View previous topic :: View next topic
Author
Message
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42750
Location: NECTEC
Posted: 18/03/2015 10:28 pm Post subject:
บอร์ด รฟม.คิดเอาที่ดินเวนคืนทำรถไฟฟ้ามาพัฒนาเชิงพาณิชย์ เสนอแก้พระราชบัญญัติ รฟม.
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์
18 มีนาคม 2558 เวลา 05:01
พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ประธานคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (บอร์ด รฟม.) เปิดเผยว่า เร็วๆ นี้ สถาบันเทคโนโลยี พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้รายงานความคืบหน้าเบื้องต้นโครงการศึกษาพัฒนาพื้นที่โดยรอบบริเวณศูนย์ซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล (รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางซื่อ) เขตห้วยขวาง ถนนพระราม 9 ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 1,000 ไร่ ใช้สำหรับก่อสร้างศูนย์บำรุงรถไฟฟ้าประมาณ 300 ไร่ ปัจจุบันเหลือพื้นที่ประมาณ 700 ไร่ ในจำนวนนี้ได้มีการจัดสรรที่ดิน โดยส่วนหนึ่งก่อสร้างเป็นสำนักงาน รฟม. บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด สำนักงานสนามบริษัท ผู้รับเหมา โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย และกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา แต่ยังคงเหลือพื้นที่อีกจำนวนมาก สำหรับแนวทางการพัฒนาพื้นที่ประมาณ 700 ไร่ จะเน้นการใช้พื้นที่เกี่ยวกับกิจการด้านคมนาคม เช่น ศูนย์กลางระบบราง กระทรวงคมนาคม สำนักงานโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายในอนาคต ศูนย์ซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าสายสีส้ม ตลิ่งชัน-มีนบุรี รวมถึงการเสนอพัฒนาในเชิงพาณิชย์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับผลการศึกษาโครงการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวยังไม่สามารถดำเนินการได้ทันที เพียงแต่มีการปรับพื้นที่รองรับไว้ โดยนำดินที่ขุดจากการสร้างอุโมงค์ใต้ดินมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ส่วนแนวทางที่เสนออาจจะใช้เป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาพื้นที่ในอนาคต เนื่องจากเพราะพื้นที่ดังกล่าวได้มาจากการเวนคืนที่ดิน หากจะมีการเปลี่ยน แปลงวัตถุประสงค์การใช้ที่ดิน จะต้องเสนอขอแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติ รฟม. ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไข ทั้งในส่วนของโครงสร้างอำนาจบริหาร และการใช้พื้นที่ที่ได้จาก การเวนคืนเพื่อดำเนินการในเชิงพาณิชย์ ขณะเดียวกัน จะต้องพิจารณารายละเอียดกฎหมายอื่นประกอบกัน เช่น ร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ กฎหมายเวนคืนที่ ซึ่งจะมีการปรับปรุงแก้ไขใหม่ เป็นต้น ทั้งนี้ พื้นที่ศูนย์ซ่อมบำรุง รฟม. มีโครงการที่จะพัฒนาในเชิงพาณิชย์ ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการรถไฟฟ้า และได้สอบถามไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาถึงอำนาจหน้าที่ รฟม. สามารถดำเนินการได้หรือไม่ และล่าสุดคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นว่า รฟม.ไม่สามารถนำพื้นที่ดังกล่าว รวมถึงพื้นที่อื่นที่ได้จากการเวนคืนไปพัฒนาในเชิงพาณิชย์ได้ หากจะดำเนินจริงจะต้องเสนอขอแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับภารกิจดังกล่าว.
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42750
Location: NECTEC
Posted: 18/03/2015 10:35 pm Post subject:
กลุ่มบีเอสวี กินรวบตั๋วร่วม นำร่อง BTS-MRT
ออนไลน์เมื่อ วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 11:51 น.
โดย กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ อสังหา REAL ESTATE -
คอลัมน์ : อสังหาฯ-คมนาคม
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,035 วันที่ 15 - 18 มีนาคม พ.ศ. 2558
คมนาคมเลือกกลุ่มบีเอสวี ที่มีบีทีเอสเป็นแกนนำทำโครงการระบบตั๋วร่วม ตีกรอบใช้งานได้ภายใน 30 เดือน นำร่อง เฟสแรกใช้ ควบคู่กับ BTS-MRT- แอร์พอร์ตลิงค์ และเครือข่ายอื่นๆ ภายในสิ้นปี 2559 ส่วนผู้ใช้บริการ พกบัตรเดียวใช้ได้ทุกระบบ เผยใช้งบ 338 ล้านดำเนินการ
alt พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า สำนักงานนโยบายและแผน การขนส่งและจราจร (สนข.) ได้ลงนามในสัญญาจ้างโครงการจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง กับกลุ่มบีเอสวี (BSV) ที่มีบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน)หรือบีทีเอส เป็นที่เรียบร้อย โดยมีกรอบการทำงาน 42 เดือน จากนี้จะเร่งเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติจัดตั้งคณะกรรมการระบบตั๋วร่วมระดับชาติที่มีรมว.คมนาคม เป็นประธาน เพื่อกำหนดนโยบายด้านการขนส่งและมาตรการพร้อมบทบาทของหน่วยงานระบบขนส่งในการเข้าร่วมโครงการตั๋วร่วม รวมถึงพิจารณากรอบอัตราค่าโดยสารร่วม
"บัตรรูปแบบเก่าจะทยอยยกเลิกไป ขณะที่ทางด่วนยังคงใช้บัตรเดิมไปก่อน หากแล้วเสร็จและใช้ระบบตั๋วใหม่ก็จะสามารถใช้งานได้กับทุกด่าน แต่หากส่วนไหนเสร็จแล้วและมีความพร้อมก็จะทยอยนำเข้ามาสู่ระบบต่อไป และในเดือนมีนาคมนี้ก็สามารถออกแบบบัตรได้แล้ว ต่อไปจะเร่งติดตั้งระบบมาตรฐาน คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้เร็วกว่าแผน"
ในส่วนระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (CCH)นั้นจะแล้วเสร็จและพร้อมใช้งานในเดือนสิงหาคม 2559 ส่วนการเชื่อมต่อระบบตั๋วร่วมกับระบบขนส่งสาธารณะต่างๆ คาดว่าจะเชื่อมต่อและให้บริการได้ภายในเดือนสิงหาคม 2560 โดยจะเป็นการดำเนินการร่วมกับผู้บริหารจัดการระบบตั๋วร่วม (CTC) ที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการจัดตั้ง
ด้านนายพีระพล ถาวรสุภเจริญ ผู้อำนวยการสนข. กล่าวว่า ได้กำหนดมาตรฐานบัตรสามารถชำระเงินครอบคลุมทั้งภาคขนส่งและร้านค้าต่างๆ นอกเหนือจากสามารถใช้บัตรตัวใหม่นี้เพื่อเดินทางไปยังระบบขนส่งมวลชนต่างๆ ได้ด้วยบัตรใบเดียวแล้ว บัตรนี้ยังจัดให้มีโครงสร้างที่สามารถรองรับการจัดทำเที่ยวโดยสารร่วม (CTP-Common Trip Pass) ที่สามารถใช้เดินทางได้กับทุกระบบขนส่งที่รองรับการให้บริการ พร้อมกันนี้ยังรองรับการให้สิทธิพิเศษสำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น นักเรียน ผู้สูงอายุ และผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น
"ระบบเดิมที่แต่ละรายใช้อยู่ในปัจจุบันจะต้องมีการทยอยปรับให้สามารถเข้ามาใช้กับระบบตั๋วร่วมได้ภายใน 1-2 เดือนนี้โดยการคัดเลือกระบบราง 1 โครงการ และระบบทางด่วน 1 โครงการเป็นการนำร่อง ขณะนี้มีหน่วยงานต่างๆแสดงความสนใจและเข้าร่วมหลายรายแล้ว ในอนาคตจะมีการใช้รูปแบบบัตรเดียวกันทั้งหมด ปัจจุบันผู้ประกอบการเดินรถมีค่าใช้จ่ายบริหารประมาณ 3% หากใช้ระบบตั๋วร่วมจะเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 1% ส่วนการเจรจาเชื่อมโยงกับประเภทธุรกิจนอกเหนือจากการเดินรถนั้นขึ้นอยู่กับข้อตกลงแต่ละราย อีกทั้งยังจะมีการปรับลดค่าแรกเข้าซึ่งจัดเก็บประมาณ 15 บาทอีกด้วย"
ขณะเดียวกันสิ่งที่สนข.ต้องทำควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบตั๋วร่วมก็คือเร่งดำเนินการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน ซึ่งจะดำเนินการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 อยู่ระหว่างนำเสนอต่อกระทรวงคมนาคม และครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการเพื่อจะได้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ด้านดร.เผด็จ ประดิษฐเพชร รักษาราชการ ผู้อำนวยการสำนักงานโครงการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม สนข. กล่าวเสริมว่า บริษัทจำกัดที่ก่อตั้งขึ้นนั้นจะมีการใช้งบประมาณหมุนเวียนราว 600 ล้านบาท เบื้องต้นมาจากเงินงบประมาณ 338 ล้านบาท โดยในบริษัทจำกัดนี้ภาครัฐถือหุ้นไม่เกิน 50% พร้อมกันนี้เตรียมงบ 244 ล้านบาท ปรับปรุงระบบต่างๆ ที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันให้สามารถมาใช้ระบบตั๋วร่วมที่จัดทำใหม่นี้ได้คือ งบ 80 ล้านบาทใช้กับโครงการรถไฟฟ้า MRT 90 ล้านบาทใช้กับบีทีเอส และ 60 ล้านบาทใช้กับแอร์พอร์ตเรลลิงค์ ขึ้นอยู่กับจำนวนช่องประตูการเข้า-ออก ทั้งนี้ต้องเตรียมเงินไว้เพื่อการซ่อมบำรุงและดูแลระบบอีกราว 160 ล้านบาท
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42750
Location: NECTEC
Posted: 20/03/2015 12:58 am Post subject:
รฟม.คาดปี 63 คน กทม.ใช้รถไฟฟ้าครบ6สาย สายสีชมพู-เหลืองรอเสนอ ครม.ขออนุมัติโครงการ
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
18 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 16:40:13 น.
เมื่อเวลา 12.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล มีการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจ (คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ) โดยนายพีระยุทธ สิงห์พัฒนากุล ผู้อำนวยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) แถลงความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯและปริมณฑล ว่า รฟม.มีเขตความรับผิดชอบอยู่ 6 สายทาง แบ่งเป็นส่วนที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางใหญ่-บางซื่อ) ระยะทาง 23 กิโลเมตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการระบบไฟฟ้า คาดว่าจะเปิดเดินรถได้กลางปี 59 คาดว่าจะเริ่มทยอยเดินรถได้ภายในไตรมาสแรกของปี 59 ทั้งนี้ครั้งที่นายกฯได้เดินทางไปญี่ปุ่นได้เร่งรัดให้ประกอบตัวรถให้เร็วขึ้น และจะทยอยส่งมาในเดือนกันยายนนี้ และจะทดลองเดินรถชั่วคราวในเดือนมีนาคม และจะเปิดบริการเต็มรูปแบบในปีหน้า ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีเร่งรัดให้เดินรถขบวนแรกได้ก่อนปีใหม่
สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายระยะทาง 27 กิโลฯ ปัจจุบันงานโยธาฯ ก้าวหน้าไปแล้วร้อยละ 60 ส่วนระบบการเดินรถขณะนี้อยู่ระหว่างคัดเลือกเอกชนมาร่วมลงทุน คาดว่าคงได้ข้อสรุปเร็ว ๆ นี้ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเปิดการเดินรถได้กลางปี 61 และทยอยเปิดเรื่อยไปถึงปี 62
สายสีเขียวช่วงต่อขยายไปจากโครงการบีทีเอสของ กทม. มีสองส่วน คือ ส่วนใต้ (แบริ่ง-สมุทรปราการ) ก่อสร้างไปแล้วร้อยละ 50 คาดว่าเมื่อได้ข้อสรุปรูปแบบการเดินรถจากการหารือกับบีทีเอสแล้ว คิดว่าจะเปิดเดินรถได้ต้นปี 63 และส่วนเหนือ (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) ซึ่งรฟม.ได้ประกวดราคาแล้วเสร็จ คาดว่าจะลงนามสัญญาว่าจ้างผู้รับจ้างดำเนินการก่อสร้างได้เดือนเมษายนปีนี้ และเริ่มก่อสร้างได้มิถุนายน ซึ่งระยะเวลาก่อสร้างคาดว่าใกล้เคียงกับส่วนใต้ คาดว่าจะเปิดเดินรถได้ต้นปี 63
สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างเสนอ ครม.อนุมัติและประกวดราคา ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนตะวันออก (พระรามเก้า-มีนบุรี) ระยะทาง 21 กิโลเมตร ซึ่งโครงการอยู่ระหว่างอนุมัติ ครม. คาดว่าแผนจะเริ่มประกวดราคาได้ภายในปีนี้ และเริ่มก่อสร้างได้ปี 59 ซึ่งจะใช้เวลาในการก่อสร้าง 4 ปี และเปิดเดินรถได้กลางปี 63 และอีก 2 โครงการ คือ สายสีชมพูและสายสีเหลือง มีสถานะใกล้เคียงกันคือ รฟม. ขอเสนอครม.เพื่ออนุมัติโครงการ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงคมนาคม แผนจะสามารถประกวดราคาได้ในปี 59 เริ่มก่อสร้างได้ปี 60 และเปิดโครงการได้ในปี 63
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42750
Location: NECTEC
Posted: 23/03/2015 2:47 am Post subject:
รฟม. คาดรถไฟฟ้าสายสีส้มเริ่มสร้างปี 59
by Passavee Thitiphonwattanakul
VoiceTV
22 มีนาคม 2558 เวลา 16:32 น.
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย คาดรถไฟฟ้าสายสีส้มเริ่มสร้างปี 2559
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ได้ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม ตะวันออก พระราม9มีนบุรี เสร็จสิ้นแล้ว แต่ยังเหลือในส่วนที่มีการเปลี่ยนแนวเส้นทางไปใช้ถนนพระราม 9 ซึ่งส่งผลการศึกษาไปยังสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณา หากผ่านการับรองแล้ว จะนำเสนอผลต่อ บอร์ด รฟม. เพื่อเสนอต่อกระทรวงคมนาคมและและคณะรัฐมนตรีอนุมัติ
//--------------
เร่งเดินหน้าสายสีเหลืองและสายสีชมพูให้เริ่มก่อสร้างได้ในปี60
เดลินิวส์
วันอาทิตย์ 22 มีนาคม 2558 เวลา 12:01 น.
รายงานข่าวจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.)เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออกพระราม9มีนบุรีว่า ขณะนี้การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ)ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วแต่ยังเหลือเพิ่มเติมในส่วนที่มีการเปลี่ยนแนวเส้นทางไปใช้ถนนพระราม9ซึ่งทาง รฟม.ได้ส่งผลการศึกษาไปยังสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สผ.)โดยหากผ่านการับรองแล้วจะนำเสนอผลต่อคณะกรรมการบริหารกิจการ(บอร์ด)รฟม.เพื่อเสนอต่อกระทรวงคมนาคมและและคณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1-2เดือน อย่างไรก็ตามหลังจากที่ครม.อนุมัติการคาดว่าจะสามารถเปิดประกวดราคาหาผู้รับเหมาก่อสร้างได้ประมาณปี2559 สำหรับรถไฟฟ้าสายสีเหลืองช่วงลาดพร้าว-สำโรงระยะทาง30.4กิโลเมตรและสายสีชมพูช่วงแคราย-มีนบุรี34.5กิโลเมตรอยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงคมนาคมและเสนอต่อ ครม.ซึ่งคาดว่าทั้ง2สายจะเริ่มก่อสร้างได้ประมาณปี2560นี้ เช่นกัน.
คาดว่า จะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน และสามารถเปิดประกวดราคาหาผู้รับเหมาก่อสร้างได้ประมาณปี 2559
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 44637
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 24/03/2015 8:39 am Post subject:
นายกฯยันรถไฟฟ้า10สายแล้วเสร็จในปี63
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 23 มีนาคม 2558, 12:00
"พล.อ.ประยุทธ์" ยืนยันรถไฟฟ้า 10 สายจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี 2563 พร้อมหนุนเอกชนค้าขายเขตชายแดน แก้ปัญหากับดักรายได้ปานกลาง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยในการประชุมสามัญประจำปี2558 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. ปาฐกถาพิเศษ เรื่องการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันการค้าของประเทศไทยว่า ภายในปี 2563 จะเร่งดำเนินการสร้างรถไฟฟ้าให้ได้ครบทั้ง 10 สาย เพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน นอกจากนี้ยังจะเร่งสนับสนุนการค้าชายแดนให้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ
แต่ทั้งนี้การค้าชายแดน ไทยยังประสบกับปัญหาเรื่องราคา เนื่องจากสินค้าไทยมีราคาแพง ดังนั้นอาจจำเป็นต้องลดต้นทุนในด้านผลิตภัณฑ์เพื่อให้สินค้ามีราคาถูกลง เช่น การปรับปรุงแพคเกจทำเป็น กล่องยาสีฟันช่วยชาติ เป็นต้น
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจภาครัฐและเอกชนจะต้องมีการหารือร่วมกัน เพราะแต่ละฝ่ายไม่สามารถต่างคนต่างเดินได้ จะต้องมีการประสานความร่วมมือกัน ทำความเข้าใจกันเพื่อเชื่อมโยงการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ นายกฯ กล่าวว่า การจะให้ประเทศก้าวต่อไปได้นั้น จะต้องทำให้ประเทศไทยหลุดออกจากประเทศที่มีรายได้ปานกลาง จะต้องมีการเพิ่มรายได้ให้กับคนจน สร้างรายได้ให้กับประเทศ การจัดเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้น แต่สำหรับปัจจุบันยังพบอุปสรรค คือ เศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวนจึงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยให้ชะงักไปด้วย
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 44637
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 03/04/2015 9:36 pm Post subject:
"รฟม."เตรียมเสนอ ครม.เคาะรถไฟฟ้า 3 สาย
NOW 26 ข่าวค่ำ ตรงประเด็น วันที่ 03 เมษายน 2558
พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ประธานกรรมการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) เปิดเผยว่า รฟม.เตรียมศึกษาความเหมาะสมเพื่อขยายรถไฟฟ้าอีก 3 เส้นทาง ได้แก่ สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงบางแค-พุทธมณฑลสาย 4 และ ช่วงพุทธมณฑลสาย4-อ้อมน้อย รวมทั้งสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย-ลำสาลี
โครงการดังกล่าวกำลังออกแบบและทำรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) คาดว่างานออกแบบจะเสร็จเดือน ส.ค.2558 และ รฟม.จะเสนออนุมัติก่อสร้างเดือน ก.ย.2558 และคาดว่า ครม.อนุมัติเดือน ธ.ค.2558 และเริ่มการก่อสร้างปี 2560 และเปิดให้บริการได้ในช่วงปี 2564
ทั้งนี้ โครงการส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงินมีระยะทาง 3 กิโลเมตร 4 สถานี ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย-ลำสาลี ระยะทาง 21.6 กิโลเมตร 22 สถานี
สำหรับความคืบหน้ารถไฟฟ้าเส้นทางอื่น สายสีเขียวช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ การก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วกว่า 60% โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2563
สายสีม่วง บางใหญ่-บางซื่อ การก่อสร้างคืบหน้า 99% เปิดบริการวันที่ 12 ส.ค. 59
สายสีน้ำเงินช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงเตาปูน-ท่าพระ คืบหน้า 60% เปิดบริการปี 2561
สายสีส้ม ตลิ่งชัน - มีนบุรี แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ช่วงพระราม 9 - มีนบุรี และช่วงตลิ่งชัน-พระราม 9 อยู่ระหว่างเตรียมการเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) คาดว่าจะก่อสร้างปี 2559 และเปิดบริการปี 2563
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42750
Location: NECTEC
Posted: 07/04/2015 8:25 am Post subject:
รฟม.เตรียมชง ครม.อนุมัติรถไฟฟ้า 7 โครงการในปีนี้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
6 เมษายน 2558 07:58 น. (แก้ไขล่าสุด 6 เมษายน 2558 10:40 น.)
บอร์ด รฟม.เห็นชอบก่อสร้างรถไฟฟ้าสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) มูลค่า 1.03 แสนล้าน ชง ครม.ขออนุมัติ ส.ค.นี้ ยอดยุทธ เผยปี 58 จะเดินหน้าขออนุมัติก่อสร้างรวม 7 โครงการ ทยอยประมูล ชมพู, เหลือง, ส้ม, ม่วงใต้, น้ำตาล, น้ำเงินต่อขยายถึงอ้อมน้อย คาดก่อสร้างเสร็จหมดในปี 64 พร้อมปรับแผนเดินรถสีชมพูและสีเหลืองเป็นสัมปทาน PPP Net Cost
พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ด รฟม. เมื่อวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมามีมติเห็นชอบการก่อสร้างงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) กรอบวงเงินรวม 103,949 ล้านบาท โดยให้ รฟม.เสนอกระทรวงคมนาคม และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติภายในเดือน ส.ค.นี้เพื่อเริ่มก่อสร้างในปี 2560 และเปิดให้บริการในปี 2563 พร้อมทั้งได้อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.ฎ.กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนฯ และเพื่อกิจการขนส่งมวลชนฯ ซึ่งจะเสนอสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาตามขั้นตอนต่อไปอนุมัติแหล่งเงินโครงการ
ทั้งนี้ เห็นชอบให้ รฟม.กู้เงินตาม พ.ร.บ. รฟม. มาตรา 75(3) โดยให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสมสำหรับค่าก่อสร้างงานโยธา และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการ กรอบวงเงิน 87,147 ล้านบาท และให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณ เป็นค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินภายในกรอบวงเงิน 16,803 ล้านบาท พรัอมทั้งให้สำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณประจำปีให้เป็นรายได้แก่ รฟม.ให้เพียงพอต่อการดำเนินงานต่างๆ เช่น การชำระหนี้ เงินต้น และดอกเบี้ย และเงินชดเชยสาธารณะตามที่กระทรวงการคลังจะตกลงกับ รฟม.ต่อไป
สำหรับรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ระยะทาง 23.6 กม. รวม 17 สถานี เป็นโครงสร้างใต้ดิน 12.6 กม. จำนวน 10 สถานี โครงสร้างยกระดับ 11 กม. จำนวน 7 สถานี
นอกจากนี้ บอร์ดยังเห็นชอบการทบทวนรูปแบบการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วง แคราย-มีนบุรี กรอบวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธา 31,261 ล้านบาท ระยะทาง 34.5 กม. และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง กรอบวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธา 31,675 ล้านบาท ระยะทาง 30.4 กม. จากเดิมที่ รฟม.จะจัดซื้อระบบรถไฟฟ้าเอง (PSC) โดยอนุมัติดำเนินโครงการ โดยให้เอกชนร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP Net Cost (ภาครัฐลงทุนค่างานโยธาและที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชนลงทุนค่างานระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถไฟฟ้ารวมทั้งบริหารการเดินรถและซ่อมบำรุง) โดยให้ รฟม.ดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ต่อไป ซึ่งรูปแบบ PPP Net Cost นั้นจะมีความเสี่ยงด้านรายได้ค่าโดยสาร, ด้านการเงิน และด้านต้นทุนการจัดหาระบบรถไฟฟ้าและให้บริการต่ำ เนื่องจากเอกชนเป็นผู้รับความเสี่ยง คาดว่าจะเสนอเรื่องไปกระทรวงคมนาคมเพื่อเสนอ ครม.ได้ในเดือน เม.ย. คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2560 เปิดให้บริการในปี 2563
พล.อ.ยอดยุทธกล่าวว่า ในปี 2558 รฟม.จะเสนอ ครม.ขออนุมัติดำเนินการก่อสร้างรถไฟฟ้ารวม 7 โครงการ คือ สายสีชมพู, สีเหลืองส่วนสายสีส้ม (ตลิ่งชัน-มีนบุรี) ขณะนี้ได้เสนอกระทรวงคมนาคมพิจารณาอนุมัติในช่วงตะวันออก (พระราม 9-มีนบุรี) คาดว่า ครม.จะพิจารณาในเดือน มิ.ย. ส่วนช่วงตะวันตก (ตลิ่งชัน-พระราม 9) อยู่ระหว่างศึกษาออกแบบและจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน มิ.ย. 2558 และเสนอบอร์ด รฟม.ได้ในเดือน ก.ค. และเสนอ ครม.อนุมัติในเดือน ต.ค. 2558 เริ่มประกวดราคาก่อสร้างในปี 2558-2559 เปิดให้บริการในปี 2563
อย่างไรก็ตาม รฟม.ได้เตรียมพร้อมศึกษาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายอีก 3 เส้นทาง ได้แก่ สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงบางแค-พุทธมณฑลสาย 4 ระยะทาง 8 กม. โดยอยู่ระหว่างศึกษาออกแบบและจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน ส.ค. 2558 และเสนอ ครม.ขออนุมัติก่อสร้างโครงการ ในเดือน ธ.ค. 2558, สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงพุทธมณฑลสาย 4-อ้อมน้อย ระยะทาง 3 กม. มี 4 สถานี ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาความเหมาะสม, สายสีน้ำตาล ช่วงแคราย-ลำสาลี ระยะทาง 21.6 กม. จำนวน 22 สถานี อยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงคมนาคม
ส่วนการคัดเลือกเอกชนลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงเตาปูน-ท่าพระนั้น บอร์ดเห็นชอบตามมติคณะกรรมการมาตรา 13 พ.ร.บ.ว่าด้วยเอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ในการเจรจาตรงกับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL ผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล เพื่อให้การเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินฯ เป็นการเดินรถต่อเนื่องตลอดสาย โดยใช้รูปแบบการลงทุนแบบ PPP Net-Cost เป็นลำดับแรก เนื่องจากมีความคุ้มค่าสูงกว่า มีความเสี่ยงด้านรายได้ค่าโดยสาร, ด้านการเงิน และด้านต้นทุนการจัดหาระบบรถไฟฟ้าและให้บริการต่ำ หากไม่ประสบผลสำเร็จให้ใช้รูปแบบ PPP Gross Cost ต่อไป ซึ่งขั้นตอนจากนี้ รฟม.จะต้องเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และกระทรวงการคลังเห็นชอบก่อน แล้วจึงเสนอให้กระทรวงคมนาคม เพื่อเสนอ ครม.เห็นชอบต่อไป
อย่างไรก็ตาม บอร์ดเห็นชอบการควบบริษัทระหว่างบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL กับบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BECL ซึ่งจะมีการโอนสัมปทานสัญญาโครงการระบบรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ของ BMCL ด้วย
https://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=QKhXYFcWSR4
//--------------
บอร์ด รฟม.ไฟเขียวรถไฟฟ้า 3 สาย เตรียมชง ครม.อนุมัติ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
7 เมษายน 2558 13:11 น.
รถไฟฟ้าสีเหลือง-ชมพูมาแน่! เตรียมชง ครม. หลังให้เอกชนซื้อขบวนรถเอง
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์
7 เมษายน 2558 07:30
พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ดเมื่อวันที่ 3 เมษายน เห็นชอบให้ดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ส่วนต่อขยาย เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ระยะทาง 23.6 กิโลเมตร วงเงินก่อสร้าง 103,949 ล้านบาท โดยหลังจากนี้จะเสนอกระทรวงคมนาคมเพื่อเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ขออนุมัติแหล่งเงิน โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 16,803 ล้านบาท กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้สำหรับงานก่อสร้างและค่าจ้าง ที่ปรึกษา 87,147 ล้านบาท รวมทั้งออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดิน ส่วนการประกวดราคาต้องรอหลังจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเห็นชอบแผนการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)
นอกจากนี้ เห็นชอบให้ปรับรูปแบบการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ระยะทาง 34.50 กิโลเมตร วงเงินก่อสร้าง 31,261 ล้านบาท และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ระยะทาง 29.10 กิโลเมตร วงเงินก่อสร้าง 31,675 ล้านบาท มาเป็นรูปแบบพีพีพี เน็ต คอสต์ (PPP Net Cost) คือให้รัฐเป็นผู้ลงทุนค่าก่อสร้างและส่วนที่เกี่ยวข้อง ส่วนเอกชนลงทุนงานระบบรถไฟฟ้า จัดหาขบวนรถ และบริหารเดินรถและซ่อมบำรุง จากเดิม รฟม.ลงทุนจัดหาขบวนรถเอง
ทั้งนี้ ต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2556 (พ.ร.บ.ร่วมทุน) คือเสนอเรื่องต่อกระทรวงคมนาคมและคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติดำเนินโครงการ
นายพีระยุทธ สิงห์พัฒนากุล ผู้ว่าการ รฟม. กล่าวว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลือง ซึ่งเป็นระบบรางเดี่ยว หรือ โมโนเรล เคยเสนอเรื่องให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแล้ว แต่ถูกส่งกลับมาเพื่อขอให้ปรับรูปแบบการบริหารโครงการใหม่ โดยเฉพาะการเดินรถ ซึ่งตามข้อเสนอเดิม รฟม.มีแผนจะลงทุนจัดซื้อขบวนรถไฟฟ้าเอง แต่จ้างเอกชนเข้ามาเดินรถ แต่นโยบายของรัฐบาลชุดนี้สนับสนุนรูปแบบพีพีพี เน็ต คอสต์ คือให้เอกชนร่วมลงทุนจัดหาขบวนรถด้วย เพื่อประหยัดงบประมาณรัฐบาล จึงได้ให้ปรับรูปแบบการลงทุนในส่วนนี้ และต้องเสนอเรื่องไปยังกระทรวงคมนาคม เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป คาดว่าภายในเดือนเมษายนนี้ หรือไม่เกินต้นเดือนพฤษภาคม จะสรุปรายละเอียดทั้งหมดส่งให้กระทรวงคมนาคม เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ หากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ จะประกวดราคาและเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2560
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42750
Location: NECTEC
Posted: 08/04/2015 10:55 pm Post subject:
อาคม เปลี่ยนไป
เลือก ทางด่วน ทิ้ง โมโนเรล
ยังไม่สายที่รัฐบาลจะเปลี่ยนใจหันมาสร้างโมโนเรลแทนทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ บนถนนรัตนาธิเบศร์ ถนนงามวงศ์วาน และถนนประดิษฐ์มนูธรรม ดังเช่นรัฐบาลที่ผ่านมาได้รับข้อเสนอของผมที่เสนอให้เปลี่ยนจากทางด่วนเป็นโมโนเรล ในขณะนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ เช่น สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นต้น ต่างก็เห็นตามด้วย เพราะเล็งเห็นว่าการก่อสร้างโมโนเรล หรือรถไฟฟ้ารางเดี่ยวจะก่อให้เกิดประโยชน์ได้มากกว่า ผมขอยกตัวอย่างความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังนี้
1. นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการ สนข.ในขณะนั้น เปิดเผยว่า สนข.ได้ข้อสรุปในเรื่องดังกล่าวแล้ว มีความเห็นว่าการปรับเปลี่ยนรูปแบบจากการก่อสร้างจากทางด่วนเป็นการก่อสร้างรถไฟฟ้ามีความเหมาะสมกว่า (เดลินิวส์ออนไลน์ 9 เมษายน 2556)
2. พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ปลัดกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น กล่าวว่า ที่ประชุมยังมอบหมายให้ สนข.ไปปรับแผนแม่บทระบบขนส่งใหม่เพื่อนำระบบรถไฟฟ้าโมโนเรลเข้ามาแทนการก่อสร้างทางด่วนขั้น 3 สายเหนือ...ขณะที่ สศช. ก็เห็นด้วย แต่ต้องศึกษาก่อนว่าจะมีผลกระทบกับแผนแม่บทเดิมหรือไม่ (มติชนรายวัน 28 มิถุนายน 2556)
แต่เมื่อเร็วๆ นี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าจะเร่งอนุมัติโครงการก่อสร้างทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ช่วง N2 (สี่แยกเกษตรฯถึงถนนนวมินทร์) และ N3 (ถนนนวมินทร์ถึงถนนกรุงเทพฯ-ชลบุรีสายใหม่) ให้ได้ในปี 2558 และคาดว่าจะดำเนินก่อสร้างได้ในปี 2559 ... ส่วนช่วง N1 (บางใหญ่ถึงสี่แยกเกษตรฯ) อยู่ระหว่างการหารือของ สนข. กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อหาทางลดผลกระทบและการบดบังทัศนียภาพมหาวิทยาลัย โดยคาดว่าจะสามารถสรุปได้ในปีนี้ (กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 20 กุมภาพันธ์ 2558)
นายอาคมนั้น นอกจากจะดำรงตำแหน่ง รมช.คมนาคมแล้ว ยังดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สศช. อีกด้วย ที่สำคัญ ในขณะที่ สศช. ในสมัยนั้นก็เห็นด้วยกับการเปลี่ยนการก่อสร้างทางด่วนขั้นที่ 3 เป็นโมโนเรล และผู้ที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สศช. ในขณะนั้นก็คือนายอาคมนั่นเอง นั่นหมายความว่านายอาคมเปลี่ยนไป ด้วยเหตุนี้ ผมจึงผิดหวังต่อความเห็นของนายอาคมอย่างมาก
คนที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สศช. ซึ่งเป็นหน่วยงานวางแผนสำคัญของประเทศย่อมรู้ดีว่าในอดีตที่ผ่านมาเราส่งเสริมให้มีการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลมากกว่ารถโดยสารสาธารณะหรือระบบขนส่งมวลชน พูดได้ว่ามีการ ขนรถ มากกว่า ขนคน ดังจะเห็นได้จากมีการก่อสร้างทางด่วนจนถึงปัจจุบันเป็นระยะทางประมาณ 235 กิโลเมตร ในขณะที่มีการก่อสร้างรถไฟฟ้าเพียงแค่ประมาณ 85 กิโลเมตร เท่านั้น (ไม่รวมสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทาง 15.1 กิโลเมตร ซึ่งยังไม่มีรถไฟฟ้าให้บริการ) ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ รถติดวินาศสันตะโร เผาผลาญน้ำมันเชื้อเพลิงจำนวนมหาศาล และก่อให้เกิดมลภาวะอย่างหนัก
ผมอยากให้ท่าน รมช.คมนาคม และเลขาธิการ สศช. กลับไปอ่านรายงานการศึกษาการจราจรและขนส่งสำหรับกรุงเทพฯ และปริมณฑลฉบับสมบูรณ์ฉบับแรกของประเทศไทย ซึ่งทำการศึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมัน ในระหว่างปี พ.ศ. 2514-2519 การศึกษานี้ได้เสนอแนะให้เราให้ความสำคัญต่อระบบขนส่งมวลชนมากกว่าทางด่วน นั่นคือให้เราสร้างรถไฟฟ้าเป็นระยะทางยาวกว่าทางด่วน แต่เราทำกลับกัน ส่งผลให้มีทางด่วนเป็นระยะทางยาวกว่ารถไฟฟ้า
ทั้งหมดนี้ เพื่อขอให้ท่าน รมช.คมนาคม และเลขาธิการ สศช. พิจารณาทบทวนความเห็นของท่านใหม่ โดยขอให้เปลี่ยนไปสร้างโมโนเรลแทนทางด่วนขั้นที่ 3
https://www.facebook.com/Dr.Samart/photos/a.232032303608347.1073741828.232025966942314/607459899398917/?type=1
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 44637
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 10/04/2015 1:06 pm Post subject:
พัฒนาท่าเรือรับรถไฟฟ้า
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 10 เม.ย. 2558 05:45
นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการเชื่อมต่อระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกับขนส่งสาธารณะ ว่า กรมเจ้าท่าได้ลงนามปรับปรุงท่าเทียบเรือริมแม่น้ำเจ้าพระยารวม 17 ท่า ด้วยงบประมาณ 70 ล้านบาท เพื่อให้ได้ท่าเรือที่ทันสมัยและมีความปลอดภัยแก่ประชาชน โดยเบื้องต้นจะปรับปรุงก่อน 3 ท่า คือ ท่าเรือพรานนก ท่าเรือราชวงศ์ และท่าเรือสี่พระยา ให้แล้วเสร็จในเดือน ก.ย.2558 ส่วนที่เหลือจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย.2559
ท่าเทียบเรือในแม่น้ำเจ้าพระยามีทั้งหมด 35 ท่า แต่การดำเนินการในครั้งนี้จะเป็นการปรับปรุงท่าเทียบเรือที่มีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก และมีการชำรุดหรืออยู่ในสภาพทรุดโทรมก่อน โดยจะเน้นในด้านความปลอดภัยในการให้บริการแก่ประชาชนเป็นหลัก
นางสร้อยทิพย์กล่าวว่า ส่วนการพัฒนาท่าเทียบเรืออีก 19 ท่า ให้เป็นระบบปิดในลักษณะเดียวกับสถานีรถไฟฟ้า และรองรับการให้บริการระบบตั๋วร่วม หรือบัตรใบเดียวสามารถใช้ได้ทั้งเรือ รถไฟฟ้า รถเมล์ และทางด่วนนั้น ขณะนี้กรมเจ้าท่าอยู่ระหว่างหารือกับกรมธนารักษ์ในฐานะเจ้าของพื้นที่ท่าเทียบเรือ เพื่อเปิดทางให้บริษัทเอกชนเข้าไปพัฒนา โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือน เม.ย.-พ.ค.นี้ และเปิดให้บริการตั๋วร่วมได้ในเดือน ส.ค.ปีหน้า ทั้งนี้ ท่าเทียบเรือนำร่องที่มีการพัฒนาก่อนมี 3 ท่า คือ ท่าเรือสาทร ท่าเรือนนทบุรี และท่าเรือปิ่นเกล้า โดยให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนทั้งหมด โดยจะมีการจัดทำพื้นที่ด้านหลังท่าเทียบเรือ ซึ่งอยู่บนฝั่งให้เป็นที่นั่งรอเรือโดยสารแทนไปยืนรอที่ท่าเรือเพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ ยังจะปรับปรุงท่าเรือบางโพ เพื่อเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และท่าเรือพระนั่งเกล้า เชื่อมรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ตลอดจนเปิดให้บริการท่าเรือคลองแสนแสบ เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางกับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ สถานีรามคำแหงด้วย.
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42750
Location: NECTEC
Posted: 10/04/2015 2:56 pm Post subject:
คมนาคมเดินหน้าพัฒนาระบบเชื่อมต่อรถไฟฟ้า
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
9 เมษายน 2558เวลา 20:20:18 น.
9 เม.ย. นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการเชื่อมต่อระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกับขนส่งสาธารณะรูปแบบอื่น ว่า การพัฒนาพื้นที่การเชื่อมต่อระหว่างรถไฟชานเมืองสายสีแดงกับรถไฟฟ้าสายสีม่วง ขณะนี้การรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) ได้ส่งมอบพื้นที่ให้กับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) เพื่อออกแบบพื้นที่เป็นจุดเชื่อมต่อ โดยทาง รฟม. จะใช้งบประมาณของหน่วยงานในการพัฒนา พื้นที่ดังกล่าวจัดทำที่ขึ้นลงแบบ Inclined Platform สำหรับผู้พิการ จำนวน 2 ตัวติดตั้งที่บันไดทางเชื่อมต่อ และบันทางขึ้นลง
ทั้งนี้ด้านกรมเจ้าท่าได้ลงนามการพัฒนาท่าเรือ 17 แห่ง เพื่อเปิดให้บริการได้ในเดือน ก.ย. 2558 ทั้งหมด 3 แห่งได้แก่ ท่าเรือพรานนก ,ท่าเรือราชวงศ์ และท่าเรือสี่พระยา ส่วนอีก 14 แห่งเตรียมเปิดให้บริการได้ภายในเดือน ก.ย. 2559 สำหรับท่าเรือเอกชนอีก 19 เเห่ง อยู่ระหว่างเสนอกรมธนารักษ์เพื่อขอปรับปรุงท่าเรือทั้ง 19 แห่ง เพื่อบริการเป็นระบบปิด ด้วยการใช้ระบบตั๋วร่วม คาดว่าท่าเรือเอกชนทั้ง 19 แห่ง สามารถให้บริการได้พร้อมกับระบบตั๋วร่วมของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) ในช่วงเดือน ส.ค. 2559 กำหนดให้บริการนำร่อง 3 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือสาทร , ท่าเรือนนทบุรี และท่าเรือปิ่นเกล้า
อย่างไรก็ตามได้มอบหมายให้กรมเจ้าท่าจัดทำแผนพัฒนาพื้นหลังท่าเรือ เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะรูปแบบต่างๆได้ โดยเลือกเฉพาะท่าเรือสำคัญ ขณะที่การรถไฟฯแจ้งว่า ได้สร้างท่าเรือบริเวณคลองเเสนแสบ ใช้เป็นทางเชื่อมต่อไปยังแอร์พอร์ตลิ้งก์สถานีมักกะสันเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่เดินทางต่อไปยังแอร์พอร์ตลิ้งก์ คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือน พ.ค.นี้ และได้ขอความร่วมมือให้ทางกรุงเทพมหานครจัดทำป้ายสัญลักษณ์บอกทาง และสร้างทางจักรยานเชื่อมจากแอร์พอร์ตลิ้งก์ไปยังมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง โดยทางแอร์พอร์ตลิ้งก์หารือร่วมกับประชาคมในพื้นที่มหาวิทยาลัย ด้วยการใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจของกรมทางหลวงวงเงิน 50 ล้านบาทในการสร้างทางจักรยาน
Back to top