View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
pak_nampho
1st Class Pass (Air)
Joined: 25/06/2007 Posts: 2371
Location: คนสี่แควพลัดถิ่น ทำมาหากิน ที่เกาะภูเก็ต
|
Posted: 20/12/2007 4:37 pm Post subject: |
|
|
ใช่ครับน้องธี....
แบบแรก เป็นของ ผู้ขับขี่
แบบสอง เป็นชนิดนั่งสบายแล้วยังบ่น ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
_________________ +++++++++++++++++ ๑๑๖ ปี รถไฟไทยก้าวไกล....จากรถจักรไอน้ำ +++++++++++++++++
....................บุตร ครฟ. พขร.ตรี แขวงรถพ่วงปากน้ำโพ ................... |
|
Back to top |
|
|
CENTENNIAL
1st Class Pass (Air)
Joined: 30/03/2006 Posts: 3642
Location: Thailand
|
Posted: 20/12/2007 11:14 pm Post subject: |
|
|
แต่ว่าเส้นทางวงกลม
เชียงใหม่-หางดง-สันป่าตอง-ดอยหล่อ-จอมทอง-ฮอด-แม่สะเรียง-แม่ลาน้อย-ขุนยวม-แม่ฮ่องสอน-ปางมะผ้า-ปาย-แม่แตง-แม่ริม-เชียงใหม่
ระยะทางคร่าวๆ
เชียงใหม่-แม่สะเรียง 190 กิโลเมตร
แม่สะเรียง-แม่ฮ่องสอน 170 กิโลเมตร
แม่ฮ่องสอน-ปาย 105 กิโลเมตร
ปาย-แม่แตง 100 กิโลเมตร
แม่แตง-เชียงใหม่ 30 กิโลเมตร
รวม 595 กิโลเมตร
ผมต้องไปพิชิตให้ได้ครับเพื่อความมันส์ และสะใจในชีวิต โดยใช้มอเตอร์ไซต์ BIGBIKE เหมือนเดิม เนื่องจากมีสมรรถนะและความคล่องตัวสูง
กะว่าออกจะจากเชียงใหม่ซักตี 5 ถึงแม่ฮ่องสอนไม่เกินบ่ายโมง ถึงปายไม่เกิน 4 โมงเย็น ก็นับว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงยิ่งแล้วครับ
.........................................................................................................................
หลังจากชมวิวทางด้านทิศตะวันออกแล้ว ก็ลองเปลี่ยนมาชมวิวทางทิศตะวันตกบ้างครับ โดยผมก็ได้ควบเจ้า SF400 เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1095 อีกครั้ง แล้วก็มาจอดตรงป้ายนี้ล่ะครับ เพราะสื่อถึงสถานที่ได้ดีที่สุดครับ
จากภาพนี้แสดงให้เห็นเลยครับว่า ขณะนี้เราอยู่บนยอดดอยจริงๆ แล้วหนทางข้างหน้าที่ยาวไกลกว่าจะถึงแม่ฮ่องสอนนั้น เรายังต้องขึ้นลงดอยอีกมากมายเลย
อากาศข้างบนนี้ก็เย็นสบายจริงๆ ครับ จะว่าไปแล้วบนยอดดอยกิ่วลมนี้ น่าเอาเต็นท์มานอนค้างคืนชมดาวเหมือนกันนะครับ แต่อีกใจก็กลัวว่าถ้าจะนอนที่นี่จริง กลางคืนต้องห่มผ้าห่มหรือถุงนอนอย่างหนา ไม่งั้นลมหนาวจะโกรกซะแข็งตายก่อน เพราะอยู่บนยอดดอยซะขนาดนี้
ถ่ายภาพจนพอใจแล้ว ก็ออกเดินทางต่อ แต่พอขยับมาอีกนิดนึงก็เจอช็อตเด็ดที่น่าถ่ายภาพเก็บไว้ครับ
บางท่านอาจแย้งว่า ไม่เห็นจะมีช็อตด่ง ช็อตเด็ดอะไรเลย แต่สำหรับผมแล้ว ผมว่ามันยอดเยี่ยมเลย และไม่ควรพลาดที่จะเก็บภาพนี้ไว้
เห็นเส้นทางถนนด้านซ้ายมือในภาพไหมครับ
เป็นเส้นทางข้างหน้าที่ผมจะต้องผ่านไปล่ะครับ มันสื่อให้เห็นเลยว่าเส้นทางนี้คดเคี้ยวเป็นงูเลื้อยขึ้นภูเขาเลย และมันก็แสดงให้เห็นด้วยว่า เส้นทางขึ้นดอยกิ่วลมนี้ สูงชันแค่ไหน
แต่ว่าอย่าเสียเวลาในจุดนี้นานนักเลย รีบเร่งเครื่องเดินทางไปถ้ำผีแมนยู ก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะเย็นมืด ซะก่อน
โดยผมยืนยันในหลักการเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลงครับ คือการดับเครื่องยนต์พร้อมทั้งใส่เกียร์ว่างเพื่อให้รถไหลลงภูเขาไปเอง ไม่ต้องเปลืองน้ำมัน อีกทั้งยังรู้สึกสนุกดีอีกด้วย
เจ้า SF400 ก็ไหลลงดอยมาอย่างเงียบๆ ด้วยความเร็วในทางตรงที่ผมจำกัดไว้ไม่ให้เกิน 60 กม./ชม. ส่วนทางโค้งหักศอกทั้งหลายก็ไม่เกิน 20 กม./ชม. โดยระบบห้ามล้อของ SF400 คันนี้ ก็ยังทำงานของมันอย่างซื่อสัตย์มั่นคง ไว้ใจได้ดีทีเดียวเลยครับ
ไหลไปเรื่อยๆ ได้ระยะทางมาเกือบๆ 15 กิโลเมตร เลยทีเดียว จนกระทั่งถึงพื้นราบ แต่ก็ไม่ได้ราบเรียบซะทีเดียวครับ จึงมีขึ้นลงเนินอยู่ แต่ถ้าผมจะปล่อยให้รถไหลไปอีกก็คงเป็นเต่าขาเป๋คลานอย่างแน่แท้ จึงต้องกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ แล้วเร่งความเร็วมุ่งหน้าไปยัง อ.ปางมะผ้าต่อไป
ตอนนี้ผมรู้สึกเองว่าจะรู้ใจเจ้า SF400 คันนี้ ดีมากๆ แล้ว จึงกล้าที่จะควบมันเข้าโค้งที่ไม่แคบมากนักด้วยความเร็วประมาณ 60-80 กม./ชม. หลายท่านอาจคิดว่าผมประมาทมากเกินไปหรือไม่ นี่รถมอเตอร์ไซต์รุ่นใหญ่นะแก แล้วถ้ามันล้มจะยกขึ้นไหวไหม... ผมขอออกตัวไว้ก่อนครับว่า ผมเคยไปล้มกับรถรุ่นใหญ่ๆ แบบนี้มาแล้ว และโชคดีมากๆ เลย ที่ขาไม่หัก และนั่นทำให้ผมรู้ว่า ผมพอจะเบ่งพลังจะยกมันขึ้นได้เพื่อจะเดินทางต่อไป
สรุปง่ายๆ ว่า ผมมีชั่วโมงบินในการควบรถ BIGBIKE มาในระดับนึงครับ
แต่ในขณะที่กำลังควบมาด้วยความเร็วเท่ากับพิกัดทางรถไฟในบางเส้นทางคือ 80 กม./ชม. ผมก็เหลือบเห็นป้ายบอกระยะทางป้ายนึงครับ ที่ผมน่าจะต้องหยุดรถและถ่ายเก็บไว้ก่อน เพราะว่า วันนี้ผมคงไปไม่ถึงตัว จ.แม่ฮ่องสอน อย่างแน่นอน
และเป็นตัวเลขที่ลงตัวดีครับ "แม่ฮ่องสอน 70 กิโลเมตร" ความจริงน่าจะเขียนอีกป้ายด้านล่างว่า 70 กิโล(แม้ว กระเหรี่ยง ลีซอ ฯลฯ ) เพราะถ้าเฉลี่ยแล้วแต่ละกิโลเมตรของเส้นทางนี้ ใช้เวลามากกว่าเส้นทางราบปกติประมาณ 3 เท่าได้ครับ ฉะนั้นแล้วอย่าดูถูกว่า 70 กิโลเมตร แป๊บเดียวก็ถึงเป็นอันขาด เพราะว่า
-ถ้าเป็นรถยนต์ส่วนตัวที่มีกำลังเครื่องยนต์สูง และ พขร.มั่นใจมากว่าตนขับรถทางภูเขาได้ดีเยี่ยม อาจใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
-ถ้าเป็นรถยนต์ส่วนตัวที่มีกำลังเครื่องยนต์สูงหรือปานกลาง ส่วน พขร.เน้นความปลอดภัยเป็นสำคัญ อาจใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง
-ถ้าเป็นรถยนต์ส่วนตัวที่มีสภาพค่อนข้างเก่า และกลัวน้ำร้อนกลางทาง จึงต้องย่องไปเรื่อยๆอาจใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง
-ถ้าเป็นรถยนต์ส่วนตัวที่เป็นรถนำเที่ยว มีการจอดกลางทางบ่อยๆ เพื่อถ่ายรูป และชมวิวไปเรื่อยๆ อาจใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง
-ถ้าเป็นรถตู้โดยสารประจำทาง ที่ พขร. เน้นทำรอบ และไม่เคยได้ยินทำว่าเลท หรือเสียเวลา อาจใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
-ถ้าเป็นรถตู้โดยสารประจำทาง ที่ พขร.เน้นความปลอดภัย และสวัสดิภาพของผู้โดยสารที่นั่งเบาะท้าย อาจใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง
-ถ้าเป็นรถเมล์แดงโดยสาร ที่ พขร.ไม่ว่าจะมีความมั่นใจในฝีมือการขับรถขึ้นดอยหรือไม่ และไม่จำเป็นว่าจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้โดยสารหรือไม่ แต่เพราะสภาพรถและเครื่องยนต์มันไม่อยากจะซิ่งอยู่แล้ว ดังนั้นเลยกลายเป็นว่าเน้นความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นอันดับหนึ่ง อาจใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง หรืออาจมีแถมเป็น 5-6 ชั่วโมง เพราะรถเน่า ต้องจอดกลางทาง แล้วรอขนถ่ายไปรถเที่ยวหลัง
จอดที่จุดนี้ไม่ถึง 5 นาทีผมก็เดินทางต่ออีกครับ จริงๆ แล้วป้ายนี้ทำให้ผมอยากรู้เหมือนกันนะครับว่า ถ้าผมควบเจ้า SF400 คันนี้ไปแม่ฮ่องสอน ผมจะใช้เวลาเท่าใด แต่เห็นเพื่อนผมบอกว่า เส้นทางช่วงตัว อ.ปางมะผ้า ไป ตัว อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ก็มีขึ้นดอยลงดอยเหมือนช่วง จาก อ.ปาย มา อ.ปางมะผ้า นี่ล่ะ แล้วดีไม่ดียอดดอยจะสูงกว่าซะอีก แต่แหมเวลาไม่เอื้ออำนวยเลยครับ
ด้วยความเร่งรีบและเพลินกับการควบด้วยความเร็ว 90 กม./ชม. ทำให้ผมผ่านตัว อ.ปางมะผ้า โดยไม่รู้ตัวเลยครับ แหม ก็ตัว อ.ปางมะผ้า นี่ เล็กมากๆ เลยครับ เหมือนเป็นหมู่บ้านริมเส้นทางแค่นั้นเอง อาจเป็นด้วยภูมิประเทศที่ไม่น่าจะเป็นเมืองก็ได้ เพราะตั้งอยู่ในหุบเขาเลยครับ มีภูเขาทั้งสองด้าน และมีแม่น้ำปายไหลผ่านอีกด้วย ทำให้พื้นที่มีจำนวนจำกัดมากๆ ไม่รู้ว่าในประเทศไทยจะมี อ.ไหน ที่เล็กเท่าปางมะผ้าอีกบ้างครับ แต่ผมก็คิดว่าตัวอำเภอนี้ ผู้คนคงจะอยู่กันอย่างสงบสุขครับ และคงมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นอย่างดีแน่นอน ด้วยความที่เป็นเมืองเงียบๆ นั่นเอง
ผมขับรถเลยทางเข้าถ้ำน้ำลอด และถ้ำผีแมน(ยู) มาประมาณ 5 กิโลเมตรได้ครับ ที่รู้ว่าเลยก็เพราะหันไปมองป้ายฝั่งรถสวนทางที่มุ่งหน้ากลับไปเชียงใหม่ แล้วเห็นป้ายบอกครับ ก็เลยต้องกลับรถ และมุ่งหน้ากลับมายังตัว อ.ปางมะผ้า อีกครั้ง และในที่สุดก็พบว่ามีทางแยกเข้าไปยังถ้ำน้ำลอด ในตัว อ.ปางมะผ้า นั่นเอง โดยถ้ำน้ำลอดนั้น จากทางหลวงหมายเลข 1095 ต้องเลี้ยวเข้าไปทางทิศเหนืออีก 8 กิโลเมตร เลยครับ ถือว่าไกลเหมือนกัน แต่ใจมันตั้งมาแล้วครับ ยังไงก็ต้องไปให้ถึง
เส้นทางจากปากทาง เข้าไปยังถ้ำน้ำลอดก็เป็นเส้นทางคอนกรีตแบบไม่เรียบมากๆ มีหลุมประปราย รถยนต์คงขับได้ไม่เกิน 30 กม./ชม. อย่างแน่นอน และเป็นเส้นทางเล็กๆ ขนาดรถสวนกันได้พอดี ลัดเลาะไปในป่า โดยอยู่ในร่มของต้นไม้ใหญ่ซะ 6 กิโลเมตรเลยครับ ถ้าถามว่าเปลี่ยวไหม ขอตอบว่า เปลี่ยวมากๆ เลย นานๆ จะมีรถนั่งท่องเที่ยวสวนมาซักคัน แต่ผมก็ไม่ได้กังวลในจุดนี้แต่อย่างใด เพราะนี่ยังกลางวันครับ ถ้าเป็นกลางคืนแล้วนั้น ผมคงต้องตัดสินใจอย่างหนักแน่นอน
แม้ว่าจะเป็นทางเล็กๆ ที่ไม่เรียบเลย และมีหลุมบ่อประปราย แต่ผมก็ควบซะ 70 กม./ชม. ทำให้ผมแซงรถนักท่องเที่ยวไปหลายคันครับ แต่ก็เกือบตกถนนไปสองครั้ง เพราะทางมันแคบและโค้งแคบมากนั่นเอง ดีที่ใช้ EMERGENCY BRAKE เอ๊ย ใช้วิธีกำเบรคหน้าอย่างแรง ช่วยในการเบรคครับ ถ้าตกไปยังไม่รู้เลยว่าจะพามันขึ้นมาบนถนนไหวไหมเพราะไหล่ทางต่างระดับเหมือนกัน แต่ทำไงได้ครับ เรามีเวลาจำกัดจริง
และผลจากการควบมาเร็วทำให้ผมใช้เวลาประมาณ 10 นาที จากปากทางก็มาถึงจุดที่จอดรถนักท่องเที่ยวที่จะไปชมถ้ำน้ำลอดครับ โดยผมใช้เวลาอย่างมีค่าด้วยการจอดรถแล้วรีบเดินมุ่งหน้าไปยังถ้ำน้ำลอดและถ้ำผีแมน ทันทีเลยครับ แต่ก่อนจะไปผมก็ต้องดูแผนที่คร่าวๆ ก่อนครับ เดี๋ยวจะหลงป่าซะก่อน
ปรากฎว่า ที่ตั้งของถ้ำผีแมน(ยู) ต้องเดินลอดเข้าไปในถ้ำนะครับ แล้วระยะทางก็ไกลพอสมควร อีกทั้งการเข้าชมถ้ำนั้น ต้องจ้างไกด์นำทางซึ่งเป็นชาวบ้านในละแวกนั้น ให้เป็นคนเดินพาชมถ้ำ พร้อมกับตะเกียงน้ำมันอย่างน้อย 1 อัน เหตุที่ต้องนำตะเกียงน้ำมันไปด้วยเพราะภายในถ้ำไม่ได้มีการเดินสายไฟฟ้าและติดตั้งหลอดไฟฟ้าไว้เหมือนถ้ำอื่นๆ ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวครับ เหตุผลทราบว่าต้องการอนุรักษ์สภาพภายในถ้ำไว้ให้มากที่สุด ซึ่งผมก็เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับ
แต่เพราะผมมาคนเดียวเอง และขณะนั้นไม่มีนักท่องเที่ยวคณะใดไปติดต่อไกด์เลย แล้วถ้ำผีแมน(ยูไนเต็ด) นั้นต้องเดินอีกไกล คงต้องไว้โอกาสหน้าแล้วล่ะครับ ดังนั้นแล้วผมก็ไม่ได้สนใจแล้วล่ะครับว่า ผมจะต้องมีไกด์นำทางหรือไม่ แล้วจะต้องใช้ตะเกียงหรือไม่ เพราะผมตั้งใจจะไปถ่ายรูปแค่ปากถ้ำที่มีลำธารไหลผ่านแค่นั้นเองครับ
แต่ถึงกระนั้น ก็ยังต้องเดินเท้าไปอีกประมาณ 300-400 เมตร จากจุดที่ตั้งของแผนที่ด้านบนครับ ถึงจะไปเจอปากถ้ำน้ำลอด ผมก็เลยเร่งฝีเท้าไปทันที ด้วยอัตราความเร็วพอๆ กับตอนที่ผมควบในเส้นทางช่วงสะพานคอมโพสิต-สถานีขุนตาน เมื่อครั้งไปทริปเดินขาลากกันครับ โดยสภาพเส้นทางก็ต้องเดินขึ้นเนินซักเล็กน้อยครับ
มีเสาปักไว้กันคนเอารถมอเตอร์ไซต์ผ่านด้วย แน่นอนว่าคงเป็นรถมอเตอร์ไซต์ของชาวบ้านแน่นอนครับ แต่คงกันจักรยานไม่ได้แน่นอน เพราะการยกข้ามนั้นที่กั้นตรงนั้น มันง่ายมากๆ จากนั้นผมก็มองเห็นลำธารด้านหน้า และมองเห็นป้ายถ้ำแล้วครับ แสดงว่าปากถ้ำน้ำลอดคงไม่ได้อยู่ไม่ไกลจากจุดนี้แล้วครับ
น่าเสียดายจัง ทำไมไม่มีป้าย"ถ้ำผีแมน" แถวๆ นี้บ้างนะ |
|
Back to top |
|
|
CENTENNIAL
1st Class Pass (Air)
Joined: 30/03/2006 Posts: 3642
Location: Thailand
|
Posted: 21/12/2007 12:15 am Post subject: |
|
|
และในที่สุดผมก็เดินทางมาถึงปากถ้ำน้ำลอดแล้วครับ
เป็นถ้ำที่มีลำธารไหลผ่านเข้าไปในถ้ำตั้งแต่ปากถ้ำด้านหนึ่งจนไปถึงปากถ้ำอีกด้านหนึ่ง
เป็นถ้ำขนาดใหญ่เลยครับ สำหรับผมแล้ว AMAZING มากๆ ไม่เสียทีที่แวะเข้ามาชม เหตุเพราะว่า ผมเคยไปถ้ำธารลอด หรืออุทยานเฉลิมรัตนโกสินทร์ ที่ อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี มาก่อนครับ และที่นั่น ปากทางเข้าถ้ำเล็กกว่านี้ ส่วนลำธารก็เป็นลำธารเล็กกว่านี้เช่นกันครับ ที่แย่กว่านั้นคือ น้ำน้อยมากๆ จนแทบจะมองว่าน้ำไม่ไหลแล้ว ไม่เหมือนที่นี่ครับ ที่ผมเห็นว่าน้ำค่อนข้างเยอะนะครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับถ้ำน้ำลอด หรือถ้ำลอดปางมะผ้า และถ้ำในละแวกเดียวกัน
ถ้ำน้ำลอด เป็นถ้ำที่มีชื่อเสียง สวยงาม และเข้าชมได้ง่ายสะดวกสบายที่สุดแล้วในบรรดาถ้ำทั้งหมด ตั้งอยู่บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 141 จากเส้นทางหลวง 1095 (ปาย-ปางมะผ้า) เลี้ยวขวาเข้าไปประมาณ 9 กิโลเมตร ตรงเข้าไปจนสุดทางจะพบถ้ำน้ำลอด
โดยถ้ำน้ำลอดอยู่ในความดูแลของศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าถ้ำน้ำลอด จากด่านด้านหน้าต้องเดินเท้าเข้าไปประมาณ 350 เมตร พร้อมคนนำทางและตะเกียงส่องทาง สาเหตุที่ไม่มีการติดตั้งไฟในถ้ำต่างๆก็เพื่อเป้นการรักษาถ้ำเหล่านี้ให้สวยงามและคงเดิมอยุ่ตลอดเวลา อีกทั้งยังสร้างรายได้เสริมให้กับชาวบ้านใกล้เคียงที่สมัครมาเป็นคนนำทางให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย
เมื่อถึงบริเวณปากทางเข้าถ้ำนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็มาถึงบางอ้อว่าทำไมถ้ำแห่งนี้ชื่อว่า ถ้ำน้ำลอด นั่นเป็นเพราะถ้ำแห่งนี้มีสายน้ำไหลผ่านตั้งแต่ปางทางเข้าถ้ำไปจนถึงถ้ำสุดท้ายที่อยู่ภายในโพรงแห่งนี้มีความยาวกว่า 500 เมตร กว้าง 20 เมตร สูง 50 เมตร สายน้ำกัดเซาะโพรงถ้ำแห่งนี้มากกว่าล้านปี ก่อเกิดเป็นถ้ำใหญ่ๆถึง 3 แห่ง ได้แก่ ถ้ำเสาหิน ถ้ำตุ๊กตา และถ้ำผีแมน เส้นทางท่องเที่ยวทั้ง 3 ถ้ำ ต้องอาศัยการนั่งแพเข้าไป
ถ้ำเสาหิน จากปากทางเข้าถ้ำเสาหินจะเป็นถ้ำแห่งแรกที่คุณจะได้เข้าไปชมโดยการนั่งแพไปประมาณ 300 เมตร ใช้เวลาเพียงอึดใจเดียวก็ถึงจากนั้นเดินตามทางขึ้นอีกไม่กี่เมตรเท่านั้น ภายในมีธรรมชาติที่น่าสนใจมากมาย ได้แก่ ม่านหินย้อย หรือที่เรียกกันว่า หินกากเพชร มีลักษณะเป็นตะกอนหินปูนคล้ายม่านมีสีขาวสะท้อนแสง นักวิทยาศาสตร์เรียกกันว่า ผลึกแร่แคลไซด์ ก่อเกิดจากน้ำใต้ดินนับพันปี สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในถ้ำแห่งนี้ คือ เสาหินที่ตั้งอยู่ใจกลางถ้ำ มีลักษณะเป็นแท่งเกิดจากหินงอกหินย้อยมาบรรจบกันอย่างสวยงาม มีความสูงประมาณ 21.45 เมตร เปรียบเสมือนเสาหินที่ค้ำเพดานและพื้นถ้ำเอาไว้ ขาออกเดินกลับทางเดิม โดยคุณสามารถนั่งแพไปชมถ้ำที่เหลือหรือจะกลับเลยก็ได้
ถ้ำตุ๊กตา ถัดจากถ้ำเสาหินหากคุณต้องการไปชมถ้ำตุ๊กตาต้องนั่งแพต่อไปเป็นระยะทางประมาณ 80 เมตร เสียค่าแพอีก 100บาท/ลำ ถ้ำนี้โดดเด่นที่หินงอกหินย้อยลักษณะรูปร่างคล้ายตุ๊กตาตั้งเรียงรายอยู่ตามพื้นทั่วทั้งถ้ำ ใกล้ๆยังมีภาพเขียนของมนุษย์โบราณก่อนประวัติศาสตร์ โดยเป็นภาพที่ใช้สีแดงและสีดำในการวาด ไม่มีหลักฐานบ่งบอกว่าสีที่ใช้ทำมาจากอะไร มีทั้งหมดสามภาพ ได้แก่ ภาพคน สัตว์ และพืช นักท่องเที่ยงควรชมด้วยสายตาเพียงอย่างเดียว ไม่ควรใช้มือสัมผัสเพราะจะทำให้ภาพเสียหายได้
ถ้ำผีแมน นับเป็นถ้ำสุดท้ายของเส้นทางวงกลม ระยะทางจากถ้ำตุ๊กตาประมาณ 450 เมตร ค่าล่องแพ 100 บาท/ลำเช่นกัน ในอดีตภายในถ้ำแห่งนี้มีโบราณวัตถุที่สำคัญมากมาย เช่น ภาชนะดินเผา กระดูกมนุษย์โบราณ เครื่องมือหินต่างๆ และชิ้นสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือ โลงผีแมน โลงศพไม้สักที่ชื่อกันว่าใช้ฝังศพมนุษย์โบราณ แท้จริงแล้วอำเภอปางมะผ้ามีถ้ำผีแมนในลักษณะนี้ถึง 74 ถ้ำ แต่มีเพียงถ้ำน้ำลอดเท่านั้นที่สามารถเข้าชมได้อย่างสะดวกที่สุด
ถ้ำลอดสามารถเที่ยวได้ทั้งปี มีการจัดการรองรับการท่องเที่ยวโดยชุมชนรอบถ้ำ ร่วมกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลุ่มน้ำปาย สามารถเข้าชมได้ทุกวันตั้งแต่ 08.00-17.00 น. การเข้าชมถ้ำควรมีคนนำทางที่ชำนาญ และมีตะเกียงหรือไฟฉายในการให้แสงสว่าง
ที่มา http://www.oceansmile.com/N/Mahongson/Tamnamlod.htm
น่าเสียดายมากๆ ครับ ที่ผมไม่สามารถเข้าไปชมภายในถ้ำได้ แต่ซักวันผมต้องกลับมาที่นี่ให้ได้และจะต้องไปให้ถึงถ้ำผีแมน(ยูไนเต็ด) ให้ได้
ชมภาพอีกมุมของปากถ้ำน้ำลอดครับ
จากนั้นผมก็ทำตัวเป็นนักสำรวจเล็กน้อย ด้วยการเดินเข้าไปในถ้ำ ด้วยไฟฉายเล็กๆ ที่แสงริบหรี่ 1 อัน โดยมีวัตถุประสงค์ว่า ข้าก็ได้เข้ามาในถ้ำแล้วนะ แล้วก็ถ่ายรูปไว้ แค่นั้นเองครับ โดยผมเดินเข้าไปในถ้ำประมาณ 20 เมตร แล้วก็เดินออกมาข้างนอกเหมือนเดิมครับ เพราะผมก็คนเดียวโดดๆ ไฟฉายก็ริบหรี่ ไม่มีซะยังดีกว่า ไม่ต้องถือให้เมื่อย ก็เกรงๆ ท่านผีแมนเหมือนกัน จะบอกว่าผมเป็นแฟนแมนยูด้วยนะครับก็กลัวว่าปากจะสั่นจนไม่กล้าบอกนะครับ ยกมือไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และท่านเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย 1 ครั้ง แล้วก็เดินออกมาดีกว่าครับ
และมุมนี้เป็นมุมที่ลำธาร หรือลำน้ำลาง ไหลเลี้ยวเข้าไปในถ้ำครับ โดยภายในนั้นเป็นมุมมืดแล้วครับ ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีก
แต่ก็ได้ถ่ายภาพจากปากถ้ำด้านในมายังด้านนอกถ้ำด้วยครับ
จากนั้นแล้ว ผมก็สูดอากาศที่บริสุทธิ์ของที่นี่ซัก 1 ปื้ดให้ชุ่มปอด แล้วก็เร่งฝีเท้าเดินทางกลับไปยังที่จอดรถเพื่อเดินทางกลับสู่ที่พักในตัว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ครับ โดยใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 10 นาที ก็มาถึงจุดที่จอดเจ้า SF400 ไว้ แฮ่ๆ ยังจอดอยู่ที่เดิม เหมือนเดิมครับ แหม ก็ลองหายไปสิครับ ผมคงประสาทกินแน่ ไหนจะเรื่องความรับผิดชอบ แล้วยังเรื่องการเดินทางกลับอีกว่าจะกลับยังไง จะไปถึงซักที่พักซักกี่โมง เพราะตอนนี้ก็ปาเข้าไป บ่าย 3 โมง 20 แล้วครับ แม้ระยะทางที่ผมเดินทางออกมาจากที่พักจนถึงที่นี่จะแค่ 190 กิโลเมตรเอง แต่อย่าลืมว่า มันเป็นกิโลแม้ว , กระเหรียง , ลีซอ ฯลฯ ด้วยนะครับ
แต่ควรจะไปทำธุระเบาๆ ให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า เพื่อความสบายท้องน้อย จากนั้นแล้วก็กลับมา สตาร์ทเครื่อง และเร่งออกจากศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าถ้ำน้ำลอดอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งรักษาความเร็วเฉลี่ยในการเดินทางไปถึงปากทางเข้าถ้ำน้ำลอด ที่ตัว อ.ปางมะผ้า ไว้ที่ 80 กม./ชม. พร้อมใช้ EMERGENCY BRAKE บ่อยครั้งกว่าเดิม เพราะรถทำท่าว่าจะตกขอบถนนบ่อยครั้งมาก
ก็ลองดูภาพถนนสิครับ ใช่ว่าจะใหญ่ซะที่ไหน แค่รถตู้นักท่องเที่ยวสวนกันก็ต้องระวังกระจกข้างรถจะเฉี่ยวกันแล้ว
แล้วเส้นทางตลอดระยะทางจากปากทากเข้า 8-9 กิโลเมตร ก็จะเป็นป่าแบบนี้ประมาณ 6 กิโลเมตร บ้านคนไม่มีแม้แต่หลังเดียวครับ แล้วกลางคืนจะมืดแค่ไหน เพราะร่มเงาของต้นไม้มันบดบังแสงจากดวงจันทร์ไว้หมดแน่ ยิ่งคืนเดือนมืดยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย นี่ขนาดตอนกลางวันประมาณบ่าย 3 โมงครึ่งนะครับ ยังรู้สึกว่าครึ้มๆ แล้วนะ
เห็นเส้นทางแล้วอาจไม่เชื่อว่าผมขับ 80 กม./ชม. จริงหรือเปล่า ขอตอบว่าไม่จริงครับ เพราะถ้าผมขับ 80 กม./ชม. ตลอดทางผมคงตกถนนไปแล้ว
แต่ 80 กม./ชม. คือความเร็วในช่วงทางตรงครับ ที่ผมจะพยายามเร่งให้ถึง 80 ตลอด แต่ช่วงที่ทางโค้งก็ต้องกำเบรคหน้าอย่างเดียวครับ
ขากลับผมเกือบตกถนนแบบเฉียดมากๆ 1 ครั้ง แต่ที่ไม่ตกเพราะระบบเบรคดีมากครับ เอาอยู่ เบรครถคันนี้ชัวร์มาก
Last edited by CENTENNIAL on 21/12/2007 2:53 am; edited 1 time in total |
|
Back to top |
|
|
indep077
3rd Class Pass
Joined: 25/08/2006 Posts: 209
Location: @Phuket
|
Posted: 21/12/2007 12:29 am Post subject: |
|
|
แล้วใครนั่นยืนอยู่หลังป้าย... _________________ Prince Of Songkla University Phuket Campus |
|
Back to top |
|
|
umic2000
2nd Class Pass
Joined: 06/07/2006 Posts: 676
Location: Lenin Grad , U.S.S.R.
|
Posted: 21/12/2007 12:36 am Post subject: |
|
|
CENTENNIAL wrote: |
บางท่านอาจแย้งว่า ไม่เห็นจะมีช็อตด่ง ช็อตเด็ดอะไรเลย แต่สำหรับผมแล้ว ผมว่ามันยอดเยี่ยมเลย และไม่ควรพลาดที่จะเก็บภาพนี้ไว้
เห็นเส้นทางถนนด้านซ้ายมือในภาพไหมครับ
เป็นเส้นทางข้างหน้าที่ผมจะต้องผ่านไปล่ะครับ มันสื่อให้เห็นเลยว่าเส้นทางนี้คดเคี้ยวเป็นงูเลื้อยขึ้นภูเขาเลย และมันก็แสดงให้เห็นด้วยว่า เส้นทางขึ้นดอยกิ่วลมนี้ สูงชันแค่ไหน
แต่ว่าอย่าเสียเวลาในจุดนี้นานนักเลย รีบเร่งเครื่องเดินทางไปถ้ำผีแมนยู ก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะเย็นมืด ซะก่อน
|
เห็นภาพนี้ของพี่หมวดเอ็มแล้วผมนึกถึงถนนสายแม่สอด-อุ้มผางเลย ช่วงตั้งแต่อ.แม่สอดไปถึงอ.พบพระ ทางยังวิ่งบนพื้นราบสลับเนินเขาเตี้ยเป็นส่วนใหญ่ แล้วเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นลำธารที่ไหลมาจากตาน้ำบนภูเขาไหลเลียบไปกับถนนหลายแห่งด้วย แต่พอพ้นอ.พบพระเป็นต้นไป ถนนเหมือนวิ่งลอยฟ้าเลยเพราะมีแต่เขากับเหวไปตลอดทาง เห็นถนนอยู่บนเขาอีกลูกแบบในภาพของพี่แต่ต้องใช้เวลาถึง 1-2 ชั่วโมงเพื่อจะไปถึง เพราะรถลากเกียร์ได้เต็มที่แค่เกียร์ 2-3 เองครับ แต่พอไปถึงอ.อุ้มผางก็หายเหนื่อยครับ บอกได้คำเดียวว่าสภาพแวดล้อม+ธรรมชาติยังบริสุทธิ์อยู่มาก ยิ่งถ้าพี่ได้ล่องเรือในคลองแม่กลองแล้วไปน้ำตกทีลอซู พี่จะจำไม่ลืมไปจนตายเลยครับเพราะงามจริงๆ |
|
Back to top |
|
|
CENTENNIAL
1st Class Pass (Air)
Joined: 30/03/2006 Posts: 3642
Location: Thailand
|
Posted: 21/12/2007 2:30 am Post subject: |
|
|
ผมก็ไม่ทราบนะครับว่าใครอยู่ด้านหลังป้าย ตอนนั้น ไม่สนใจใครทั้งนั้นครับ เวลาจำกัด
แม่สอด กับอุ้มผาง รวมทั้งการไปน้ำตกทีลอซู ผมมีโอกาสชะแว้ปไปแล้วครับ เมื่อประมาณ 8-9 ปี ที่ผ่านมา สมัยที่ยังเรียนเตรียมทหารปี 1 พร้อมกับเพื่อนๆ เตรียมฯ ซึ่งตอนนั้นปิดเทอมเลยมีเวลาไปได้บ้าง และก็ไม่เสียดายเลยครับ ที่ตัดสินใจไปในครั้งนั้น ตอนนั่งรถจากแม่สอดไปอุ้มผางนี่ มันโพล้เพล้แล้วครับ มองไม่เห็นวิวมากนัก เห็นแต่แสงไฟจากไฟป่าเต็มไปหมด แต่ก็พอมองออกว่าเป็นถนนเป็นลอยฟ้าที่สวยมากๆ ครับ ขากลับก็เช่นกัน
จะบอกว่าตอนนั้น ทีลอซู ยังไม่มีคนไปเที่ยวเลยครับ ทางเข้าก็ไม่สะดวกมากๆ เราต้องเดินเท้าเข้าไป แต่โชคดีมีรถโฟร์วิลของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ผ่านมา และเขาใจดีให้ขึ้นมาด้วย พอผ่านไปถึงน้ำตกก็ลงกัน โดยผมและเพื่อนๆ ก็แก้ผ้าเล่นน้ำตกได้โดยไม่อายใครเพราะไม่มีใครจริง ยกเว้นท่านเทวดา เทพารักษ์ ผีสางนางไม้หล่ะครับ
แต่ล่องแก่งแม่น้ำแม่กลองนี่ สมัยนั้นยังไม่มีครับ เลยไม่ได้ไป และคิดว่าคงหาเวลาไปยากมากทีเดียว แต่ก็มีเพื่อนสนิทเป็น ตชด. อยู่อุ้มผางเหมือนกัน ถ้าจะไปคงไม่ลำบากในการหาที่พักและยานพาหนะ
............................................................................................................................................................................................
ขากลับออกมาจากถ้ำน้ำลอด มายังปากทางเข้าที่ตัว อ.ปางมะผ้า ผมใช้เวลา 8 นาทีได้ครับ แล้วพอมาถึงทางหลวงหมายเลข 1095 ปุ๊บ ความรู้สึกแรกคือ แหม ถนนเส้นทางมันใหญ่ๆ จริง ควบเต็มที่ไปเลย ทั้งที่จริงๆ แล้ว มันก็ไม่ได้กว้างใหญ่อะไรหรอกครับ แต่เป็นเพราะเมื่อซักครู่นั้น ผมต้องขับรถในถนนเล็กๆ แคบๆ และไม่เรียบเอาเสียเลย ด้วยความเร็วสูง ทำให้ผมรู้สึกเกร็งมาก พอมาเจอทางที่กว้างกว่า เรียบกว่า เลยรู้สึกต่างกันมาก
ความจริงแล้วช่วงขามา ผมมีความกังวลเกี่ยวกับเจ้า SF400 อีกอย่างหนึ่ง คือ กลัวเครื่องจะร้อนมาก จนทำให้แหวนลูกสูบละลาย เพราะผมเคยมีประสบการณ์เลวร้ายกับการขับรถมอเตอร์ไซต์เดินทางไกลจนลูกสูบละลายมาแล้ว
ผมเคยควบ KR SSR 150 ซี.ซี จากกรุงเทพ-เขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี ด้วยความเร็วเดินทางประมาณ 90 กม./ชม. ปรากฎว่าความร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อความร้อนขึ้น ผมก็ลดความเร็วลงเหลือประมาณ 60-70 กม./ชม. ปรากฎว่าความร้อนลดลง สามารถเดินทางไปได้เรื่อยๆ แต่เนื่องจากมันช้าเกินไป ผมจึงต้องเร่งให้ความเร็วอยู่ที่ 80 กม./ชม. แต่พอมาค้างที่ 80 ได้ไม่นาน ความร้อนก็ขึ้นอีก จนถึงต้องคงไว้ที่ 60 ตลอดทาง แต่สุดท้ายในขากลับ เมื่อแล่นมาถึงพุทธมณฑล เกือบจะถึงกรุงเทพอยู่แล้ว และขณะนั้นก็ประมาณ 5 โมงกว่าแล้วครับ ใกล้จะมืดแล้ว และผมเห็นว่าเกจ์วัดความร้อนยังนิ่งๆ อยู่ ผมเลยตัดสินใจเร่งมาที่ 80 - 90 กม./ชม. ปรากฎว่ามาไม่ถึง 5 กม. เครื่องยนต์ดับไปเอง พร้อมกับมีกลิ่นเหม็นไหม้ ซึ่งผมรู้อัตโนมัติว่า เครื่องน็อคแหวนละลายแน่นอน
ส่วนรถ SF400 นั้น ผมก็ทราบดีว่าระบบระบายความร้อนเป็นระบบ OIL COOLER ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิด คือ ระบบระบายความร้อนของน้ำมันเครื่องซึ่งมันจะเป็นตัวกลางในการถ่ายเทความร้อนของเครื่องยนต์อีกที โดยมีหม้อน้ำมันเครื่องเป็นตัวแลกอากาศร้อน-อากาศเย็น ซึ่งจะไม่ใช่กับระบบระบายความร้อนแบบใช้น้ำเป็นตัวกลางถ่ายเทความร้อนเหมือนรถยนต์และระบบเครื่องยนต์ส่วนใหญ่ใช้กัน
และผมเข้าใจผิดไปเองว่าระบบ OIL COOLER คงมีประสิทธิภาพไม่เท่า WATER COOLER และเคยควบ SF400 คันอื่นๆ ที่เกจ์ความร้อนขึ้นสูงปรี๊ดมาแล้ว
จึงไม่กล้าขับเร็วลากเป็นระยะทางยาวๆ มากนักครับ
แต่เจ้า SF400 คันนี้ ระบบระบายความร้อนดีมาก ความร้อนขึ้นมาถึงระดับนึง มันก็จะอยู่นิ่งตลอดเลย และอาจเป็นเพราะอากาศภายนอกที่เย็นมากก็ได้ ทำให้ผมไม่กลัวที่จะควบเร็วแล้วครับ ยิ่งถ้าทางไปได้ ผมก็เร่ง 120 กม./ชม.เลย อีกอย่างยิ่งใกล้ค่ำมากเท่าไหร่ อากาศก็ยิ่งเย็นมากขึ้น เครื่องคงไม่ร้อนง่ายๆ แน่ ผมจึงใช้ความเร็วสูงสุด 90-120 กม./ชม. ในขากลับ เพื่อไม่ให้กลับไปถึงที่พักตอน 1 ทุ่ม
แล้วความรู้สึกว่าขากลับทางใกล้กว่าขามาก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แผลบเดียวผมแล่นมาเกือบจะถึงจุดพักรถยอดดอยกิ่วลมแล้วครับ แต่เห็นมุมนี้แล้ว จะรีบแค่ไหนก็ต้องจอดก่อนล่ะ
โค้งนี้ ทีแรกรถผมที่ตามหลังรถ 10 ล้ออยู่คันนึง ผมไม่แซงครับเพราะจะจอดถ่ายรูปแต่ก็รอลุ้น และให้เป็นกำลังใจให้รถ 10 ล้อ ที่แล่นนำหน้าอยู่แทบแย่ล่ะครับ โค้งนี้เป็นทางโค้งหักศอกเกือบ 360 องศา เป็นการโค้งหักขึ้นภูเขาแบบชันมากๆ แล้วเป็นมุมมองที่ด้านหน้าผาเปิดโล่งด้วยครับ ถ้ารถหนักๆ ลงดอยมาแล้วเบรคแตก ก็อย่าไปหวังพึ่งทางกั้นที่เขาทำไว้นะครับ เอาไม่อยู่แน่นอน
ถ่ายจนหนำใจแล้วก็เดินทางขึ้นดอยต่อ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะไปถ่ายช็อตเด็ดอีก ก็ผมว่ามันเด็ดจริงๆ น่ะครับ
ซูมอีกซักหน่อยครับ เห็นแล้วว่ามีรถแล่นผ่านพอดี แต่ซูมอีกหน่อยเผื่อมองเห็นป้ายทะเบียนว่าเป็นรถมาจากกรุงเทพ หรืออยู่แถวเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน
แหมดันแล่นหลุดเฟรมไปแล้วครับเลยมองไม่เห็นเลขทะเบียนเลย
แล้วผมก็เดินทางต่อ จนถึงยอดดอยกิ่วลม พอจะลงดอยปุ๊บ ผมก็กลับมาใช้สูตรเดิมอีกคือ ใส่เกียร์ว่าง ดับเครื่องยนต์ลงดอยเลย แต่มาได้ไม่ไกลนัก เจอป้ายบอกระยะทางเส้นทาง ผมก็ขอจอดอีกซักรอบ เพราะป้ายเป็นตัวบ่งบอกสถานที่ได้ดี ตามที่ผมว่าไว้ก่อนหน้านี้ล่ะครับ
"เชียงใหม่ 160" กิโลเมตร พระเจ้าช่วย อีกตั้ง 160 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะรถไฟจากกรุงเทพไปถึงกบินทร์บุรี เลยนะเนี่ย แต่นั่นมันไม่ใช่กิโลแม้ว แบบที่นี่แน่ๆ ครับ แล้วตอนนี้ก็ประมาณ 4 โมงเย็นแล้ว แต่ผมมั่นใจว่า ขากลับผมทำเวลาได้แน่ เพราะเริ่มคุ้นเคยเส้นทางแล้ว แล้วก็รู้ถึงประสิทธิภาพของระบบระบายความร้อนของรถดีแล้ว แต่ยังไงซะ หลังจากถ่ายรูปเสร็จปุ๊บ ผมก็คร่อมรถแล้วขอใส่เกียร์ว่าง และดับเครื่องให้รถไหลลงดอยไปอีกซัก 10-15 กิโลเมตร ก่อนครับ มันส์มาก |
|
Back to top |
|
|
black_express
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
|
Posted: 21/12/2007 8:36 am Post subject: |
|
|
เคยมีพี่ทำงานอยู่ รพช.แม่ฮ่องสอน ขี่มอเตอร์ไซต์ 100 ซีซี. จากที่ทำงาน ผ่านขุนยวม แม่ลาน้อย แม่สะเรียง ฮอด ดอยเต่า ลี้ เถิน ทุ่งเสลี่ยม สวรรคโลก ศรีนคร เข้าบ้านที่ ต.วังกะพี้ จ.อุตรดิตถ์ ขี่มาคนเดียว ด้วยความมันส์เหมือนกัน
คงไม่ห้อมาด้วยความเร็ว 120 กม./ชม. แบบคุณเอ็มแน่ๆ
เส้นทางต่อจาก อ.ปาย ผ่าน อ.ปางมะผ้า ไปตัวจังหวัดแม่ฮ่องสอน ก็ขึ้นเขาพอๆ กันล่ะครับ หาที่ราบทำยายากจริงๆ |
|
Back to top |
|
|
CENTENNIAL
1st Class Pass (Air)
Joined: 30/03/2006 Posts: 3642
Location: Thailand
|
Posted: 21/12/2007 12:34 pm Post subject: |
|
|
black_express wrote: | เคยมีพี่ทำงานอยู่ รพช.แม่ฮ่องสอน ขี่มอเตอร์ไซต์ 100 ซีซี. จากที่ทำงาน ผ่านขุนยวม แม่ลาน้อย แม่สะเรียง ฮอด ดอยเต่า ลี้ เถิน ทุ่งเสลี่ยม สวรรคโลก ศรีนคร เข้าบ้านที่ ต.วังกะพี้ จ.อุตรดิตถ์ ขี่มาคนเดียว ด้วยความมันส์เหมือนกัน
คงไม่ห้อมาด้วยความเร็ว 120 กม./ชม. แบบคุณเอ็มแน่ๆ .... |
ถ้าเป็นรถมอเตอร์ไซต์รุ่นเล็ก ขนาด 100 , 120 , 125 , 150 C.C. ผมก็คงไม่กล้าขับ 100-120 ลากยาวเป็น 50 ถึง 100 กิโลเมตรแน่นอนครับ ประสบการณ์มันสอนมาแล้วว่ารถประเภทนี้เขาไว้ใช้ในเมือง ไม่ใช่รถทางไกล
แต่จะอนุโลมได้ก็ต้องรักษาความเร็วไว้ที่ 60 - 80 กม./ชม. เท่านั้น
อีกประการคือผมเห็นประสิทธิภาพในระบบระบายความร้อนของเจ้า SF400 คันนี้แล้วครับว่าโอเค ไม่มีปัญหาครับ |
|
Back to top |
|
|
black_express
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
|
Posted: 24/12/2007 10:54 pm Post subject: |
|
|
ก็ขับไป พักไปครับ คนขี่พาลจะเมื่อยกว่ามอเตอร์ไซต์พังเสียอีก พันกว่าโค้งขนาดนั้น แถมขึ้นเขาลงเขาไม่รู้จบด้วยสิ |
|
Back to top |
|
|
|