View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
black_express
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
|
Posted: 19/04/2010 12:42 pm Post subject: |
|
|
ผมกำลังคิดอยู่ว่า ในอนาคต เราคงลงจากขบวนรถไฟตรงที่ใดสักแห่ง แล้วเดินขึ้นบันไดไปดูผาเสด็จ
ภาพจากเรา จะกลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ก็คราวนี้แหละ |
|
Back to top |
|
|
pichit
3rd Class Pass
Joined: 01/02/2010 Posts: 38
Location: ขอนแก่น-สระบุรี
|
Posted: 19/04/2010 10:13 pm Post subject: |
|
|
การคมนาคม คงจะดีขึ้นมากเลยทีเดียวนะครับ โดยเฉพาะการขนส่งสินค้า มองในแง่ดีก็ช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองต่อไปครับ หากในแง่ร้ายๆ ใน รฟท.เองก็ต้องให้กำลังใจกันต่อไปครับ งานนี้คนไทยร่วมอยู่ ร่วมเจริญครับ _________________
|
|
Back to top |
|
|
Compressor
1st Class Pass (Air)
Joined: 05/12/2007 Posts: 1775
Location: ตลอดปลายทางอุบลราชธานี
|
Posted: 20/04/2010 1:01 am Post subject: |
|
|
สำหรับผม ในฐานะผู้ใช้เส้นทางสายนี้เป็นประจำ ขอเลือกในรูปแบบใดก็ได้ครับ แต่ขอให้มันเสร็จ ไม่ใช่สร้างแล้วค้างเติ่งเหมือนสโตนเฮนจ์เมืองไทยก็พอ
ปัจจุับัน แต่มาบกะเบา-ราชสีมา มีปริมาณเดินรถเกือบจะเต็มความจุทาง และมีขบวนรถสายหนองคายทั้งสินค้าและโดยสารมาเดินร่วมด้วย ซึ่งหากมองไปที่ด้านเวลาเดินรถของขบวนที่ย้ายมาจากสายลำนารายณ์ ก็จะเป็นการปรับแก้ไขชั่วคราว ระบุเพียงแค่ให้ระมัดระวังการจัดหลีกกับขบวนรถอื่นที่วิ่งอยู่เดิม ทำให้รถทั้งสายหนองคายและสายอุบลฯเสียเวลาเพิ่มมากขึ้น |
|
Back to top |
|
|
digimontamer
3rd Class Pass (Air)
Joined: 12/05/2009 Posts: 487
|
Posted: 20/04/2010 4:57 pm Post subject: |
|
|
เห็นด้วยกับท่าน Compressor เลยครับ อยากให้ทางคู่ช่วง แก่งคอย-ชุมทางถนนจิระ สำเร็จอย่างรวดเร็วมากๆ เพราะจะลดระยะเวลาในการเดินทางลงได้ไม่น้อยเลย
อีกสายก็ขอทางคู่ต่อจากนครปฐมไปถึงหนองปลาดุกได้ก็วิเศษแล้วสำหรับพวกที่เน้นนั่งไม่ไกลเกินเพชรบุรีแบบผม หุหุ |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 45102
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 30/04/2010 5:33 pm Post subject: |
|
|
สนข. เปิดเวทีฟังความคิดเห็นประชาชนตามแนวเส้นทางนครปฐม-หัวหิน
หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 30 เม.ย.53 - นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดงานสัมมนารับฟังความคิดเห็นตามแนวเส้นทาง ครั้งที่ 1:สายใต้ โครงการ “การศึกษาความเหมาะสมและออกแบบเบื้องต้นระบบรถไฟรางคู่ เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ 1)” เพื่อนำเสนอข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และนำผลที่ได้มาประกอบผลการศึกษาความเหมาะสมและการออกแบบรายละเอียดของ โครงการ โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรอิสระ และสถาบันการศึกษา ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ประมาณ 200 คน
โดยนายโสภณ กล่าวว่า สำหรับการสัมมนาครั้งนี้ ได้นำเสนอผลการศึกษาความเหมาะสมโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ การคัดเลือกแนวเส้นทาง รูปแบบโครงสร้างทางวิ่ง รูปแบบสถานีและย่านสถานี การแก้ไขจุดตัดทางรถไฟ การจัดทำโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นเพื่อเชื่อมโยงกับระบบขนส่งอื่นได้อย่าง มีประสิทธิภาพ รวมทั้งผลการศึกษาด้านวิศวกรรม ผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ สังคม และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วน เพื่อความเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อโครงการ
สำหรับการพัฒนาเส้นทางรถไฟทางคู่ช่วงนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 165 กิโลเมตร เมื่อแล้วเสร็จ จะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางจากกรุงเทพฯ-หัวหิน จะใช้เวลาจากเดิม 3 ชั่วโมงครึ่ง เหลือเพียงประมาณ 2 ชั่วโมง เพิ่มปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร จาก 5.5 ล้านคนต่อปี เป็น 12 ล้านคนต่อปี และเพิ่มการขนส่งสินค้าจาก 1 ล้านตันต่อปี เป็น 1.5 ล้านตันต่อปี ในปี 2558 จะช่วยแก้ปัญหาจุดตัดทางรถไฟ ลดอุบัติเหตุอันเกิดจากการขนส่ง ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังสามารถเพิ่มความถี่และความเร็วในการให้บริการ รวดเร็ว ปลอดภัย และตรงต่อเวลา
ทั้งนี้ การศึกษาความเหมาะสมและออกแบบเบื้องต้นระบบรถไฟรางคู่ เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ 1) สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 เห็นชอบมติคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 5/2553 เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2553 ซึ่งเห็นชอบแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2553-2558 ภายใต้กรอบวงเงิน 176, 808 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งนำมาลงทุนพัฒนาโครงข่ายรถไฟทางคู่ 843 กม. ใน 6 ช่วง ได้แก่
1.ช่วงแก่งคอย-คลองสิบเก้า-ฉะเชิงเทรา ระยะทาง 106 กม.
2.ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กม.
3.ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง 184 กม.
4.ช่วงลพบุรี-นครสวรรค์ ระยะทาง 118 กม.
5.ช่วงนครปฐม-หนองปลาดุก-หัวหิน ระยะทาง 165 กม. และ
6.ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 166 กม.
โดยการศึกษาฯ จะดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบเบื้องต้นใน 3 เส้นทางที่จำเป็นเร่งด่วน ได้แก่ ช่วงมาบกระเบา-นครราชสีมา ช่วงลพบุรี-นครสวรรค์ และช่วงนครปฐม-หัวหิน รวมระยะทาง 415 กิโลเมตร
สำหรับการสัมมนารับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 2 เพื่อสรุปผลการศึกษาตามแนวเส้นทางโครงการในภาคเหนือ อีสาน และภาคใต้ กำหนดไว้จะจัดประมาณเดือนกรกฎาคม 2553 ต่อไป .-สำนักข่าวไทย |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42830
Location: NECTEC
|
Posted: 09/05/2010 2:28 am Post subject: |
|
|
โสภณเร่งรางคู่เหนือ-ใต้-อีสาน เอกชนหนุนเชื่อมทางน้ำ-ถนน
โดย ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์ 6 พฤษภาคม 2553 14:29 น.
แม้สถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองจะทวีความร้อนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่โสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก็ยังเดินหน้าสั่งการให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.)ศึกษารายละเอียด กำหนดเส้นทาง ความเหมาะสม ตามนโยบายรัฐบาลที่ประกาศว่าจะขยายเส้นทางการขนส่งทางรางให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะรถไฟรางคู่ที่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยพยายามผลักดันให้เกิดการพัฒนาแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ภายใต้การนำของโสภณ จึงเร่งรัดให้เกิดการลงทุนในโครงการรถไฟรางคู่ ภายใต้กรอบเงินลงทุน 89,279 ล้านบาท โดยโสภณบอกว่าหากเส้นทางรถไฟรางคู่แล้วเสร็จประชาชนจะได้รับประโยชน์ในการเดินทาง แต่อานิสงค์ทางอ้อมที่โสภณและพรรคภูมิใจไทยจะได้รับคือ ผลงาน เพื่อใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งต่อไป ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่โสภณจะเดินสายทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ที่รถไฟทางคู่พาดผ่าน ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางประจวบคีรีขันธ์ นครปฐม ลพบุรี เป็นต้น
เส้นทางรถไฟรางคู่ช่วงนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 165 กม. มูลค่า 16,600 ล้านบาท เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยลดเวลาในการเดินทางจากกรุงเทพมหานคร(กทม.)-หัวหิน จากเดิม 3 ชม.ครึ่ง เหลือเพียง 2 ชม. และเพิ่มปริมาณการขนส่งคนจาก 5.5 ล้านคน เพิ่มเป็น12 ล้านคน ส่วนการขนส่งสินค้าจาก 1 ล้านตัน เพิ่มเป็น1.5ล้านตัน ในปี 2558 รวมถึงช่วยแก้ปัญหาจุดตัดทางรถไฟลดอุบัติเหตุที่เกิดจากการขนส่งอีกด้วย ทั้งนี้เส้นทางดังกล่าวให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ 14.5 % โสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าว
ในขณะที่ภาคเอกชนในหัวหิน กล่าวว่า การพัฒนาเส้นทางรถไฟรางคู่ หากเกิดขึ้นจริงและเป็นรูปธรรมย่อมส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ ทั้งการขนส่ง การท่องเที่ยว และการเดินทางที่รวดเร็ว เพราะในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย ชาวต่างชาติ ส่วนหนึ่งเดินทางด้วยทางรถไฟจากกรุงเทพ-หัวหิน อยู่แล้ว แต่ทั้งนี้รถไฟรางคู่จะเกิดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
ด้านภาคประชาชนที่เข้าร่วมรับฟังความเห็นต่างเห็นด้วยกับการก่อสร้างรถไฟรางคู่ เพียงแต่ต้องการให้มีการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนระบบอื่นๆด้วย เช่น ทางเรือ ทางถนน เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ระบบขนส่งมวลชนระบบอื่นๆ ได้สะดวกมากขึ้น
สร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กล่าวว่า หลังจากนี้สนข.จะเดินสายทำความเข้าใจกับประชาชนในจังหวัด นครสววรค์ นครปฐม ราชบุรี เพื่อรับฟังความเห็นจากประชาชน และจากการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบเบื้องต้น ในโครงการระบบรถไฟรางคู่ เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่1) พบว่ามี 3 เส้นทางที่มีศักยภาพในการรองรับปริมาณผู้โดยสารและการขนส่งสินค้า รวมถึงเชื่อมโยงสู่การขนส่งระบบอื่นๆ เพื่อการพัฒนาโลจิสติกส์ของประเทศ โดยประกอบด้วย
1. สายเหนือ ช่วงลพบุรี-นครสวรรค์ ระยะทาง 118 กม. มูลค่า 7,860 ล้านบาท สนข.ได้ศึกษาเปรียบเทียบ 2 เส้นทางหลัก คือ
1.1 แนวเส้นทางเลี่ยงเมืองลพบุรี และ
1.2 แนวเส้นทางรถไฟเดิม
ข้อสรุป: แนวเส้นทางเลี่ยงเมืองมีความเหมาะสมที่สุด โดยแนวเส้นทางจะเบี่ยงซ้ายห่างจากถนนเลี่ยงเมืองลพบุรีประมาณ 2 กม. ตัดผ่านถนนทางหลวงหมายเลข 3196 และ311 (ลพบุรี-สิงห์บุรี) ที่อำเภอท่าวุ้งและไปบรรจบที่สถานีรถไฟท่าแคตามแนวเส้นทางรถไฟเดิม โดยมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่18.9 %
ทั้งนี้ แนวเส้นทางดังกล่าว มีข้อดี คือ เลี่ยงผลกระทบที่อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อแหล่งประวัติศาสตร์และโบราณสถานที่มีคุณค่า โดยหากเลือกแนวเส้นทางรถไฟเดิมจะต้องผ่านตัวเมืองลพบุรี ผ่านพระปรางค์สามยอด และวัดอื่นๆรวม 6 แห่ง และยังสามารถพัฒนาเมืองใหม่และง่ายต่อการบำรุงรักษาและการก่อสร้าง ส่วนข้อเสียต้องเวนคืนที่ดินประมาณ 722 ไร่ บ้านเรือนประมาณ 30 หลังคาเรือน
2. สายตะวันออกเฉียงเหนือช่วงมาบกะเบา-นครราชสีมา ระยะทาง 130 กม. มูลค่า11,640ล้านบาท
ได้ข้อสรุปว่า แนวเส้นทางรถไฟเดิมมีความเหมาะสมที่สุด ข้อดี คือ ไม่มีการเวนคืนที่ดิน แต่มีข้อด้อย คือ ผ่านพื้นที่อ่อนไหว ทั้งพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ 1บี และพื้นที่ป่าอนุรักษ์ รวมทั้งพื้นที่บางจุดต้องมีการปรับระดับเพื่อลดความชันจาก 24 ในพัน เป็น ไม่เกิน 12 ในพัน ซึ่งทำทางยกระดับหรืออุโมงค์ด้วย
3. สายใต้ ช่วง นครปฐม-หัวหิน ซึ่งใช้เวลาศึกษา ออกแบบรายละเอียด 1 ปี หลังจากนั้นจึงประกวดราคาหาผู้รับเหมาและพร้อมก่อสร้างในปี2554 และแล้วเสร็จในปี2558
ทั้งนี้การศึกษาความเหมาะสมดังกล่าว สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2553 เห็นชอบมติครม.เศรษฐกิจ ครั้งที่ 5/2553 เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2553 ซึ่งเห็นชอบแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2553-2558 ภายใต้กรอบวงเงิน 176,808 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งนำมาลงทุนพัฒนาโครงข่ายรถไฟทางคู่ 843 กม. ใน 6 ช่วง ได้แก่
1ช่วงแก่งคอย-คลองสิบเก้า-ฉะเชิงเทรา ระยะทาง 106 กม.
2 ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กม.
3 ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง 184 กม.
4 ช่วงลพบุรี-นครสวรรค์ ระยะทาง 118 กม.
5ช่วงนครปฐม-หนองปลาดุก-หัวหิน ระยะทาง 165 กม. และ
6 ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 166 กม. |
|
Back to top |
|
|
Gunnersaurus
1st Class Pass (Air)
Joined: 29/03/2006 Posts: 1574
Location: เมืองช้าง
|
Posted: 09/05/2010 6:43 am Post subject: |
|
|
อยากให้ทางคู่สายนครปฐม-หัวหินสำเร็จเร็วๆ จริงๆ เห็นไอ้สิ่งก่อสร้างตรงสถานีสนามจันทร์แล้วขัดสายตาจะได้โดนรื้อไปเร็วๆ ซะ. |
|
Back to top |
|
|
pattharachai
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 6536
Location: ราชอาณาจักรไทย
|
Posted: 09/05/2010 7:36 am Post subject: |
|
|
Gunnersaurus wrote: | อยากให้ทางคู่สายนครปฐม-หัวหินสำเร็จเร็วๆ จริงๆ เห็นไอ้สิ่งก่อสร้างตรงสถานีสนามจันทร์แล้วขัดสายตาจะได้โดนรื้อไปเร็วๆ ซะ. |
โครงการไนท์บาร์ซาอะไรนั่นดูแล้วไม่น่าจะเวิร์คครับ วันก่อนขี่รถผ่านไปดู ปรากฏว่ามีคนเข้ามาตกแต่งร้าน ติดประตูกระจกเป็นห้องแอร์อยู่ 1-2 ห้องเท่านั้น แสดงว่าคนมาซื้อโครงการก้ไม่ได้มากมายอะไร ทำเลแถวนั้นมันไม่ใช่ย่านสัญจรพลุกพล่านเหมือนในตลาด และแถมนครปฐมมันไม่เหมือน กทม.ที่ดึกดื่นเที่ยงคืนเมืองยังคึกคัก สามทุ่มสี่ทุ่มก็เงียบกริบแล้ว ยิ่งจะมาเปิดตลาด 24 ชั่วโมง ไม่รู้เจ้าของโปรเจคก์คิดได้ไง |
|
Back to top |
|
|
headtrack
1st Class Pass (Air)
Joined: 30/05/2009 Posts: 1627
Location: ละแวกภาคกลางตอนบน และภาคเหนือตอนล่าง
|
Posted: 09/05/2010 7:43 am Post subject: |
|
|
pattharachai wrote: | โครงการไนท์บาร์ซาอะไรนั่นดูแล้วไม่น่าจะเวิร์คครับ วันก่อนขี่รถผ่านไปดู ปรากฏว่ามีคนเข้ามาตกแต่งร้าน ติดประตูกระจกเป็นห้องแอร์อยู่ 1-2 ห้องเท่านั้น แสดงว่าคนมาซื้อโครงการก้ไม่ได้มากมายอะไร ทำเลแถวนั้นมันไม่ใช่ย่านสัญจรพลุกพล่านเหมือนในตลาด และแถมนครปฐมมันไม่เหมือน กทม.ที่ดึกดื่นเที่ยงคืนเมืองยังคึกคัก สามทุ่มสี่ทุ่มก็เงียบกริบแล้ว ยิ่งจะมาเปิดตลาด 24 ชั่วโมง ไม่รู้เจ้าของโปรเจคก์คิดได้ไง |
ท่านคิดถูกของท่านแล้วล่ะครับ อาจจะสร้างขึ้นมา "เพื่อประโยชน์ทางอ้อม" ก็ได้ _________________
Find me on Instagram: @632knongtsaikhaow |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42830
Location: NECTEC
|
Posted: 03/06/2010 9:40 am Post subject: รางคู่แก่งคอย - คลอง 19 สะดุดเสียแล้ว |
|
|
รางคู่คลองสิบเก้า-แก่งคอยสะดุด
โดย กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ
หน้า อสังหา Real Estate - อสังหาฯ-คมนาคม
ออนไลน์ วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2553 เวลา 10:31 น.
พิมพ์ในหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,536 3-5 มิถุนายน พ.ศ. 2553
รถไฟรางคู่คลองสิบเก้า-แก่งคอย มูลค่ากว่า 1.1 หมื่นล้านบาท สะดุดการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมยังไม่ผ่าน เหตุสร้างอุโมงค์พระพุทธฉายผ่านป่าอนุรักษ์และพื้นที่ลุ่มน้ำ A1 มีปัญหา เผยแผนเดิมยังต้องประมูลตั้งแต่ปี 52 ด้าน "ยุทธนา ทัพเจริญ" ยันถ้าผ่านใน 1-2 เดือน ขายซองได้แน่ตุลาคมนี้ แจงมีความสำคัญในการขนสินค้าจากอีสานสู่ท่าเรือแหลมฉบัง
แหล่งข่าวระดับสูงของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าโครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่ช่วงคลองสิบเก้า-แก่งคอย มูลค่ากว่า 11,348 ล้านบาท ระยะทาง 106 กิโลเมตรประสบปัญหาการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม แม้เจ้าหน้าที่ร.ฟ.ท.และตัวแทนบริษัทที่ปรึกษาจะประชุมชี้แจงรายละเอียดร่วมกับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ส.ผ.) หลายครั้งแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ผ่านการพิจารณาจึงส่งผลให้โครงการนี้เกิดความล่าช้าจากที่กำหนดที่เดิมจะเปิดประมูลก่อสร้างในปี 2552 แต่ต้องเลื่อนเป็นปี 2553 แม้งบลงทุนจะผ่านการอนุมัติในหลักการจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) แล้วก็ตาม
โดยพื้นที่ซึ่งเป็นปมปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมคือที่จุดการก่อสร้างอุโมงค์บริเวณเขาพระพุทธฉาย จังหวัดสระบุรี แนวการก่อสร้างจะขนานไปกับอุโมงค์เดิมที่กิโลเมตรที่ 147+100 ถึงกิโลเมตรที่ 148+307 ระยะทาง 1.2 กิโลเมตร ตลอดจนจุดก่อสร้างสถานีเพิ่มเติม 1 แห่งที่สถานีไผ่นาบุญ ช่วงกิโลเมตร 162+819 ระหว่างสถานีบุใหญ่ และสถานีแก่งคอย เพื่อใช้เป็นสถานีควบคุมระบบอาณัติสัญญาณซึ่งต้องผ่านป่าอนุรักษ์ธรรมชาติ และแนวก่อสร้างยังต้องผ่านพื้นที่ลุ่มน้ำ A1 หลายแห่งด้วยกัน
" เรื่องนี้จะมีการประชุมอีกครั้งระหว่าง สผ.และการรถไฟฯในเร็ว ๆนี้ เพื่อหาข้อสรุปโดยเร็ว หลังจากที่โครงการได้ล่าช้าข้ามปี" แหล่งข่าวกล่าวและระบุว่า โครงการนี้เป็นการสร้างทางรถไฟสายใหม่ 1 สายทาง คู่ขนานไปกับทางรถไฟสายเดิม โดยจะต้องเวนคืนที่ดิน 119 ไร่ ซึ่งเริ่มต้นจากสถานีฉะเชิงเทรา ผ่านสถานีบางน้ำเปรี้ยว สถานีคลองสิบเก้า แล้วแยกขนานไปกับทางรถไฟสายคลองสิบเก้า-แก่งคอย ผ่านสถานีองครักษ์ วิหารแดง บุใหญ่ สิ้นสุดปลายทางที่สถานีแก่งคอย รวมระยะทาง 106 กิโลเมตร ผ่าน 3 จังหวัดคือ ฉะเชิงเทรา นครนายก และสระบุรี
ด้านนายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. เปิดเผยว่าขณะนี้การออกแบบและจัดทำแบบรายละเอียด TOR เสร็จแล้ว แต่ติดปัญหาเรื่องการขออนุญาตด้านสิ่งแวดล้อมจึงไม่สามารถขายซองประกวดราคาก่อสร้างได้ แต่ถ้าหากใน 1-2 เดือนนี้ผ่านการอนุมัติด้านสิ่งแวดล้อมก็คาดว่า ภายในเดือนตุลาคมนี้น่าจะเริ่มขายซองประกวดราคาได้และก่อสร้างในปีหน้า โดยแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 สัญญาคือ สัญญาก่อสร้างและวางระบบ
อีกทั้งโครงการนี้ ถือเป็นเส้นทางการขนส่งหลักในการเชื่อมโยงการขนส่งระบบรางจากภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือเชื่อมต่อไปยังพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก เข้าสู่ท่าเรือแหลมฉบังและสนับสนุนการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย โดยโครงการนี้จะใช้เวลาการเวนคืนที่ดินประมาณ 15 เดือน จัดประกวดราคา 7 เดือน ก่อสร้างและติดตั้งระบบ 36 เดือน หรือประมาณ 3 ปีเศษ
โดยโครงการนี้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มีเห็นว่าเมื่อ ร.ฟ.ท.จะทำรางคู่สายอื่นอยู่แล้วควรจะนำสายนี้รวมเข้าไป ในแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบรางของการรถไฟแห่งประเทศไทยภายใต้กรอบวงเงินรวม 176,808 ล้านบาท ซึ่งมี 5 เส้น รวมระยะทาง 767 กิโลเมตร ภายใต้งบประมาณ 66,110 ล้านบาท
ก่อนหน้านั้นสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.)ได้คัดเลือกที่จะผลักดันในระยะเร่งด่วนโดยจะประกาศขายซองประกวดราคาได้ช่วงปลายปี 2553 ก่อนจำนวน 3 เส้นทาง คือ สายเหนือ ช่วงลพบุรี-นครสวรรค์ สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-นครราชสีมา และสายใต้ ช่วงนครปฐม-หัวหิน รวมทั้งสิ้น 415 กิโลเมตรภายใต้วงเงินลงทุน 36,100 ล้านบาท โดยทั้ง 3 เส้นทางขณะนี้อยู่ในช่วงการออกแบบศึกษาความเหมาะสม ซึ่งกำหนดจะเปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชนอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมศกนี้
ส่วนอีก 2 เส้นทางคือ สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง 185 กิโลเมตร วงเงินงบประมาณ 13,010 ล้านบาท และสายใต้ ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กิโลเมตร วงเงินงบประมาณ 17,000 ล้านบาท |
|
Back to top |
|
|
|