที่กาฬสินธุ์ถูกยุบ) ก็ต้องปลดผู้ใหญ่บ้านแล้วเลือกตั้งกันใหม่ กันระนาว หลังจากย้ายไปเป็นนายอำเภอ ที่หนองหมาจอก อำเภอ ยางตลาด จังหวัดมหาสารคาม (ในสมัยที่กาฬสินธุ์ถูกยุบ)
ตอนหลังสงครามเถ้าแก่ ภาคอีสานตั้งตัวเป็นนายอำเภอบ้าง ผู้ว่าราชการจังหวัดบ้าง ขนาดเถ้าแก่ที่ บ้านไผ่ตั้งตัวเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นก็มีมาแล้ว แม้แต่ที่ยางตลาดก็มีเถ้าแก่ตั้งตัวเป็นนายอำเภอ ต่อมาเถ้าแก่นั้นโดนตีหัว และ โดนเผาเรือน โดยลูกชายเถ้าแก่กล่าวหาว่าเมียนายอำเภอเป็นผู้จุดคบเผาเรือน ตรงชายคาบ้านกว่าจะแก้ข้อกล่าวหาได้ ก็แทบแย่
ต่อมาปี 2490 กรมมหาดไทย (กรมการปกครอง) ย้ายนายอำเภอจำนง ไปที่กำแพงเพชร ทางที่สะดวกสุด ก็คือ นั่งเรือแดง จากท่าเตียนไปนอนค้างปากน้ำโพใช้วลา 2 คืน แล้วขึ้นตามลำน้ำปิง ด้วยเรือกระแชงติดเครื่้องยนต์เพราะ ทางรถไฟถูกทิ้งระเบิดสะพานขาด เป็นตอนๆ คืนแรก ไปถึงบรรพตพิสัย คืน 2 ไปถึงคลองขลุง กว่าจะถึงตัวเมืองกำแพงเพชรที่ทำท่าจะเป็นแดนเถื่อน ก็เย็นวันที่ 3 รวมใช้เวลาเดินทาง 5 วัน งานนี้ กว่าจะกำหราบบรรดานักเลงโต ทั้งที่เป็นตำรวจ สรรพสามิต และ ลูกน้องนายกเทศมนตรี ก็แทบแย่เหมือนกัน เพราะ โดนขู่เอาชีวิตถึงเรือน แถมคืนแรกก็โดนต้อนรับด้วย ลูกปืน 7 นัด ยิงไปที่เรือน และ กว่าจะสงบได้ก็หลายปี สิ้นปี 2491 คนตายไปอย่างน้อย 40 คน และ มีการโยกย้่ายบรรดาเจ้าพนักงานที่ รู้เห็นเป็นใจกับบรรดานักเลงโตทั้งหลายออกไปจากจังหวัด ก็ไม่ใช่น้อย
หลังจากอยู่กำแพงเพชรมา 3 ปี 3 เดือนก็ย้ายไปอยู่อ่างทอง ซึ่งสงบจริงๆ ไม่มียิงกันตายรายวันจนต้องพกปืนติดตัวทุกวัน เหมือนที่กำแพงเพชร จากกรุงเทพ ไปอ่างทอง ไปขึ้นเรือแดง ที่ อยุธยาจะสะดวกที่สุด เพราะ ทางรถไฟช่วงกรุงเทพ - อยุธยา - บ้านภาชียังดีอยู่
อยู่ที่อ่างทอง 6 เดือน คราวนี้ ขอย้ายตัวเองไปคลองขลุง ตอนแรกรบกับกำนันอิทธิพล จนที่สุด ก็ ให้กำนันลาออก ถอดเขี้ยวเล็บเสีย ซึ่งก็ได้ผล แถมต่อมามีการดวลปืนกับเสือทอน
ต่อมา จะด้วยเคราะห์กรรมอะไรก็ไม่ทราบ เกิดมหกรรมเหยียบตาปลา บรรดาตำรวจ ของ อั้งเผ่า ที่คลองขลุงจนถูกย้ายไปอยู่ ที่อำเภอแม่ระมาด เมือปี 2495-96 ต้องเดินทางจากำแพงเพชรไปตาก จากตากขึ้นเครื่องบิน แบบ 6 คนนั่งไปแม่สอด จาก นั้น ถ่อแพตามลำน้ำสาละวิน 4 วันกว่าจะถึงแม่ระมาด ต้อง อยู่กับกะเหรี่ยง กลางคุกนรกสีเขียว คือ ป่าดงดิบ ... จนเกือบต้องลาออกจากราชการเพราะท้อใจเหลือเกิน แต่ลาออกไม่ได้เพราะ ตอนนั้นโดนคณะกรรมการสอบสวนอยู่
ตอนหลังต้องมีเรื่องพัวพันกับ เรื่องคดีฆ่ากันตายที่ เหมืองวุลแฟรมที่ กิ่งท่าสองยาง มีการขุดแร่วุลแฟรมขนขึ้นหลังลาไป ส่งที่แม่สอด และ มีหินน้ำมัน ที่พอทำเป็นก้อนเส้าแล้วไฟไหม้ทุกที อยู่ที่ ท่าสองยางก็พยายามจะตัดถนน พอให้เกวียนผ่านไปได้ ก็แทบแย่ ที่ท่าสองยาง นั้นสถานีตำรวจอยู่ห่างจาก เหมืองแร่วุลแฟรมที่ติดอำเภออมก๋อยซึ่งมักมีเหตุฆ่ากันตาย โดยการเดินเท้า 7 วัน
ส่วนถนนจากท่าสองยางไปแม่ฮ่องสอน กองทัพญี่ปุ่นเคยพยายามตัดเส้นทางแต่มาเจอ ตีนดอยแห่งหนึ่งแถวท่าสองยาง ก็หมดวิริยะ เพราะ ชันเหลือเกิน นายอำเภอและ พรรคพวกต้องปีนเขาถึงจะผ่านไปได้
ปี 2499 ทางการ บอกว่า ท่านนายอำเภอจำนง พ้นมลทิน - ต้องเปลี่ยนคณะกรรมการสอบสวน 4 ชุด เพราะ ระหว่างสอบสวน คณะกรรมการ ถึงแก่กรรมเสียก่อน เลยต้องตั้งกันใหม่ พอปี 2500 จะมีเลือกตั้งก็เลยไหววานให้ น้องชายที่เป็นสส. พรรคเสรีมนังคศิลาให้วิ่งเต้นย้ายออก จาก ท่าสองยาง ไป อยู่ที่พรานกระต่าย ก็ไกด้รับกับเสือปล้นอีก
ต่อมาก็ถูกย้ายไปที่พนัสนิคม เพื่อไปรบกับผู้กว้างขวางแห่งพนัสนิคม ก่อนได้รับแต่งตั้ง เป็นหัวหน้ากองการปกครอง ที่กรุงเทพ
ตอนไปเป็นนายอำเภอตาคลี คราวนี้ได้มีรถจี๊ปประจำตำแหน่ง แทนการขี่ม้า ก็เป็นตอนที่อเมริกัน ตั้งฐานทัพที่ตาคลี เลยได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ชนิดชั่วข้ามคืน และ ต้องคอยประสานความเข้าใจระหว่างทหาร ตำรวจ และ ฝ่ายปกครอง กัน
ผลงานที่ตาคลีนี้เอง ที่ทำให้ นายอำเภอจำนง ได้พระบรมราชโองการ เลือนตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด คราวนี้สบายกว่า เดิมเยอะ แต่ ก็มีเรื่อง ประหลาดๆ คราว ที่เป็นผู้ว่าราชการจังหวัีดพระนครศรีอยุธยา เพราะ อยู่ดีๆ ตอนจัดงานเลี้ยงในแพริมน้ำ เจ้าหน้าที่เกิดหงายหลัง ตกแพ จมน้ำ หายไปตอหน้าต่อตา ผู้ว่าฯ บ้าง เจ้าหน้าที่ เกิดตายก่อนเวลาอัีนคววรให้เห็นเป็นประจำ แต่ ช่าวง 14 ตุลาคม - ยุคปฏิรูปนี้ทำให้ ผู้ว่าจำนงต้องปวดใจกับเรื่อง นักศึกษาจอมประท้วงรายวัน นัดหยุดงานรายวัน เล่นเอาแทบแย่
เรียกได้ว่า ชีวืตของ ท่านรัฐมนตรีจำนง นี่ครบรสจริงๆ
Last edited by Wisarut on 25/08/2013 10:20 pm; edited 1 time in total |
|
Back to top |
|
|
|