View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
nop2
2nd Class Pass (Air)
Joined: 06/03/2008 Posts: 985
Location: เพชรบุรี
|
Posted: 25/12/2008 7:10 pm Post subject: ออกแบบรถไฟมาให้ดู(รอบสอง) |
|
|
แบบ A
เครื่องยนต์ 19ลิตร 750แรงม้า
ความเร็วสูงสุด 200กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ขับเคลื่อนด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 2ตัวต่อ 1เพลา
จำนวนที่นั่ง 72 ,56, 52, 24 ต่อ 1คัน
ข้อดี
1. ความเร็วสูง
2. ออกตัวนิ่มนวล
3. ง่ายต่อการตรวจเช็ค
ข้อเสีย
1. น้ำหนักมาก
2. หากเครื่องดับ จะทำให้ทำขบวนต่อไม่ได้ หากเป็นคันนำ
3. อัตราเร่งอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง
4. ต้องพ่วงแบบ 4 ขึ้นไป
4. เสียงดัง อัตราสั่นสะเทือนมาก
แบบ B
เครื่องยนต์ 13ลิตร 450แรงม้า สองเครื่องยนต์ต่อคัน
ความเร็วสูงสุด 160กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ขับเคลื่อนด้วยระบบไฮโดรริคทรานมิสชั่น 4ระดับ ขับเคลื่อนเพลาที่สอง และสาม ของรถ
จำนวนที่นั่ง 80 56 52 24 ต่อ 1คัน
ข้อดี
1. น้ำหนักเบา
2. อัตราเร่งสูง
3. หากเครื่องดับไป 1เึครื่องยังสามารถทำขบวนต่อได้
4. ใช้รถแค่สองคันก็ทำขบวนได้
ข้อเสีย
1. ความเร็วสูงสุดอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง
2. ออกตัวกระชากเพราะระบบขับเคลื่อน หากขับไม่เก่งพอ
3. ตรวจเช็คนานเพราะมีเครื่องยนต์หลายตัว
4. เสียงดัง อัตราสั่นสะเทือนมาก
แบบ C
เครื่องยนต์ 28ลิตร 1050แรงม้า สองเครื่องยนต์ (เฉพาะรถกำลัง)
ความเร็วสูงสุด 160กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ขับเคลื่อนด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 1 ตัวต่อ 1เพลา
จำนวนที่นั่ง 80 56 52 40 36 32 24 ต่อ 1คัน
ข้อดี
1. สามารถปรับชุดรถได้หลากหลาย และสามารถนำรถนอนมาพ่วงได้
2. เงียบ ไม่มีแรงสั่นสะเทือน
3. ออกตัวนิ่มนวล
4. ตรวจรถได้รวดเร็วเพราะเครื่องยนต์มีน้อย
ข้อเสีย
1. น้ำหนักมาก
2. พ่วงน้อยๆ จะไม่คุ้มเอา และพ่วงได้จำกัดที่ 8ตัน
3. ต้องใช้หัวรถจักรหัวท้าย
แบบ D
เครื่องยนต์ 19ลิตร 750แรงม้า สองเครื่องยนต์ต่อคัน(เฉพาะรถกำลัง)
ความเร็วสูงสุด 160กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ขับเคลื่อนด้วยระบบไฮโดรริคทรานมิสชั่น 4ระดับ ขับเคลื่อนเพลาที่สอง และสาม ของรถ
จำนวนที่นั่ง 80 56 52 24 ต่อ 1คัน
ข้อดี
1. สามารถเลือกรถพ่วงเป็นรถนอนได้
2. ออกตัวได้เร็ว
3. พ่วงได้หลายชุด
4. หากเครื่องดับยังสามารถทำขบวนต่อไปเพราะมีสองเครื่อง
ข้อเสีย
1. ต้องพ่วงเป็นคู่ๆไป อย่างต่ำ 4ตู้
2. หากใช้รถกำลังไม่สมดุลอาจจะทำให้เปลื่องน้ำมันหรือวิ่งได้ช้า (เช่น รถกำลัง 2รถพ่วง 1 หรือ รถกำลัง 2 รถพ่วง 3)
ช่วยเลือกแบบที่ชอบ และวิจารณ์หน่อยนะครับ |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42793
Location: NECTEC
|
Posted: 26/12/2008 12:11 am Post subject: |
|
|
เลือกเอาความสะดวกสบาย เอาแบบ C เป็นเหมาะ เพราะสะดวกดีมาก พ่วงกัน 20-24 ตู้แบบรถด่วนราชธานีหละเด็ดเลย แม้จะเสียตรงหัว ท้ายต้องมีรถจักร แต่ไม่น่าเกิน 15 ตัน
แบบ C นี้ใช้กะ รถไฟความเร็วสูง เตเจเว ทำให้ลดปัยหากระแสไฟสะสม (Current collecting) ที่มักก่อปัญหาเสียงดังจากประกายไฟเนื่องจาก Current Collecting เพียงแต่รถเตเจเว มีแคร่โบกี้ ระหว่างตู้โดยสาร ทำให้ ใช้โบกี้ 3 แคร่ก็พอ แทนที่จะเป็น 4 แคร่ ต่อ 2 ตู้แบบชิงกังเซน ซึ่งใช้แบบ A
ถ้ามีรถน้อยตู้ (ไม่เกิน 6 ตู้) แบบ A เป็นเหมาะ เพราะ ไต่เขา ได้ดี ถ้ามีระบบ Dynamic Tilt ก็จะทำขบวนเข้าโค้งหัข้อศอกได้เร็ว
คุณ Nop ลองออกแบบเป็นเวอร์ชันรถไฟฟ้า ดูสิครับ ผมอยากจะเห็น |
|
Back to top |
|
|
nop2
2nd Class Pass (Air)
Joined: 06/03/2008 Posts: 985
Location: เพชรบุรี
|
Posted: 26/12/2008 8:56 am Post subject: |
|
|
คุณ wisarut ครับแบบ C สามารถเอารถไฟฟ้ามาเปลี่ยนใช้แทนรถดีเซลได้เลย ส่วนรถพ่วงสามารถเอาไปทำขบวนรถธรรมดาก็ได้ถ้าไม่ใช้ชุดรถกำลังของตัวเอง(ไม่ต่อจัมเปอร์และวงจรไฟ แต่ไฟฟ้าที่เลี้ยงตัวรถ นำมาจาก power car)และผมออกแบบรถพ่วง 2ชั้น ซึ่งทำให้สามารถบรรทุกได้ถึง 1152คนต่อ1ชุดรถ เลยที่เดียว(แต่คงต้องเปลี่ยนรางให้รับน้ำหนักได้เพิ่มขึ้น(ให้ดีขอรางมาตราฐานเพราะขอบเขตบรรทุกสูงกว่า) + ทำสะพาน + ขยายอุโมงให้สูงขึ้น)
ความเร็วสูงสุดของรถแบบ C คือ 140-145 สำหรับรถดีเซลไฟฟ้า และ 160-176สำหรับ รถไฟฟ้าหากใช้รถพ่วงสองชั้นทั้งชุดจะทำให้ราคาต่อที่นั่งถูกมากๆ (ถ้าเปรียบเทียบกับ ดีเซลรางแดวู 8คัน 72+(76x6+72) = 600 )เหมาะสำหรับใช้แทนรถด่วนดีเซลราง สายอีสานทุกขบวน และรถเร็ว กรุงเทพ-ศิลาอาสน์ อย่างยิ่ง
สำหรับประสิทธิภาพแรงม้าต่อคันจะอยู่ที่ 420-600แรงม้า สำหรับดีเซลไฟฟ้า
และ 600-800แรงม้า สำหรับรถไฟฟ้า
สำหรับแบบ B เหมาะสำหรับรถที่ผู้โดยสารน้อย ทางขึ้นเขา หรือต้องการความเร็วสูง เพราะอัตราเร่งสูงกว่าแบบ B เยอะแม้ว่าจะบรรทุกคนได้น้อยกว่าแบบ C แต่ถ้าเส้นทางที่คนไม่เยอะ แบบ B จะคุ้มกว่าคือ พ่วงแค่สองคันก็ได้แล้ว
ประสิทธิภาพของรถคือ 900แรงม้าต่อคัน และความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 160-176กิโลเมตรต่อชั่วโมง |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42793
Location: NECTEC
|
Posted: 26/12/2008 9:36 am Post subject: |
|
|
nop2 wrote: |
คุณ wisarut ครับแบบ C สามารถเอารถไฟฟ้ามาเปลี่ยนใช้แทนรถดีเซลได้เลย ส่วนรถพ่วงสามารถเอาไปทำขบวนรถธรรมดาก็ได้ถ้าไม่ใช้ชุดรถกำลังของตัวเอง(ไม่ต่อจัมเปอร์และวงจรไฟ แต่ไฟฟ้าที่เลี้ยงตัวรถ นำมาจาก power car)และผมออกแบบรถพ่วง 2ชั้น ซึ่งทำให้สามารถบรรทุกได้ถึง 1152คนต่อ1ชุดรถ เลยที่เดียว(แต่คงต้องเปลี่ยนรางให้รับน้ำหนักได้เพิ่มขึ้น(ให้ดีขอรางมาตราฐานเพราะขอบเขตบรรทุกสูงกว่า) + ทำสะพาน + ขยายอุโมงให้สูงขึ้น)
ความเร็วสูงสุดของรถแบบ C คือ 140-145 สำหรับรถดีเซลไฟฟ้า และ 160-176สำหรับ รถไฟฟ้าหากใช้รถพ่วงสองชั้นทั้งชุดจะทำให้ราคาต่อที่นั่งถูกมากๆ (ถ้าเปรียบเทียบกับ ดีเซลรางแดวู 8คัน 72+(76x6+72) = 600 )เหมาะสำหรับใช้แทนรถด่วนดีเซลราง สายอีสานทุกขบวน และรถเร็ว กรุงเทพ-ศิลาอาสน์ อย่างยิ่ง
สำหรับประสิทธิภาพแรงม้าต่อคันจะอยู่ที่ 420-600แรงม้า สำหรับดีเซลไฟฟ้า
และ 600-800แรงม้า สำหรับรถไฟฟ้า
สำหรับแบบ B เหมาะสำหรับรถที่ผู้โดยสารน้อย ทางขึ้นเขา หรือต้องการความเร็วสูง เพราะอัตราเร่งสูงกว่าแบบ B เยอะแม้ว่าจะบรรทุกคนได้น้อยกว่าแบบ C แต่ถ้าเส้นทางที่คนไม่เยอะ แบบ B จะคุ้มกว่าคือ พ่วงแค่สองคันก็ได้แล้ว
ประสิทธิภาพของรถคือ 900แรงม้าต่อคัน และความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 160-176กิโลเมตรต่อชั่วโมง |
ไหนๆ ก็เอาเวอร์ชัน DMU (ดีเซลราง) มาแล้ว อย่าลืมเอาเวอร์ชัน EMU (รถไฟฟ้าราง) แถมมาด้วย - สำหรับสายแดงที่ต้องเป็น BKK Kommuter คู่กะ KL Kommuter นะ |
|
Back to top |
|
|
nop2
2nd Class Pass (Air)
Joined: 06/03/2008 Posts: 985
Location: เพชรบุรี
|
Posted: 26/12/2008 10:36 am Post subject: |
|
|
จัดให้ครับเป็นรถชานเมือง(Commuter) ส่วน Metro ผมว่าน่าจะเพิ่มประตูกับเปลี่ยนอัตราทดให้สูงขึ้นเพิ่มอัตราเร่งดีกว่าผมว่า กรุงเทพน่าจะทำรถไฟฟ้าแบบ loop นะครับ
วิ่งวน แล้วเพิ่มเส้นทางไปแทบชานเมืองเยอะๆ คนจะไม่แออัดอยู่ในกรุงเทพ |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42793
Location: NECTEC
|
Posted: 26/12/2008 10:44 am Post subject: |
|
|
nop2 wrote: |
จัดให้ครับเป็นรถชานเมือง(Commuter) ส่วน Metro ผมว่าน่าจะเพิ่มประตูกับเปลี่ยนอัตราทดให้สูงขึ้นเพิ่มอัตราเร่งดีกว่าผมว่า กรุงเทพน่าจะทำรถไฟฟ้าแบบ loop นะครับ
วิ่งวน แล้วเพิ่มเส้นทางไปแทบชานเมืองเยอะๆ คนจะไม่แออัดอยู่ในกรุงเทพ |
ตอนนี้ รฟม. เขาจะทำแบบ ให้สายน้ำเงิน เป็น Blue Ring Line อยู่แล้วเพื่อทดแทน รฟท. ที่ทำไม่สำเร็จ |
|
Back to top |
|
|
NGarage
2nd Class Pass
Joined: 25/09/2007 Posts: 540
Location: สายใต้เก่า วัดรวกสุธาราม
|
Posted: 27/12/2008 5:57 pm Post subject: |
|
|
nop2 wrote: |
|
ผมได้ทดลองวาดรถดีเซลรางแบบC ดูนะครับ
ผลที่ได้ก็คงจะประมาณนี้ (อาจจะไม่สวยไปบ้าง)
ดูแล้วอาจจะโบราณหน่อยๆน่ะครับ เหมือนถอดแบบมาจากรถของJNRเลย _________________
แอร์พอร์ทลิ้งค์ |
|
Back to top |
|
|
nop2
2nd Class Pass (Air)
Joined: 06/03/2008 Posts: 985
Location: เพชรบุรี
|
Posted: 27/12/2008 6:51 pm Post subject: |
|
|
แบบ C ผมออกแบบตามแบบการทำขบวนรถของ QR Tilt train และ HST intercity class 125 ครับ โดยเอารถกำลังประกบหัวท้าย ทำหน้าที่ดึง+ดัน ทั้งนี้เพื่อแก้ของเสียของดีเซลรางคือ แรงสั่นสะเทือนกับเรื่องความร้อนจากเครื่องยนต์ ใครเคยนั่งดีเซลรางแดวูจะรู้ว่าพื้นรถมันสั่นเอามากๆ ไม่เหมือนกับ บชท.ป ที่ไม่สั่นเลย แต่การออกแบบแบบนี้ยังมีข้อจำกัดอยู่คือ 1. ห้ามรถหนักเกิน 60ตัน(เพราะมี 4เพลา) ซึงไม่รู้จะโดนให้ใช้ความเร็วเท่ารถจักรรึเปล่าไม่รู้่ และแรงม้าต้องได้ 1800-2100แรงม้าต่อคัน(QR Tilt train Diesel 1860HP ซึงน่าจะเป็น 980x2 ส่วน HST125 2200HP) ส่วนข้อดีอื่นๆเราสามารถเลือกรถพ่วงได้ตามใจชอบเลย ว่าจะเอารถนั่งรถนอนมาใส่ ซึงดีเซลรางนอนผมยังไม่เห็นใครทำนะ ถ้าทำได้จะเป็นเรื่องที่ดีมาก เราสามารถนำชุดรถแบบนี้แทนรึดีเซลรางกลางคืน 10/11 39/41/42/44 ที่นอนไม่ค่อยสบายเพราะแรงสั่นกับเรื่องเสียง แถมจะได้กลุ่มลูกค้ารถนอนพ่วงมาด้วย
ตัวอย่างการจัดชุดรถ
รถกำลัง+บชท.ป-60+บชท.ป-60+บชท.ป-60+บชอ.ป-24+บกข.ป+บนท.ป-40+บนท.ป-40+บนอ.ป-24+รถกำลัง
ส่วนรถพ่วงจะมี jumper 3ชุดคือ 1. จัมเปอร์สำหรับไฟฟ้าจากรถกำลัง 2. จัมเปอร์วงจรสำหรับควบคุมรถกำลัง(ดีเซล) 3.จัมเปอร์วงจรสำหรับควบคุมรถกำลัง(รถไฟไฟฟ้า กรณีเมือมีการติดระบบจ่ายไฟเหนือหัว) |
|
Back to top |
|
|
Cummins
2nd Class Pass
Joined: 28/03/2006 Posts: 719
Location: มหาวิทยาลัยราชมงคลอิสาน วิทยาเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นครราชสีมา
|
Posted: 28/12/2008 11:34 am Post subject: สงสัย |
|
|
ทำไมแบบ B จึงต้องใช้ไฮโดรลิคส์ทรานสมิทชั่นถึง 4 ระดับ หมายถึง 4 ความเร็วใช่หรือไม่ถ้าใช่ทำไมต้องใช้มากถึงขนาดนั้นข้องใจครับ _________________ อดีตโชเฟอร์ล้อเหล็ก |
|
Back to top |
|
|
nop2
2nd Class Pass (Air)
Joined: 06/03/2008 Posts: 985
Location: เพชรบุรี
|
Posted: 28/12/2008 1:56 pm Post subject: Re: สงสัย |
|
|
Cummins wrote: | ทำไมแบบ B จึงต้องใช้ไฮโดรลิคส์ทรานสมิทชั่นถึง 4 ระดับ หมายถึง 4 ความเร็วใช่หรือไม่ถ้าใช่ทำไมต้องใช้มากถึงขนาดนั้นข้องใจครับ |
ที่ใช้ 4ระดับ เพราะต้องการอัตราเร่งให้ได้ครับ เป้าหมายที่ต้องการคือความเร็วเพิ่มขึ้น 2.5กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 1วินาทีครับ อาจารย์คัมมินส์ ผมไม่รู้ว่าใส่ 4ระดับมันจะมากไปรึเปล่าครับ เพราะความเร็วสูงสุดคือ 160-176กิโลเมตรต่อชั่วโมง |
|
Back to top |
|
|
|