View previous topic :: View next topic
Author
Message
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42749
Location: NECTEC
Posted: 16/01/2015 11:24 pm Post subject:
ร้องเปลี่ยนแนวเส้นทางสายสีชมพูย้ายจากตลาดมีนฯไปสุวินทวงศ์
เดลินิวส์
วันศุกร์ 16 มกราคม 2558 เวลา 08:56 น.
สายสีชมพูยังไม่นิ่ง อดีตส.ส.เพื่อไทย ร้องนายกฯเปลี่ยนแนวสถานีตลาดมีนฯไปที่สุวินทวงศ์แทน
เมื่อวันที่15ม.ค.เวลา10.00น.ที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.)นายวิชาญมีนชัยนันท์ ประธานโซนภาคกทม.พรรคเพื่อไทยพร้อมด้วยอดีตส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทยได้มายื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ผ่านศูนย์บริการประชาชนฯเพื่อขอให้มีการพิจารณาทบทวนปรับเปลี่ยนเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพูเฉพาะสถานีที่ 29 (ตลาดมีนบุรี)ให้ไปอยู่ที่ถนนสุวินทวงศ์แทน
นายวิชาญ กล่าวว่าเนื่องจากพื้นที่ถนนสุวินทวงศ์มีประชาชนอยู่อาศัยหนาแน่นกว่า200,000คนที่จะได้ใช้ประโยชน์มากกว่าในตลาดมีนบุรีที่มีคนอยู่ประมาณ20,000คนการเลี้ยวซ้ายเข้าถนนสุวินทวงศ์จะเป็นการลงทุนระยะยาวเพื่ออนาคต เพราะปัจจุบันถนนสุวินทวงศ์อยู่ในระหว่างปรับปรุงให้เป็นถนน 8 ช่องทางเดินรถ ผ่านเขตหนองจอกไปยังจังหวัดฉะเชิงเทรา ถนนดังกล่าวมีถนนร่วมและซอยแยกต่างๆเป็นที่อยู่อาศัยของประชาชนจำนวนมาก เช่นถนนหทัยราษฎร์ ออกสู่ถนนสายพหลโยธินและถนนสุขาภิบาล 5 ถนนสามวาและถนนนิมิตใหม่ อยากให้นายกรัฐมนตรีสละเวลาสัก2ชั่วโมงไปดูพื้นที่จะได้สามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องคุ้มค่าต่อการลงทุนทั้งนี้การเวนคืนทั้ง 2แห่งใช้พื้นที่พอๆกันแต่ที่ตลาดมีนบุรีจะต้องข้ามคลองสามวาและคลองแสนแสบข้ามสุขาภิบาล3และไปสร้างเดปโป้อยู่ติดริมน้ำที่สำคัญต้องเอาสาธารณูปโภคทั้งหมดบนถนนสีหบูรานุกิจลงใต้ดินใช้งบอีกกว่า3,000ล้านบาทแต่หากเวนคืนที่สุวินทวงศ์ ก็ยังสามารถเดินทางไม่เกิน400เมตรเข้าตลาดมีนฯได้
นายวิชาญกล่าวต่อว่า การสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูโดยให้เส้นทางมาที่ตลาดมีนบุรีจะทำให้ตลาดแออัดมากยิ่งขึ้นเพราะคนที่มาซื้อของไม่ได้นั่งรถไฟมาซื้อของ แต่เป็นคนที่จะต้องการเดินทางไปทำงานนอกจากนี้สวนดุสิตโพลล์ได้ทำการสำรวจจากประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวพบว่าร้อยละ 82.35 ต้องการให้เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพูเลี้ยวซ้ายจากถนนรามอินทราไปยังถนนสุวินทวงศ์.
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42749
Location: NECTEC
Posted: 18/01/2015 1:50 pm Post subject:
บอร์ดรฟม.เคาะปรับแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้ม
โดย ณัฐญา เนตรหิน
ข่าวรายวัน - คอลัมน์ : ข่าวในประเทศ
ฐานเศรษฐกิจ
วันศุกร์ที่ 16 มกราคม 2015 เวลา 20:50 น.
วันนี้(16ม.ค.)พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ประธานคณะกรรมการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ(รฟม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการฯถึงกรณีการแก้ไขปัญหาเรื่องการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม(ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) ระยะทาง 21.20 กิโลเมตร ว่า คณะกรรมการฯ มีมติในการเลือกแนวเส้นทางดินแดง-โบสถ์แม่พระฟาติมา-พระราม 9 แทนเส้นทางเดิม ดินแดง-ชุมชนประชาสงเคราะห์-ศูนย์วัฒนธรรม เพื่อเลี่ยงผลกระทบต่อชุมชนประชาสงเคราะห์
การเปลี่ยนแนวเส้นทางดังกล่าว ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างลงกว่า 500 ล้านบาท โดยจะเร่งพิจารณารายละเอียดการดำเนินการและส่งเรื่องให้กระทรวงคมนาคมต่อไป
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42749
Location: NECTEC
Posted: 19/01/2015 2:02 am Post subject:
บอร์ดรฟม.ยอมปรับแนวรถไฟฟ้าสีส้มเลี่ยงชุมชนประชาสงเคราะห์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
16 มกราคม 2558 18:54 น.
บอร์ดรฟม.จำนนชาวบ้านประชาสงเคราะห์ ยอมปรับแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้ม ยึดตามถนนพระราม 9 ลดค่าเวลคืน ผลกระทบชุมชน ค่าก่อสร้างรวมลดลงถึง 500 ล้านบาท ด้านชาวบ้านยันไม่ปรับแนว ร้องศาลปกครองและยื่น"ประยุทธ์"พิจารณา
วันนี้(16 ม.ค.) คณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่มีพล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ เป็นประธานได้หารือถึงแนวทางการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี ระยะทาง 21.20 กม. วงเงิน 110,325.76 ล้านบาท โดยมีตัวแทนชาวบ้านในพื้นที่ในดินแดง ประชาสงเคราะห์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างเข้าร่วมหารือ เนื่องจากเมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา บอร์ดรฟม.มีมติไม่เห็นด้วยกับการปรับแนวเส้นทางพื่อเลี่ยงชุมชนประชาสงเคราะห์ ไปใช้ถนนพระราม9 แทน
โดยนายประทีป นิลวรรณ ประธานชุมชนแม่เนี้ยว แยก3 แกนนำชุมชนประชาสงเคราะห์กล่าวว่า หากบอร์ดรฟม.ยังคงยืนยันตามว่าจะก่อสร้างตามแนวทางที่ 1 ซึ่งผ่านชุมชนจำนวนมาก ชาวบ้านจะประชุมเพื่อขอมติของชุมชนในเจตดินแดงที่ได้รับผลกระทบจากโครงการ เพื่อในการขับเคลื่อนในส่วนของภาคประชาชนต่อไป เช่น ยื่นศาลปกครองและนำมวลชนเข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อส่งสัญญาณไปถึงบอร์เ รฟม.ได้เข้าใจและทบทวนมติ โดยเบื้องต้นในวันที่ 18 มกราคมนี้ จะนัดประชุมหารือกันและแจ้งความคืบหน้าให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้รับทราบ
ซึ่งก่อนหน้านี้ รฟม.ได้หารือกับชาวบ้านในพื้นที่ในดินแดง ประชาสงเคราะห์ พระราม 9 เพื่อหาทางออกและลดผลกระทบ ช่วงตัดผ่านพื้นที่ถนนประชาสงเคราะห์ ดินแดง โดย รฟม.ได้มีการศึกษาปรับแนวเส้นทางช่วงดังกล่าวใหม่ โดยมีเส้นทางเริ่มจากสถานีรางน้ำไปตามถนนราชปรารภและถนนดินแดง เข้าสู่ถนนพระราม 9 และเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคลที่สถานีพระราม 9 จากนั้นวิ่งต่อไปตามถนนพระราม 9 จนถึงสถานี รฟม. ซึ่งจะลดผลกระทบผู้ถูกเวนคืนประมาณ 150 หลังคาเรือนลง ส่งผลประหยัดงบประมาณเวนคืนได้ 500 ล้านบาท ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย
ผ.ศ.พงศ์พร สุดบรรทัด พยานผู้เชี่ยวชาญจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกล่าวว่า รฟม.ได้เชิญตัวแทนชุมชนมาชี้แจงต่อที่ประชุมบอร์ดกรณีที่ขอให้ดำเนินการก่อสร้างในทางเลือกที่ 2 เนื่องจากพิสูจน์ได้ว่า ต้นทุนทางสังคม สิ่งแวดล้อมและทางกายภาพต่ำกว่าและมีประสิทธิภาพกว่าแนวที่ผ่านชุมชน ซึ่งการเคลื่อนไหวของชาวบ้านเป็นไปตามข้อเท็จจริงและสิทธิชุมชน สิทธิมนุษยชนที่พึงกระทำได้ เพื่อรักษาชุมชนเก่า โดยชาวบ้านเห็นว่าการออกแบบแนวเส้นทางเดิมที่เลี้ยวไปเลี้ยวมาและผ่านชุมชนเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะต้องมีการเปิดหน้าดิน เพื่อผ่านสถานีศูนย์วัฒนธรรมซึ่งต้องขุดลงใต้ดินลึกกว่า 60 เมตร ซึ่งค่าก่อสร้างจะสูงมาก ในขณะที่ใช้แนวไปทางถนนพระราม 9 จะลดผลกระทบได้มาก
พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ประธานบอร์ดรฟม.กล่าวว่า ที่ประชุมบอร์ดรฟม.วันนี้ (16 ม.ค.) มีมติให้รฟม.ดำเนินการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มตามทางเลือกที่ 2 โดยขยับแนวมาใช้ถนนพระราม9 แทนการตัดผ่านชุมชนประชาสงเคราะห์ หลังจาก
ขอให้ชาวบ้านมาหารือกัน ใช้เวลา2 ชม. ชาวบ้านยืนยันไม่เห็นด้วยกับแนวเดิมและบอกถึงข้อดีข้อเสีย ซึ่งบอร์ดพอใจและมีมติออกมา โดยแนวพระราม 9 จะไม่มีปัญหาเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม และไม่มีเสียงคัดค้านและยังส่งผลให้มูลค่าโครงการทั้งค่าก่อสร้างและค่าเวนคืนลดลงประมาณ 500 ล้านบาท เพราะเส้นทางจะสั้นกว่า แนวเดิม
"เราไม่อยากให้มีความเดือดร้อนต่อชุมชน และอยากให้ชุมชนมีส่วนร่วม ความติ้งการของสังคมเป็นเหตุผลที่ต้องนำมาพิจารณาในการดำเนินโครงการรถไฟฟ้า เมื่อไม่มีการคัดค้านโครงการจะเดินหน้าได้ตามแผน"พล.อ.ยอดยุทธกล่าว
//-------------
รฟม.ปรับแนว-ยุบรวมสถานีสายสีส้ม ประหยัด 3.6 พันล.เร่งชงคมนาคมเดินหน้าเฟสแรก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
18 มกราคม 2558 19:01 น.
บอร์ดรฟม.สรุปปรับแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มและยุบรวมสถานีรางน้ำและราชปรารภลดผลกระทบเวนคืน ช่วยประยัดค่าก่อสร้างและเวนคืนรวมกว่า 3.6 พันล. เร่งเสนอคมนาคมใน1-2 สัปดาห์นี้ ขอเดินหน้าเฟสแรก วงเงินกว่า 1.1 แสนล.ก่อน หวั่นยึกยักกระทบภาพรวมล่าช้า พร้อมอนุมัติค่าจ้างเดือนละ 3.4 แสนบาท"พีระยุทธ"นั่งผู้ว่าฯคนใหม่
พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า ในการประชุมบอร์ดเมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบให้ รฟม.ปรับแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตลิ่งชัน-มีนบุรี) ระยะทาง 35.4 กม. ใหม่เพื่อลดปัญหาผู้ได้รับกระทบจากการเวนคืนบริเวณ ชุมชนประชาสงเคราะห์ และบริเวณสถานีราชปรารถและสถานีรางน้ำโดยจะสรุปรายละเอียดเสนอเพิ่มเติมไปยังกระทรวงคมนาคมได้ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ รฟม.ได้เสนอแผนการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม รวมถึงสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ระยะทาง 34.5 กม.วงเงิน 56,691 ล้านบาท และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ระยะทาง 29.1 กม. วงเงิน 54,644 ล้านบาทและสายสีส้ม ไปยังกระทรวงคมนาคมแล้วเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ แนวเส้นทางสายสีส้มที่ปรับเปลี่ยนจะเป็นส่วนของเฟสที่ 1 (ตะวันออก) ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี ระยะทาง 21.2 วงเงินประมาณ 110,325.76 ล้านบาท จากเดิมที่ช่วงดินแดงจะเลี้ยวไปตามถนนวิภาวดีผ่านชุมชนประชาสงเคราะห์เพื่อเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคลที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ แล้วจึงเบี่ยงเข้าแนวถนนพระราม 9 ที่หน้า รฟม. และเลี้ยวซ้ายเข้าถนนรามคำแหงนั้น จะปรับเป็นใช้แนวถนนดินแดงจนถึงถนนพระราม 9 โดยใช้สถานีพระราม 9 เป็นตัวเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล ที่สถานีพระราม 9 ทำให้สายสีส้ม เฟส1 จะเริ่มต้นจาก พระราม 9-มีนบุรี ซี่งการปรับแนวเส้นทางดังกล่าวทำให้ระยะทางสั้นลงและเส้นทางเป็นแนวตรงค่าก่อสร้างและค่าเวนคืนลดลงรวมประมาณ 500 ล้านบาท ส่วนเฟส 2 (ตะวันตก) จะเป็นช่วงตลิ่งชัน-พระราม 9 จากเดิมคือช่วงตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม
นอกจากนี้บอร์ดยังมีมติเห็นชอบให้ยุบรวมสถานีรางน้ำและสถานีราชปรารภ ของรถไฟฟ้าสายสีส้ม เฟส2 (ตะวันตก) ซึ่งมีปัญหาเนื่องจากต้องเวนคืนตึกแถวจำนวน 50 ห้อง ซึ่งผู้ถูกเวนคืนเรียกร้องค่าชดเชยสูงถึง 50 ล้านบาทต่อห้อง ในขณะที่ราคาซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 20 ล้านบาทต่อห้อง ดังนั้นบอร์ดจึงต้องตัดสินใจหาข้อยุติเพื่อไม่ให้ยืดเยื้อต่อไป ซึ่งการยุบรวมเหลือสถานีเดียวนั้นจะเหลือสถานีราชปรารภไว้ โดยขยับแนวที่ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีมักกะสัน (รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์) มากขึ้น ซึ่งยอมรับว่า ผู้โดยสารจะต้องเดินไกลขึ้นบ้างแต่จะเชื่อมกับแอร์พอร์ตลิ้งก์สะดวก ซึ่งส่วนนี้ทำให้ค่าก่อสร้างและค่าเวนคืนลดลงรวมอีกประมาณ 3,170 ล้านบาท รวมการปรับเส้นทางและยุบรวมสถานีแล้วทำให้ค่าก่อสร้างสายสีส้มลดลงรวม 3,670 ล้านบาท
ตกลงค่าจ้างผู้ว่าฯรฟม.คนใหม่เดือนละ 3.4 แสนบาท
พล.อ.ยอดยุทธ กล่าวว่า บอร์ดยังได้รับทราบผลการเจรจาค่าตอบแทนผู้ว่าฯรฟม. คนใหม่ที่อัตรา 3.4 แสนบาทต่อเดือน โดยนายพีระยุทธ สิงห์พัฒนากุล รองผู้ว่าฯรฟม. ได้รับการสรรหาเป็นผู้ว่าฯรฟม.คนใหม่ โดยในต้นสัปดาห์นี้ รฟม.จะเสนอผลการสรรหาผู้ว่าฯ รฟม.ไปยังกระทรวงคมนาคมเพื่อเสนอครม.เห็นชอบต่อไป เชื่อว่าผู้ว่าฯรฟม.คนใหม่จะสามารถเริ่มทำงานได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้
ส่วนการพิจารณารูปแบบจัดหาผู้รับงานเดินรถสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ ระยะทาง 27 กม.นั้น พล.อ.ยอดยุทธกล่าวว่า ล่าสุดคณะกรรมการตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติเข้าร่วมงานหรือดำเนินงานในกิจการของรัฐ พ.ศ.2536 ยังไม่มีความคืบหน้าในการพิจารณา ซึ่งคงต้องรอให้ผู้ว่า ฯ รฟม.คนใหม่เข้ามาช่วยเร่งดำเนินการรวมถึงการเปลี่ยนตัวประธานคณะกรรมการมาตรา 13 หรือไม่ เพราะเป็นอำนาจของผู้ว่าฯรฟม. ซึ่งบอร์ดต้องการให้ตัดสินใจเรื่องนี้โดยเร็ว เนื่องจากงานจัดหารถต้องใช้เวลาถึง 36 เดือนหลังลงนามในสัญญา ซึ่งอาจทำให้การเปิดให้บริการล่าช้าออกไป แต่ขณะนี้ รฟม.ยังมั่นใจว่าจะสามารถผลักดันให้สามารถเปิดบริการได้ภายในปี 2561 ตามแผนที่วางไว้
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 44637
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 19/01/2015 8:57 am Post subject:
เกาะติดแผนเวนคืนที่ดิน โครงข่ายรถไฟฟ้าใยแมงมุม
เดลินิวส์ วันจันทร์ 19 มกราคม 2558 เวลา 06:00 น.
เริ่มเห็นเค้าโครงเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาแล้ว สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าในเมือง 10 สายของรัฐบาล
เริ่มเห็นเค้าโครงเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาแล้ว สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าในเมือง 10 สายของรัฐบาล ที่บางสายก็เริ่มเดินหน้าตอกเสาเข็มลงตอม่อไปแล้ว แต่บางสายก็กำลังตั้งไข่เริ่มอนุมัติโครงการ แต่ก่อนที่ความฝันเครือข่ายรถไฟฟ้าใยแมงมุมทั่วเมืองจะเป็นจริง ก็ต้องผ่านด่านอีกขั้นตอนสำคัญ คือ การจัดกรรมสิทธิ์์และเวนคืน ที่ถือเป็นช่วงที่วุ่นวาย และกระทบกระทั่งต่อชาวบ้านในแนวก่อสร้างมากสุด ซึ่งโต๊ะข่าวเศรษฐกิจเดลินิวส์ อัพเดทสถานการณ์ก่อสร้างและเวนคืนที่รถไฟฟ้าให้ติดตามกัน
สายสีเขียว หมอชิตสะพานใหม่คูคต,แบริ่งสมุทรปราการ
เริ่มจากสายสีเขียว มีการแบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกหมอชิตสะพานใหม่คูคต มีระยะทางรวม 18.4 กม. ลงทุน 58,861 ล้านบาท ถือเป็นสายที่มีแนวการเวนคืนและจัดกรรมสิทธิ์์ชัดเจนมากสุด โดยหลังผ่านการประกวดราคาแล้ว ตั้งแต่เดือน ก.พ.นี้เป็นต้นไป จะเริ่มขั้นตอนจัดกรรมสิทธิ์และเวนคืนที่ดิน โดยเบื้องต้นใช้งบ 7,863 ล้านบาท มีที่ดิน 500 แปลง และสิ่งปลูกสร้าง 500 หลัง โดยมีแนวเวนคืนตามสถานีจุดขึ้น-ลง 16 สถานี เริ่มตั้งแต่จุดเชื่อม กับบีทีเอสหมอชิต ไปตามแนวถนนพหลโยธิน ข้ามดอนเมืองโทลล์เวย์ ผ่านห้าแยกลาดพร้าว รัชโยธิน เกษตร อนุสาวรีย์วงเวียนหลักสี่ หน้าตลาดยิ่งเจริญ เมื่อถึง กม.ที่ 25 เบี่ยงเข้า ถนนลำลูกกา สิ้นสุดที่ สน.คูคต
จุดเวนคืนใหญ่สุดของสายสีเขียว คือช่วงเบี่ยงจากถนนพหลโยธิน ไปถนนลำลูกกา คือย่าน ประตูกรุงเทพฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ดินจัดสรรในเขตทหารเก่า คาบเกี่ยวทั้งเขตสายไหม และลำลูกกา โดยนอกจากใช้สร้างทางตัดแล้ว ยังใช้ก่อสร้างอาคารจอด 2 แห่ง และศูนย์ซ่อมบำรุงพื้นที่รวม 130 ไร่ ส่วนช่วง ก่อสร้างแบริ่งสมุทรปราการ ระยะทาง 13 กม. 9 สถานี กำลังก่อสร้าง และเวนคืนพื้นที่ได้แล้ว โดยโครงการช่วงนี้สร้างเสร็จในปี 63
สายสีส้ม ตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี
สายสีส้ม ระยะทาง 38.9 กม. ถือเป็นเส้นทางที่น่าจับตามองมากสุด เพราะมีแนวเส้นทางตัดผ่านทั้งย่านธุรกิจสำคัญ ชุมชนเก่า และใจกลางเมืองกรุงเทพฯ หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นเกาะกลางรัตนโกสินทร์ ประตูน้ำ รางน้ำ ดินแดง พระราม 9 และรามคำแหง โดยโครงการก่อสร้างแบ่งเป็น 2 ช่วง
สีส้มฝั่งตะวันออก ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี มีระยะทางก่อสร้างเป็นทางยกระดับ 9 กม. และใต้ดิน 12.2 กม. รวม 17 สถานี มีแนวเส้นทางเริ่มจากสถานีศูนย์วัฒนธรรมเชื่อมรถไฟฟ้าใต้ดินเข้าศูนย์ซ่อมบำรุง สำนักงาน รฟม. ไป ถนนพระราม 9 เลี้ยวซ้ายไป ถนนรามคำแหง ผ่านแยกลำสาลี ถนนกาญจนาภิเษก สิ้นสุดที่ สุวินทวงศ์ ใกล้จุดตัด ถนนรามคำแหงกับสุวินทวงศ์ เบื้องต้นประเมินค่าเวนคืนและจัดกรรมสิทธิ์ไว้ที่ 9,600 ล้านบาท โดยที่ดินได้รับผลกระทบ 594 แปลง สิ่งปลูกสร้าง 222 หลัง แต่การเวนคืนส่วนใหญ่จะมีเฉพาะตามจุดขึ้นลงสถานี 17 แห่งเท่านั้น ส่วนที่เหลือใช้วิธีรอนสิทธิใต้ผิวดินโดยไม่ต้องเวนคืน เนื่องจากการก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินใช้ขุดลึกลงไปจากพื้นดิน 25-30 เมตร เพื่อทำอุโมงค์ก่อสร้างรถใต้ดิน โดยไม่ต้องกระทบต่อตัวโครงสร้างอาคาร
ส่วน ฝั่งตะวันตก ตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม ยังมีปัญหาการกำหนดแนวก่อสร้างและการเวนคืนอยู่ เช่น พื้นที่ชุมชนประชาสงเคราะห์ เพื่อทำทางเชื่อมต่อสถานีศูนย์วัฒนธรรม ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ม.ค. 58 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพิ่งมีมติปรับแบบก่อสร้าง โดยขยับแนวมาใช้ถนนพระราม 9 แทนการตัดผ่านชุมชนประชาสงเคราะห์ เพื่อลดผลกระทบการเวนคืนที่ดิน และช่วยให้ประหยัดงบก่อสร้างและเวนคืนที่ดินได้อีก 500 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังต้องติดตามปัญหาในเขตเกาะกรุงรัตนโกสินทร์ ที่มีกฎระเบียบสำคัญหลายข้อ สำหรับแนวทางการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน เน้นการเวนคืนช่วงสถานีขึ้นลงเริ่มตั้งแต่ ตลิ่งชัน บางขุนนนท์ รพ.ศิริราช สนามหลวง อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หลานหลวง ไปถนนเพชรบุรี รางน้ำ ดินแดง ก่อนเข้าสู่พระราม 9 ส่วนการสร้างเส้นทางใช้การรอนสิทธิใต้ดินเช่นกัน เพราะเป็นทางใต้ดิน โดยมีแผนสร้างเสร็จปี 63
สายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง
ตอนนี้กำลังรอนำเสนอโครงการเข้า ครม.พิจารณา โดยมีระยะทาง 30.4 กม. ลงทุน 56,110 ล้านบาท 23 สถานี โดยเบื้องต้นได้ตั้งงบประมาณเวนคืน และจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 6,000 ล้านบาท ที่ดิน 310 แปลง สิ่งปลูกสร้าง 160 หลัง โดยแนวเส้นทางจะสร้างตามถนนลาดพร้าวต่อเนื่องไปถนนศรีนครินทร์ พื้นที่การเวนคืนส่วนใหญ่อยู่ทางขึ้นลงตามสถานี 23 แห่ง โดยจุดที่กระทบมากสุด เป็นทางโค้งเบี่ยงจากถนนลาดพร้าว ไป ถนนศรีนครินทร์ แถวเดอะมอลล์ บางกะปิ รวมถึงการทำศูนย์ซ่อมรถย่านสถานีวัดศรีเอี่ยม เยื้องศุภาลัยปาร์ค ตลอดจนช่วง ถนนศรีนครินทร์ ไป ถนนเทพารักษ์ บริเวณแยกศรีเทพา โดยคาดว่ารายละเอียดการก่อสร้าง และแนวเวนคืน จัดกรรมสิทธิ์์ที่ดินจะชัดเจนในกลางปีนี้ และมีแผนก่อสร้างเสร็จปี 63
สายสีชมพู แคราย-มีนบุรี
สายสีชมพู มีระยะทาง 36 กม. ลงทุน 58,264 ล้านบาท โดยปัจจุบันเส้นทางนี้แผนก่อสร้างเป็นรถไฟฟ้ารางเดี่ยว โมโนเรล ซึ่งหากทำตามแผนนี้ใช้งบเวนคืน และจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 6,800 ล้านบาท มีที่ดินกระทบ 600 แปลง และสิ่งก่อสร้าง 100 กว่าหลัง โดยพื้นที่ถูกผลกระทบเยอะ ได้แก่ ทางเบี่ยงขวาจากถนนติวานนท์ไป ถนนแจ้งวัฒนะ แถวห้าแยกปากเกร็ด และจุดขึ้นตามสถานีต่าง ๆ อีก 30 แห่ง โดยมีสถานีใหญ่ 5 จุด คือ แยกปากเกร็ด เมืองทอง หลักสี่ วงเวียนหลักสี่ รวมถึงมีนบุรีที่ต้องใช้พื้นที่กว่า 280 ไร่ เพื่อสร้างศูนย์ซ่อม อย่างไรก็ตามขณะนี้รัฐบาลมีแผนทบทวนการก่อสร้างโครงการ ซึ่งอาจปรับให้เป็นการสร้างรถไฟฟ้าขนาดใหญ่แทนระบบรางเดี่ยว ให้เกิดความคุ้มค่ากว่าในระยะยาว แต่อาจทำให้แนวการเวนคืนต้องปรับใหม่ และมีพื้นที่ที่ถูกเวนคืนเพิ่มกว่าเดิม
แอร์พอร์ตลิงก์ ดอนเมือง-มักกะสัน
สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้ว่าจ้างกลุ่มบริษัทเอกชนออกแบบรายละเอียดแล้วเสร็จแล้ว โดยมีค่าก่อสร้างรวมทั้งสิ้น 28,253 ล้านบาท ระยะทางรวม 21.8 กม. แต่แบ่งเป็นทางวิ่งยกระดับ 18.3 กม. ทางวิ่งใต้ดิน 3.5 กม. รวม 5 สถานี แต่มีพื้นที่ที่ถูกกระทบจากการเวนคืนน้อยเพียง 25 แปลง เพราะส่วนใหญ่สร้างขนานทางรถไฟเดิม แบ่งเป็นที่ดินของรัฐ 4 แปลง เช่น พื้นที่ของกรมทางหลวง และบ้านราชวิถี และเอกชน 21 แปลง เช่น พื้นที่โรงเรียนสัตย์สงวน เพื่อทำทางวิ่งช่วงก่อนสถานีรถไฟสามเสน โดยทั้งโครงการคาดก่อสร้างเสร็จปี 62
สายสีแดง บางซื่อ-รังสิต-ธรรมศาสตร์
รถไฟฟ้าสายนี้ มีระยะทาง 36.3 กม. อยู่ในเขตรถไฟสายใต้ จึงไม่มีปัญหาในการเวนคืนและการจัดกรรมสิทธิ์์ที่ดินซึ่งเป็นปัญหาที่มีผลกระทบต่อประชาชน แต่อาจส่งผลกระทบต่อประชาชนที่รุกล้ำเข้าไปตั้งรกรากในพื้นรถไฟจะต้องย้ายออก โดยปัจจุบันโครงการกำลังก่อสร้างช่วงบางซื่อ-รังสิต 10 สถานี และมีแผนต่อขยายไปถึงธรรมศาสตร์อีก 5 สถานี ตามแนวถนนเลียบคลองเปรมประชากร คือ สถานีรังสิต สถานีคลองหนึ่ง สถานี ม.กรุงเทพ สถานีเชียงราก และสถานีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ซึ่งคาดเสร็จปี 61 ส่วนการขยายเส้นทางบางซื่อหัวลำโพง ซึ่งเพิ่มอีก 6 สถานี แต่ไม่มีผลกระทบการเวนคืนเช่นกัน โดยเริ่มจากสถานีรถไฟชุมทางบางซื่อ สถานีสามเสน สถานีราชวิถี สถานียมราช สถานียศเส และสถานีรถไฟหัวลำโพง โดยขั้นตอนตอนนี้กำลังรออนุมัติจาก ครม. อยู่
สายสีม่วง บางใหญ่-เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ-วงแหวนกาญจนาภิเษก
ช่วงบางใหญ่-เตาปูน มีระยะทาง 23 กม. 16 สถานี แทบไม่มีปัญหาอะไร สร้างเสร็จแล้วเกือบ 100% และมีแผนเปิดใช้ได้ 12 ส.ค. 59 โดยขณะนี้เหลือติดขัดข้อกฎหมายอีกเล็กน้อยในการจัดกรรมสิทธิ์์อีก 69 แปลง เพื่อสร้างศูนย์บำรุงในเขตบางใหญ่ 9 แปลง และเวนคืนเพื่อก่อสร้างสถานีขึ้นลงอีก 19 แปลง เช่น สถานีเตาปูน สถานีบางพลู แต่ล่าสุดได้ ออก ร่าง พ.ร.บ.เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฯ ก็จะทยอยเคลียร์ปัญหาได้ ส่วนเส้นทาง เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ-วงแหวนกาญจนาฯ ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างศึกษาออกแบบ แต่ยังไม่ได้กำหนดแนวเส้นทาง และการเวนคืนชัดนัก
สายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพงบางแค,ช่วงบางซื่อท่าพระ
เป็นโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง มีระยะทาง 27 กม. รวม 21 สถานี ซึ่งเปิดใช้ได้ปี 62 โดยปัจจุบันมีการจัดกรรมสิทธิ์์และเวนคืนที่ดินไปแล้ว แต่ยังติดปัญหาย่านสถานีแยกไฟฉายเขตบางกอกน้อย หลังเกิดปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกับโครงการก่อสร้างทางลอดถนนจรัญสนิทวงศ์กับถนนพรานนก ของ กทม. จึงต้องปรับแนวเขต 32 ตำแหน่ง ทำให้มีอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนประกอบด้วย ที่ดิน 61 แปลง สิ่งปลูกสร้าง 87 หลัง เพื่อสร้างสถานที่จอดรถสำหรับผู้โดยสารและกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง เริ่มตั้งแต่พื้นที่ตลาดบางขุนศรี จนถึงสถานีขนส่งสายใต้เก่า แยกไฟฉาย ทั้งสองข้างทางถนนจรัญสนิทวงศ์ ส่วนแผน บางแคพุทธมณฑล สาย 4 กำลังศึกษาออกแบบอยู่ โดยมีแนวเวนคืนที่ดินเพิ่มอีก 4 สถานี สถานีพุทธมณฑลสาย 2 สถานีทวีวัฒนา สถานีพุทธมณฑลสาย 3 และสถานีพุทธมณฑลสาย 4 คาดก่อสร้างเสร็จปี 64
จะเห็นได้ว่าปัญหาการเวนคืน และจัดกรรมสิทธิ์์ที่ดิน ยังคงเป็นอีกปัญหาใหญ่ที่ต้องติดตามต่อเนื่อง เพราะในพื้นที่เดียวกันมีทั้งชาวบ้านที่ได้รับประโยชน์ และเสียประโยชน์อยู่ จึงเป็นหน้าที่ของภาครัฐว่าจะดำเนินการอย่างไรเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน และทำให้โครงการก้าวไปสู่ความสำเร็จ ฝันที่เป็นจริงของไทย.
ทีมข่าวเศรษฐกิจ
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42749
Location: NECTEC
Posted: 19/01/2015 5:22 pm Post subject:
ชาวบ้านไม่ไว้ใจรฟม.รอครม.ยัน+เปลี่ยนแนวสายสีส้ม
เดลินิวส์
วันจันทร์ 19 มกราคม 2558 เวลา 11:06 น.
ชุมชนแม่เนี้ยวยันสู้ต่อ หลัง รฟม.ยอมเลี่ยงชุมชนสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มตามแนวถนนพระราม9 ต้องให้มีมติครม.ยืนยัน พร้อมเดินหน้าคัดค้านต่อจนกว่าจะเห็นตอม่อรถไฟฟ้าขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากกรณีที่มีประชาชนชาวชุมชนแม่เนี้ยว ถนนประชาสงเคราะห์ ได้ร้องเรียนการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.)ปรับแนวเส้นทางก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกช่วงตลิ่งชัน-วัฒนธรรมจากแนวเส้นทางที่ตัดผ่านถนนประชาสงเคราะห์ตามแผนแม่บทเดิมที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีซึ่งเส้นทางนี้จะเริ่มจากสถานีรางน้ำไปตามถนนราชปรารภ ถนนดินแดง เลี้ยวไปตามถนนวิภาวดีรังสิต ผ่านศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร2 (สถานีดินแดง) เข้าถนนประชาสงเคราะห์ผ่านชุมชนและเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล(สถานีศูนย์วัฒนธรรม)และเบี่ยงเข้าถนนพระราม9จนถึงสถานีรฟม. ในเส้นทางที่อนุมัติไว้นี้ทำให้มีประชาชนบริเวณดังกล่าวได้รับผลกระทบจากการเวียนคืนถึง180 หลังคาเรือน ทั้งนี้แม้ว่าในการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม. ซึ่งมีพล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ เป็นประธานประชุมล่าสุดเมื่อวันที่16ม.ค.2558 ได้มีการเชิญตัวแทนชาวบ้านเข้าไปพูดคุย และบอร์ดรฟม.มีมติยอมปรับแนวเส้นทางก่อสร้างรถไฟฟ้าเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อชุมชนแล้วแต่ชาวชุมชนก็จะมีการติดตามต่อไปเพื่อไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงแนวเส้นทางมาผ่านพื้นที่ชุมชนอีก ทั้งนี้สำหรับเส้นทางที่ปรับเปลี่ยนจะขยับแนวมาใช้ถนนพระราม9 แทนการตัดผ่านชุมชนประชาสงเคราะห์ โดยเริ่มจากเริ่มจากสถานีรางน้ำวิ่งไปตามถนนราชปรารภและวิ่งตามถนนดินแดงเข้าสู่ถนนพระราม9เพื่อเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล(สถานีพระราม9)จากนั้นวิ่งเข้าจนถึงสถานีรฟม.แทน ซึ่งการใช้แนวพระราม 9 จะไม่มีปัญหาเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม และไม่มีเสียงคัดค้านใดๆและยังส่งผลให้มูลค่าโครงการทั้งค่าก่อสร้างและค่าเวนคืนลดลงประมาณ 500 ล้านบาท เพราะเส้นทางจะสั้นกว่าแนวเดิม
นายประทีป นิลวรรณ ประธานชุมชนแม่เนี้ยว แยก3 แกนนำชุมชนประชาสงเคราะห์ กล่าวว่า ได้มีการนัดประชาชนภายในชุมชนประชุมหารือเพื่อแจ้งผลการต่อสู้ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากที่ชาวชุมชนได้เข้าพบพล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ประธานบอร์ดการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.)เพื่อชี้แจ้งเหตุผลที่ชาวบ้านทำการร้องเรียนและทางบอร์ดก็มีความพึงพอใจและมีมติออกมาใช้แนวพระราม 9 ในที่สุด แต่ถึงแม้ว่ามติทางบอร์ดฯจะมีการเลือกสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มในแนวถนนพระราม9 ตามที่ได้เรียกร้องแล้ว แต่ชาวบ้านจะยืนยันเดินหน้าคัดค้านต่อจนกว่าจะมีมติจากทางคณะรัฐมนตรี (ครม.)ยืนยันที่จะมีการเปลี่ยนเส้นทางเป็นที่แน่ชัดและจะดำเนินการต่อสู้จนกว่าจะมีการดำเนินการก่อสร้างรถไฟฟ้าที่ถนนพระราม9เท่านั้น ทั้งนี้หากยังไม่มีการเปลี่ยนเส้นทาง ทางชาวบ้านก็ได้เตรียมเอกสารต่างๆเตรียมยื่นหนังสือต่อศาลปกครองต่อไป อย่างไรก็ตามทางชุมชนต้องขอขอบคุณทางบอร์ดรฟม.ที่มีมติและเห็นใจประชาชนให้เปลี่ยนเส้นทางการดำเนินการสร้างรถไฟฟ้าใหม่ ทางชุมชนต้องขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตลิ่งชัน-มีนบุรีตลอดเส้นทางมีระยะทาง 39.5 กิโลเมตร โดยตามแผนการเร่งรัดโครงการของรัฐบาลจะดำเนินการก่อสร้างในช่วงจากศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรีก่อน ระยะทาง 21.20 กม. วงเงิน 110,325.76 ล้านบาท.
https://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=fZSBlHFPkck
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42749
Location: NECTEC
Posted: 19/01/2015 10:43 pm Post subject:
ถูกเวนคืนอย่าเสียใจ+สายสีส้มกรณีตัวอย่าง
เดลินิวส์
วันจันทร์ 19 มกราคม 2558 เวลา 06:30 น.
นี้มาดูกันต่อกับแนวทางการบริหารจัดการเวนคืนที่ดินเพื่อให้เกิดการพัฒนาประเทศได้ อย่างบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น ที่ผมอยากให้ข้อคิดกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเพื่อให้การเวนคืนที่ดินเพื่อก่อสร้างโครงการต่าง ๆ ราบรื่นและประสบความสำเร็จได้ครับ
การพัฒนาวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สิน
ประเทศไทยขาดระบบการแจ้งราคาซื้อขายจริงตามท้องตลาดเพราะถ้าแจ้งจริงซึ่งมักสูงกว่าราคาประเมินของทางราชการ ประชาชนก็ต้องเสียภาษีสูงขึ้น ประชาชนจึงมักพยายามหลีกเลี่ยง ดังนั้นเราจึงต้องพยายามสร้างฐานข้อมูลการซื้อขายที่เป็นจริง วิธีการสร้างก็อาจใช้การลงโทษผู้ที่ไม่แจ้งตามจริงด้วยการปรับให้หนักขึ้น หรืออีกทางหนึ่งก็คือการลดภาษีและค่าธรรมเนียมลง ในการนี้ยังอาจต้องกำหนดให้ทรัพย์สินที่มีมูลค่าเกินกว่าระดับหนึ่ง (เช่น 1, 3 หรือ 5 ล้านบาท) ต้องทำการประเมินค่าทรัพย์สินทุกครั้งก่อนการโอน โดยทางราชการเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเองเพราะคงคุ้มที่จะเรียกเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมโอนได้สูงขึ้นกว่าราคาประเมินของทางราชการ
เมื่อมีฐานข้อมูลการซื้อขายที่เป็นจริงแล้วก็ต้องเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปได้ทราบด้วย เพื่อคนที่คิดจะซื้อ ขายจำนอง แบ่งแยกมรดก ฯลฯ จะใช้เป็นฐานในการประเมินมูลค่าทรัพย์สินด้วยตนเองในทางหนึ่ง และโดยเฉพาะผู้ประเมินเพื่อการเวนคืนจะสามารถใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับการประเมินค่าทดแทนอีกทางหนึ่ง การเปิดเผยข้อมูลเช่นนี้ในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่อนุญาตให้ทำเพราะถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ทั้ง ๆ ที่ในอารยประเทศให้เผยแพร่ได้ ผมก็เห็นว่าควรเผยแพร่เพื่อความโปร่งใสและอาจถือเป็นการป้องกันการฟอกเงินอีกด้วย การมีระบบฐานข้อมูลนี้จึงถือเป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สิน (เพื่อการเวนคืน) โดยเฉพาะ
สิ่งที่แปลกอีกอย่างก็คือ เราไม่มีระบบที่มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบและลงโทษผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน ถ้าไม่มีการควบคุมคุณภาพที่ดี (qualitycontrol) ไม่มีการออกสุ่มสำรวจผลการทำงานของบริษัทประเมินต่าง ๆ ไม่มีการลงโทษตรงไปตรงมาและเด็ดขาดก็อาจมีบริษัทประเมินหรือผู้ประเมินที่จะกระทำการทุจริตฉ้อฉลได้โดยที่ผลเสียก็จะตกแก่วิชาชีพและผู้ใช้บริการโดยรวม เช่นที่เคยเกิดขึ้นในกรณีต่าง ๆ ที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่องผมก็เคยเสนอไปทาง กลต.ในกรณีต่าง ๆ เหล่านี้เช่นกัน
ศึกษาและเผยแพร่ความรู้ต่อเนื่อง
ประชาชนควรมีโอกาสทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเวนคืนเพื่อทราบถึงความจำเป็นสิทธิและค่าทดแทนที่ตนควรได้รับด้วยความเป็นธรรม การเผยแพร่ความรู้เหล่านี้จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เราได้เรียนรู้จากสหรัฐอเมริกาว่ากฎหมายเวนคืนที่ดีต้องแก้ไขได้บ่อย ๆ ให้สอดคล้องกับความเป็นจริง หากระบบกฎหมายของเรายังตายตัวแก้ไขหรือปรับปรุงเพื่อประโยชน์ของมหาชนอย่างมีประสิทธิภาพไม่ได้ การเวนคืนทรัพย์สินก็อาจกลายเป็นการเพิ่มปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคมมากขึ้น
เทคนิควิทยาการที่สมควรได้รับการเผยแพร่ ได้แก่ การสร้างแบบจำลองทางสถิติเพื่อการประเมินค่าทรัพย์สิน (CAMA : computer-assisted mass appraisal) ซึ่งผมเป็นคนแรกที่สร้างขึ้นเมื่อปี 2533 ในงานศึกษาให้กับสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งสามารถใช้เพื่อการประเมินค่าทดแทนได้ แต่ประเทศไทยในขณะนั้นก็ไม่มีการศึกษาทางด้านนี้อย่างกว้างขวาง เมื่อปี 2537 ผมจึงได้สร้างแบบจำลอง CAMA ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
และจนถึงปี 2540 อ.แคล้ว ทองสม และคณะจึงได้ทดลองสร้างแบบจำลองขึ้นบ้าง และหลังจากนั้นเมื่อผมเป็นอาจารย์สอนวิชาการประเมินค่าทรัพย์สินตั้งแต่รุ่นแรกที่มหา วิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็เริ่มมีการสร้างแบบจำลองเพิ่มเติมแต่ก็ไม่ได้เผยแพร่ให้แพร่หลาย ดังนั้นในประเทศไทยจึงควรจัดการประชุม วิชาการกันทุกปีเพื่อพัฒนาเทคนิควิทยาการใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ
แก้ที่ระบบการเมืองของประชาชน
การที่ข้าราชการบางส่วนไม่สามารถริเริ่มสร้างสรรค์งานเวนคืนที่เป็นธรรม หรือการที่ระบบกฎหมายของเราเปลี่ยนแปลงช้าทำให้ผลประโยชน์ของประชาชนเสียหาย รวมทั้งการที่นักวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สินไม่ได้รับการควบคุมเพื่อผู้บริโภค ก็อาจเป็นเพราะระบอบการเมืองที่ผู้มีอำนาจไม่อยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อยากให้ระบบบริหารระบบรัฐสภาอ่อนแออยู่เช่นนี้เพื่อให้คงสถานะของที่ผู้ได้เปรียบในสังคมเจ้าของที่ดินรายใหญ่จึงจะได้ประโยชน์อย่างต่อเนื่องเพราะไม่อยากถูกเวนคืน
ดังนั้นโดยที่สุดแล้วเราต้องพัฒนาระบบการเมืองที่เอาประชาชนเป็นที่ตั้งให้ประชาชนมีอำนาจผ่านฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร เพื่อจะได้ผลักดันและบังคับใช้กฎหมายที่ยังประโยชน์ต่อประชาชนโดยรวม การนี้จึงต้องเริ่มต้นที่ประชาชนทำให้ประชาชนรากหญ้ารู้สิทธิและหน้าที่แห่งตนและให้เห็นว่า ตาสีตาสา กับผู้มีลาภยศบารมีล้วนมีเสียงเดียวเท่ากันในประเทศนี้ ไม่มีใครใหญ่และครอบงำใครได้ รณรงค์ให้ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าตนนั้นคือเจ้าของประเทศที่แท้จริงสามารถเปลี่ยนแปลงกฎหมายเพื่อประโยชน์แห่งตนและส่วนรวมได้
คิดให้ไกลออกไป
ตามกฎหมายเวนคืนปัจจุบันเราจะเอาที่ดินที่ถูกเวนคืนไปทำประโยชน์ในทางธุรกิจไม่ได้ โดยนัยนี้คงเป็นเพราะกลัวว่าจะเป็นการเอื้อต่อกลุ่มผลประโยชน์หรือแม้แต่โครงการเมืองใหม่ก็มีอันต้องเป็นหมันเพราะหากเวนคืนที่ดินใครมาจะมาจัดสรรสร้างเป็นเมืองเป็นชุมชนโดยขายเป็นบ้านให้อยู่อาศัยกันไม่ได้ ถ้าไม่มีการเวนคืนจะมีถนนรัชดาภิเษกช่วงคลองเตยที่แม้แต่บ้านคนรวยก็ยังต้องรื้อ หรือจะมีสะพานพระรามที่ 8 ที่ช่วยระบายการจราจรหรือโปรดสังวร
แต่ในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย เวียดนาม และจีน ต่างสามารถเวนคืนที่ดินเอกชนมาพัฒนาในเชิงพาณิชย์ได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ประเด็นสำคัญอยู่ที่การมีระบบตรวจสอบที่ดีเพื่อไม่ให้เอื้อประโยชน์แก่
พวกพ้องเป็นสำคัญ การที่การพัฒนาประเทศชาติสะดุดเพราะไม่สามารถเวนคืนทรัพย์สินของปัจเจกบุคคลได้ จะทำให้ความเจริญของประเทศถูกฉุดรั้งและลูกหลานไทยในอนาคตอาจเป็นผู้รับผลร้ายเหล่านี้
เราจึงควรทำความเข้าใจให้ชัดเจนในเรื่องการเวนคืน เพื่อให้การพัฒนาประเทศมีความต่อเนื่อง เพื่อความยั่งยืนของประเทศชาติตลอดไป
หมายเหตุ ผมเคยจัดประกวด
เรียงความชิงโล่พระราชทานของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และจัดทำหนังสือ ถูกเวนคืน อย่าเสียใจ โดยผมเป็นบรรณาธิการ ท่านสามารถดาวน์โหลดได้ฟรี ที่ www.thaiappraisal.org/thai/journal/order.php?p=publicationb12.php ลองดูนะครับ.
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42749
Location: NECTEC
Posted: 26/01/2015 3:08 am Post subject:
"เซ็นทรัล-จีแลนด์"เฮรับสีส้ม ดันพระราม9ศูนย์กลางธุรกิจ
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
23มกราคม 2558 เวลา 21:43:27 น.
บอร์ด รฟม.ทุบโต๊ะเขย่าใหม่แนวสีส้มช่วงประตูน้ำ-ประชาสงเคราะห์ หั่นสถานีเลี่ยงเวนคืน เบี่ยงเส้นทางมาพระรามที่ 9 ดันขึ้นแท่นอินเตอร์เชนจ์ ศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ "จีแลนด์-เซ็นทรัล" ส้มหล่น รฟม.เร่งกดปุ่มเฟสแรกแสนล้าน
พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ที่ประชุมบอร์ดเมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2558 อนุมัติปรับแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงตะวันตกจากตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม ทำให้ประหยัดค่าเวนคืนและก่อสร้างรวม 3,670 ล้านบาท
รื้อแนวใหม่-ลดค่าเวนคืน
แบ่งเป็นช่วงสถานีรางน้ำ-สถานีราชปรารภยุบเหลือ 1 สถานี ขยับมาใกล้แอร์พอร์ตลิงก์ราชปรารภ จะมีทางเชื่อมสถานีประตูน้ำ เพราะแนวเดิมต้องรื้อตึก 50 คูหา จ่ายค่าชดเชยคูหาละ 50 ล้านบาท เมื่อปรับแนวใหม่จะประหยัดงบฯ 3,170 ล้านบาท อีกทั้งปรับแนวช่วงสถานีรางน้ำ-สถานี รฟม. หลังชุมชนประชาสงเคราะห์ 181 รายคัดค้าน โดยเบี่ยงแนวจาก ถ.ประชาสงเคราะห์มาอยู่ ถ.พระรามที่ 9 ลดระยะทาง 1.3 กม. จากเดิม 5.6 กม. เหลือ 4.3 กม. ประหยัดงบฯ 500 ล้านบาท
เบี่ยงแนว ถ.ประชาสงเคราะห์
นายพีระยุทธ สิงห์พัฒนากุล รองผู้ว่าการ รฟม.ด้านวิศวกรรมและก่อสร้าง กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า แนวที่ปรับใหม่ช่วงสถานีรางน้ำ-สถานี รฟม. จะเริ่มจากสถานีรางน้ำไปตาม ถ.ราชปรารภ เบี่ยงแนวเดิมช่วงสามเหลี่ยมดินแดงไปแนว ถ.ดินแดง ถ.พระรามที่ 9 มุ่งหน้าไปยังสถานี รฟม. มี 2 สถานี คือ สถานีเคหะดินแดง อยู่หน้า ร.ร.พิบูลประชาสรรค์ ติดเคหะดินแดง และสถานีพระราม 9 อยู่ฝั่งตะวันออกสถานีพระราม 9 ปัจจุบันตั้งอยู่ในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ พระราม 9 สแควร์ จากแนวเดิมมี 3 สถานี คือ สถานีเคหะดินแดง, ประชาสงเคราะห์ และศูนย์วัฒนธรรม ลดการเวนคืนจากกว่า 300 ราย เหลือ 30 ราย
สถานีราม 9 อินเตอร์เชนจ์ใหม่
เดิมสายสีส้มจะเชื่อมการเดินทางฝั่งตะวันออก-ตะวันตก มีสถานีศูนย์วัฒนธรรมเป็นจุดต่อเชื่อม และเป็นสถานีร่วมกับสายสีน้ำเงินปัจจุบัน เมื่อปรับแนวใหม่จุดต่อเชื่อมเปลี่ยนไปอยู่สถานีพระราม 9 แต่ไม่เชื่อมเป็นจุดตัด ห่างกัน 100 เมตร ต้องสร้างทางเชื่อมใต้ดินรองรับให้ใช้เป็นสถานีร่วมกันได้ เพื่อลดเวนคืนที่ดิน
ทั้งนี้ รฟม.จะปรับก่อสร้างช่วงตะวันออกจากศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรีใหม่ เริ่มที่สถานีพระราม 9-มีนบุรี และรวบเนื้องานใหม่เข้าไปเฟสแรก จากเดิมเนื้องานรวมอยู่เฟส 2 (ตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม) โดยเสนอเพิ่มเติมหลังทำแบบรายละเอียดกับรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) เสร็จ ใช้เวลา 4 เดือน
"แต่เพื่อไม่ให้กระทบแผนก่อสร้าง จะประมูลเฟสแรกจากมีนบุรี-สถานี รฟม. 20 กม.ก่อนในปีนี้ มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท เริ่มสร้างต้นปี"59 ส่วนที่เพิ่มถึงสถานีพระราม 9 เป็นระยะถัดไป คาดว่าเสนอแบบใหม่ให้ ครม.อนุมัติได้กรกฎาคมนี้"
แนวเส้นทางใหม่ 37.9 กม.
แหล่งข่าวจากกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาโครงการ เปิดเผยว่า การปรับแนวใหม่ของสายสีส้ม ทำให้ระยะทางทั้งโครงการ (ตลิ่งชัน-มีนบุรี) สั้นลง 1.3 กม. จาก 39.2 กม. เหลือ 37.9 กม. ส่วนสถานีเหลือ 28 สถานี อาจจะเพิ่มสถานีตลาดน้ำตลิ่งชันในอนาคต ขณะที่แนวเส้นทางช่วงต้นและปลายทางยังคงเดิม ปรับแค่ช่วงที่มีปัญหาเวนคืน
จุดเริ่มต้นอยู่ที่สถานีตลิ่งชันไปตามแนวรถไฟสายบางกอกน้อยผ่าน ร.พ.ศิริราช ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยาเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า ผ่านใต้ ถ.ราชดำเนิน เบี่ยงเข้า ถ.หลานหลวง ผ่านยมราชเข้า ถ.เพชรบุรี เลี้ยวเข้า ถ.ราชปรารภถึงดินแดง มุ่งหน้าไป ถ.พระรามที่ 9 เชื่อมรถไฟฟ้าใต้ดินผ่าน ถ.ประดิษฐ์มนูธรรม เลี้ยวซ้ายเข้า ถ.รามคำแหง ผ่านแยกลำสาลี ถ.กาญจนาภิเษก สิ้นสุดที่จุดตัด ถ.สุวินทวงศ์บริเวณมีนบุรี มีรูปแบบก่อสร้างใต้ดินจากตลิ่งชัน-คลองบ้านม้า และจากบ้านม้า-มีนบุรีเป็นโครงสร้างยกระดับ
เปิดโผที่ตั้ง 28 สถานี
สำหรับ 28 สถานี ได้แก่
ตลิ่งชัน อยู่ใต้สถานีรถไฟตลิ่งชันเชื่อมสีแดง (ตลิ่งชัน-ศิริราช)
บางขุนนนท์ ตรงจุดตัด ถ.จรัญสนิทวงศ์ เชื่อมสีน้ำเงินสถานีบางขุนนนท์ และสีแดงสถานีจรัญสนิทวงศ์
ศิริราช อยู่ใต้สะพานอรุณอมรินทร์ ใกล้ ร.พ.ศิริราช และตลาดศาลาน้ำร้อน เชื่อมสีแดงที่สถานีธนบุรี-ศิริราช
สนามหลวง อยู่หน้าโรงละครแห่งชาติ
อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อยู่หน้าลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ เชื่อมสถานีผ่านฟ้าของสีม่วง (บางใหญ่-ราษฎร์บูรณะ)
หลานหลวง อยู่แยกหลานหลวง-สามแยกถนนพะเนียง
ยมราช อยู่หน้าบ้านมนังคศิลาเชื่อมสายสีแดง
ราชเทวี อยู่เพชรบุรีซอย 3-7 เชื่อมบีทีเอสราชเทวี
ประตูน้ำ อยู่หน้าห้างพันธุ์ทิพย์ พลาซา
ราชปรารภ (ใหม่) ใกล้แอร์พอร์ตลิงก์ราชปรารภ
เคหะดินแดง (ใหม่) อยู่หน้า ร.ร.พิบูลประชาสรรค์
พระรามที่ 9 (ใหม่) ติดเดอะแกรนด์พระราม 9 ของกลุ่มจีแลนด์ เป็นสถานีร่วมรถไฟฟ้าใต้ดิน
สถานี รฟม.อยู่ในพื้นที่ รฟม.ติด ถ.พระรามที่ 9
ประดิษฐ์มนูธรรม อยู่ทางเข้าวัดพระราม ๙
รามคำแหง 12 อยู่หน้าห้างเดอะมอลล์
รามคำแหง อยู่หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง
ราชมังคลาฯ อยู่หน้าสนามกีฬาหัวหมาก
หัวหมาก อยู่หน้า ร.พ.รามคำแหง
ลำสาลี ตรงแยกลำสาลีเชื่อมสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง)
ศรีบูรพา อยู่หน้าห้างบี๊กซี เอ็กซ์ตร้า สุขาภิบาล 3
คลองบ้านม้า ระหว่างรามคำแหง 92-94
สัมมากร ใกล้หมู่บ้านสัมมากร
น้อมเกล้า อยู่หน้า ร.ร.เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า
ราษฎร์พัฒนา อยู่หน้า มิสทิน
มีนพัฒนา อยู่หน้าวัดบางเพ็งใต้
เคหะรามคำแหง ปากซอยรามคำแหง 184
มีนบุรี ซอยรามคำแหง 192 เชื่อมสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และ
สุวินทวงศ์ ใกล้แยกสุวินทวงศ์
จีแลนด์-กคช.รับส้มหล่น
แหล่งข่าวจาก บมจ.แกรนด์ คาแนล แลนด์ (จีแลนด์) เปิดเผยว่า สายสีส้มย้ายสถานีร่วมมาเป็นพระราม 9 ติดกับโครงการเดอะแกรนด์ฯ ของจีแลนด์ ส่งผลดีเพิ่มความคึกคักให้กับย่านพระราม 9 กลายเป็นนิวซีบีดีหรือย่านศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่เต็มรูปแบบ
ปัจจุบันความคืบหน้าโครงการเดอะแกรนด์ พระราม 9 มี
1) ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม 9
2) คอนโดฯเบลล์แกรนด์ พระราม 9
3) ออฟฟิศให้เช่าเดอะไนน์ทาวเวอร์ 2 อาคาร
4) อาคารสำนักงานกลุ่มยูนิลีเวอร์
นอกจากนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทได้อนุมัติแผนลงทุนโครงการซุปเปอร์ทาวเวอร์สูง 125 ชั้น ลงทุน 18,000 ล้านบาท
ขณะที่นายสุภัคร ลดาวัลย์ ณ อยุธยา รองผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) มองในทำนองเดียวกันว่า จากนโยบายที่จะมีการย้ายสลับตำแหน่งสถานีสายสีส้มจากฝั่งวิภาวดีรังสิตมาเป็นฝั่ง ถ.ดินแดงจะส่งผลดีกับผู้อยู่อาศัยในชุมชนแฟลตดินแดงของ กคช. ทั้งนี้ กคช.มีแผนปรับปรุงแฟลตดินแดงมีอายุกว่า 50 ปี จากปัจจุบันเป็นอาคาร 5 ชั้น 64 อาคาร รวมกว่า 4 พันยูนิต แผนแม่บทเบื้องต้นจะก่อสร้างเป็นตึกสูง 15-25 ชั้น
สำหรับความคืบหน้าโครงการ ล่าสุด เมื่อเดือน พ.ย. 2557 ที่ผ่านมา มีการจัดรับฟังความคิดเห็นจากคนในชุมชนแฟลตดินแดง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนแม่บทฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง จากนั้นจะเสนอ ครม.ภายในเดือน มี.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม กคช. ไม่ได้ออกแบบให้มีทางเชื่อมใต้ดินกับสถานีรถไฟฟ้า เหตุผลเพราะการเชื่อมทางจะเหมาะกับโครงการที่เป็นรูปแบบคอมเมอร์เชียลมากกว่า ในขณะที่แฟลตดินแดงต้องการให้เป็นโครงการสำหรับพักอาศัย
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42749
Location: NECTEC
Posted: 29/01/2015 11:31 pm Post subject:
รถไฟฟ้าไม่ใช่ eco-friendly ทั้งหมด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
28 มกราคม 2558 13:20 น.
คนที่นิยมเดินทางโดยใช้บริการรถไฟฟ้า อาจจะคิดว่าตนเองเป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ร่วมช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมนั้นคงจะต้องคิดกันใหม่ เมื่อผลการศึกษาใหม่บอกว่าที่จริงรถไฟฟ้าอาจจะทำให้อากาศสกปรกมากกว่า และส่งผลให้โลกร้อนเร็วกว่าเดิม
ในการศึกษาของ Julian Marshall จาก University of Minnesota ระบุว่าเพราะเอทานอลที่รถไฟฟ้าใช้นั้นไม่ได้เป็นพลังงานกรีน แต่อาจจะถูกสร้างความเข้าใจผิดไปว่าเทคโนโลยีบางอย่างที่เรียกว่าเทคโนโลยีสะอาดดีกว่าการใช้น้ำมันเบนซิน ดังนั้น การประเมินรถไฟฟ้าต้องดูว่าได้แหล่งพลังงานไฟฟ้าจากไหน ถ้ามาจากพลังงานแสงอาทิตย์ถึงช่วยลดโลกร้อนได้ แต่ถ้าได้จากถ่านหินย่อมไม่ใช่
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42749
Location: NECTEC
Posted: 04/02/2015 11:15 pm Post subject:
กทม.จัดสัมมนาติดตามความคืบหน้าขนส่งระบบราง
ณัฐญา เนตรหิน
ข่าวรายวัน - คอลัมน์ : ข่าวในประเทศ
ฐานเศรษฐกิจ
วันพุธที่ 04 กุมภาพันธ์ 2015 เวลา 13:21 น.
วันนี้(4 ก.พ.58) ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เขตปทุมวัน เวลา 09.30 น. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ พร้อมรับอนาคตกรุงเทพฯ ซึ่งสำนักการจรารจรและขนส่งกทม.จัดขึ้น โดยเชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในดำเนินโครงการระบบขนส่งสาธารณะทางรางในเขตกรุงเทพมหานครร่วมการสัมมนา อาทิ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและการจราจร กระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด และบริษัทที่ปรึกษาโครงการที่เกี่ยวข้อง
ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า ในช่วงเวลานี้มีแผนงานและการก่อสร้างโครงการระบบขนส่งมวลชนระบบรางในเขตกรุงเทพมหานครเป็นจำนวนมาก แม้ว่ากทม.จะไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการและรับผิดชอบในทุกสายทาง แต่เนื่องจากโครงการก่อสร้างส่วนใหญ่ดำเนินการในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งกทม.ในฐานะผู้ดูแลรับผิดชอบกรุงเทพมหานครจำเป็นต้องรับทราบถึงรายละเอียดโครงการ รวมถึงปัญหาและอุปสรรค ระยะเวลาการก่อสร้าง ตลอดจนกำหนดเวลาแล้วเสร็จ เพื่อประโยชน์ในวางแผนและจัดหาการเดินทางระบบเสริมเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางและป้อนผู้โดยสารสู่ระบบขนส่งมวลชนระบบหลัก รวมถึงการแก้ไขปัญหาการจราจรที่สืบเนื่องจากการก่อสร้าง ทั้งนี้หากพิจารณาจากแผนแม่บทและโครงการก่อสร้างระบบรางสายทางต่างๆ พบว่ามีการบรรจบสายทางในพื้นที่เขตดอนเมืองหลายสายทาง ดังนั้นจึงเป็นการดีที่กทม.และหน่วยงานต่างๆ จะได้หารือแนวทางการบริหารจัดการ รวมถึงเชื่อมโยงการทำงานในการแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการก่อสร้างระบบขนส่งในสายทางต่างๆ ไม่ส่งผลกระทบต่อการจราจรรวมถึงการเดินทางของประชาชน พร้อมกันนี้จะได้กำชับและขอความร่วมมือหน่วยงานรับผิดชอบโครงการต่างๆ ใช้ความระมัดระวังและดูแลความปลอดภัยระหว่างการก่อสร้างด้วย
ระบบหลัก 8 สายทาง
ปัจจุบันรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครตามแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่อยู่ระหว่างดำเนินการมีจำนวน 13 สายทาง แบ่งเป็น 8 สายหลัก และ 5 สายรอง ซึ่งความคืบหน้าการดำเนินงานรถไฟฟ้าระบบหลัก 8 สายทาง ดังนี้
1. สายสีม่วง (บางใหญ่-เตาปูน) ระยะทาง 23 กิโลเมตร จำนวน 16 สถานี จะเปิดให้บริการพ.ศ. 2559
2. สายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค-บางซื่อ-ท่าพระ) ระยะทาง 27 กิโลเมตร แบ่งเป็นทางยกระดับ 22 กิโลเมตร และใต้ดิน 5 กิโลเมตร รวมจำนวน 21 สถานี จะเปิดให้บริการพ.ศ. 2560
3. สายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-รังสิต) ระยะทาง 26.3 กิโลเมตร จำนวน 10 สถานี จะเปิดให้บริการปี 2561 นอกจากนี้ยังมีแผนงานที่จะขยายเส้นทางไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิตด้วย สายสีแดงอ่อน (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) ระยะทาง 15 กิโลเมตร จำนวน 3 สถานี จะเปิดให้บริการพ.ศ. 2561 - แม้ว่าจะส่อแววว่าจะล่าช้าเป็นปี 2562-63
4. สายสีเขียวเข้ม (แบริ่ง-สมุทรปราการ) ระยะทาง 13 กิโลเมตร จำนวน 10 สถานี ซึ่งเป็นเส้นทางส่วนต่อขยายต่อเนื่องจากรถไฟฟ้าบีทีเอสของกรุงเทพมหานคร โดยจะเปิดให้บริการพ.ศ.2562 สายสีเขียวเข้ม (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) ระยะทาง 19 กิโลเมตร จำนวน 16 สถานี โดยจะแบ่งการดำเนินงานเป็น 2 ระยะ ได้แก่ หมอชิต-ตลาดยิ่งเจริญ และ ตลาดยิ่งเจริญ-คูคต คาดว่าจะเปิดให้บริการพ.ศ.2563 โดยในเส้นทางนี้มีแผนดำเนินการส่วนต่อขยายเส้นทางไปยังลำลูกกาด้วย
7. ในส่วนของสายสีเขียวอ่อน (บางหว้า-ตลิ่งชัน) ดำเนินการโดยกทม. ระยะทาง 7 กิโลเมตร จำนวน 6 สถานี ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา สำรวจและออกแบบ โดยกทม.ได้ลงนามจ้างที่ปรึกษาโครงการเมื่อเดือนม.ค.58 ที่ผ่านมา คาดว่าจะเปิดให้บริการพ.ศ.2562
8. สายสีส้ม (ตลิ่งชัน-มีนบุรี) ระยะทาง 39.6 กิโลเมตร จำนวน 30 สถานี แบ่งเป็นสถานีใต้ดิน 23 สถานี และทางยกระดับ 7 สถานี ขณะนี้อยู่ระหว่างกระทรวงคมนาคมเสนอขออนุมัติความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ (ดอนเมือง-พญาไท) ระยะทาง 21.8 กิโลเมตร จำนวน 5 สถานี คาดว่าจะเปิดบริการพ.ศ.2564
สำหรับความคืบหน้าการดำเนินการรถไฟฟ้าระบบรอง 5 สายทาง มีดังนี้
1. สายสีเทา (วัชรพล-ทองหล่อ) ระยะทาง 39.91 กิโลเมตร จำนวน 39 สถานี คาดว่าจะแล้วเสร็จพ.ศ.2562
2. สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ระยะทาง 34.5 กิโลเมตร จำนวน 30 สถานี คาดว่าจะแล้วเสร็จ 2563
3. สายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ระยะทาง 30 กิโลเมตร จะแล้วเสร็จพ.ศ.2563
4. Light Rail (บางนา-สุวรรณภูมิ) ระยะทาง 18.3 กิโลเมตร จำนวน 9 สถานี
5. ในส่วนของสายสีฟ้า (กทม. 2-ถนนโยธี) ระยะทาง 5.8 กิโลเมตร จำนวน 7 สถานี อยู่ระหว่างจัดทำแผนและศึกษาโครงการ
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42749
Location: NECTEC
Posted: 04/02/2015 11:15 pm Post subject:
รถไฟฟ้าใหม่กว่า 200 สถานนีจุดเปลี่ยนเมือง หนุนอสังหาฯ ชานกรุง-ปริมณฑลโตก้าวกระโดด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
3 กุมภาพันธ์ 2558 23:09 น. (แก้ไขล่าสุด 4 กุมภาพันธ์ 2558 07:23 น.)
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
รถไฟฟ้าใหม่กว่า 200 สถานนีจุดเปลี่ยนเมือง หนุนอสังหาฯ ชานกรุง-ปริมณฑลโตก้าวกระโดด
บิ๊กศูนย์ข้อมูลฯ ชี้รถไฟฟ้าเส้นทางใหม่กว่า 200 สถานี ในอีก 5 ปี หนุนตลาดอสังหาฯ โตก้าวกระโดด โดยเฉพาะ กทม.รอบนอก และปริมณฑล พร้อมคาดอสังหาฯ ปี 58 โตแค่ 5% ตาม GDP ไตรมาสแรก หวังงานมหกรรมบ้านและคอนโด ช่วง มี.ค.นี้ช่วยกระตุ้นตลาด
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 58 คาดว่าจะเติบโตเพียง 5% ตามการเติบโตของ GDP โดยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ตลาดยังทรงตัวต่อเนื่อง อีกทั้งยังไม่มีแรงหนุนจากปี 57 มาช่วยกระตุ้นตลาด อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าไตรมาส 1 ตลาดอสังหาฯ จะกระเตื้องขึ้นได้จากผลการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ตลาดกลับมาคึกคักได้
สำหรับตลาดอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในปัจจุบันยังคงทรงตัว โดยเฉลี่ยทั้งปีจะมีความต้องการอยู่ที่ประมาณ 1.1-1.2 แสนยูนิต/ปี ซึ่งจะทรงในระดับนี้ต่อเนื่อง แต่จะขยับไปโตในโซนกรุงเทพฯ รอบนอก และปริมณฑล ซึ่งตลาดอสังหาฯ กรุงเทพฯ ชั้นในยังเป็นตลาดคอนโดฯ หรู ศูนย์การค้าหรู อาคารสำนักงาน ส่วนทำเลรอบนอกกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบ และคอนโดฯ ตามแนวรถไฟฟ้า
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของเมืองในปัจจุบันถือว่าเร็วมาก 5 ปีที่ผ่านมา เปลี่ยนแปลงเร็วกว่า 10 ปีก่อนหน้านี้ และอีก 5 ปีข้างหน้า เมืองจะเปลี่ยนแปลงไปเร็วมากโดยเฉพาะโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย และเส้นทางใหม่หากดำเนินงานตามแผนที่วางเอาไว้ในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีสถานีรถไฟฟ้ากว่า 200 สถานี กระจายออกไปรอบนอกกรุงเทพฯ และปริมณฑล จากปัจจุบันมี 63 สถานี อีกทั้งยังมีจุดเชื่อมต่อสถานอีกกว่า 50 สถานี จะทำให้เมืองเปลี่ยนไปจากปัจจุบันอย่างมาก
การขยายเส้นทางรถไฟฟ้าเป็นปัจจัยบวกสำคัญมากที่จะทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยขยายตัวอย่างก้าวกระโดด ตลาดจะกระจายออกไปตามกรุงเทพฯ รอบนอก และปริมณฑลมากขึ้น นอกจากนี้การตัดถนนเส้นทางใหม่ๆ จะช่วยให้ตลาดอสังหาฯ เติบโตเช่นกัน
Back to top