ข่าว Airport Link

Wisarut · Posted: 15/05/2007 12:30 pm Post subject:

ดูรูปการณ์แล้วคงออกมาในทำนอง KL Kommuter + KLIA Airport Link กระมัง

black_express · Posted: 15/05/2007 12:52 pm Post subject:

ระดับผู้ใหญ่ พูดออกมาโดยไม่ได้ศึกษาข้อมูลการบ้านอย่างละเอียดแบบนี้ ผมว่าสอบตกนา... Laughing

ไม่อยากทำ หรือไม่มีเงินทำ ก็บอกมาตรงๆ เถอะ 8)

Wisarut · Posted: 22/05/2007 9:49 am Post subject:

รฟท.เห็นควรขยายเวลาก่อสร้าง "แอร์พอร์ตเรลลิงก์" 463 วัน

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 21 พฤษภาคม 2550 19:35 น.

นายอารักษ์ ราษฎร์บริหาร ผู้บริหารการเงิน การรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ รฟท. เปิดเผยว่า การที่คณะกรรมการฯ ได้หารือถึงการขยายระยะเวลาการก่อสร้างโครงการระบบขนส่งทางรางรถไฟ เชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และสถานีรับ-ส่งผู้โดยสารในเมือง หรือ แอร์พอร์ตเรลลิงก์ ซึ่งผลการหารือนั้นได้ข้อสรุปว่า ควรขยายเวลาออกไป 463 วัน โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ เป็นต้นไป ส่วนหน่วยงานใดจะเป็นผู้รับผิดชอบในกรณีการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จนั้น คณะกรรมการชุดนี้จะหารือกันอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม โครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์นั้น ระยะเวลาการก่อสร้างจะสิ้นสุดในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ ซึ่งครบ 990 วัน ที่ระบุไว้ในสัญญา ซึ่งบริษัท บี - กริมม์ ได้ส่งหนังสือขอขยายระยะเวลาออกไปอีก 552 วัน ในขณะที่บริษัทที่ปรึกษาเห็นว่าควรขยายเวลา 398 วัน ดังนั้น รฟท.และบริษัท บี - กริมม์ จึงตั้งคณะกรรมการร่วมกันขึ้นมา 1 ชุด เพื่อหารือให้ได้ข้อสรุปเรื่องการขยายระยะเวลาร่วมกัน

Wisarut · Posted: 23/05/2007 2:30 pm Post subject:

รฟท.แจงทำรถไฟชานเมืองช่วงแรก เพื่อความคุ้มทุนการเดินรถ
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 23 พฤษภาคม 2550 14:07 น.

นายอารักษ์ ราษฎร์บริหาร หัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวถึงกรณีคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง บางซื่อ-ตลิ่งชัน และจะนำหัวรถจักรดีเซลมาวิ่งให้บริการในช่วงแรก เป็นลักษณะของรถไฟชานเมือง ว่า เนื่องจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงในช่วงแรก บางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทาง 15 กิโลเมตร วงเงิน 13,133 ล้านบาท และ ช่วง 2 บางซื่อ - รังสิต (26 กิโลเมตร) มูลค่า 52,220 ล้านบาท มีระยะห่างของสถานีมาก โดยจะมีสถานีรวมทั้งหมด 12 สถานี ไม่เหมือนโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน ที่จะมีสถานีทุก 2 กิโลเมตร หากมีการนำระบบรถไฟฟ้ามาให้บริการ จะมีต้นทุนสูง การนำหัวรถจักรดีเซลมาวิ่งจะคุ้มทุนมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ในอนาคตหากมีผู้ใช้บริการมากจนมีการเพิ่มความถี่ของสถานี รวมถึงมีการสร้างส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าสายสีแดง ไปเชื่อมโยงกับมักกะสัน-หัวหมาก และจากบางซื่อ-หัวลำโพง ซึ่งเป็นเส้นทางที่วิ่งผ่านเมืองชั้นใน รวมทั้งต้องมีการจอดสถานีหลายสถานีมากขึ้นเพื่อรับคน ถึงช่วงนั้นคงมีความจำเป็นต้องนำระบบรถไฟฟ้ามาใช้ ซึ่งจะทำให้การเดินรถมีความความคุ้มค่าต่อต้นทุนดำเนินงาน

ส่วนข้อสงสัยว่า เมื่อมีการนำระบบรถไฟฟ้ามาวิ่ง จะต้องมีการดัดแปลงรถหรือลงทุนเพิ่มหรือไม่ นายอารักษ์ ยืนยันว่า การก่อสร้างระบบงานโยธาในครั้งนี้จะมีการติดตั้งระบบไฟฟ้าและอาณัติสัญญาณไว้เลย ขณะที่รางซึ่งจะมีการก่อสร้าง ก็จะเป็นระบบรางมีเตอร์ เกจ หรือขนาดความห่าง 1 เมตร ซึ่งเป็นระบบทั่วไปที่รถไฟของไทยใช้อยู่ และเป็นระบบขนาดรางรถไฟฟ้าที่ใช้งานในประเทศญี่ปุ่นเช่นกัน (จริงๆ แล้วญี่ปุ่นใช้ราง 3 ฟุต 6 นิ้ว [1.067 เมตร] หรือ ที่เรียกกันว่า Cape gauge เพราะนิยมใช้กันมากที่อัฟริกาใต้แม้คนต้นคิดเเป็นประเทศแถบสแกนดิเนเวีย - กรณีแปลง ล้อจาก 1.067 เมตร เป็น 1 เมตรหนะ ง่ายเหมือนปอกกล้วเข้าปากน่อ)

ดังนั้น เมื่อในอนาคตจะเอารถไฟฟ้ามาวิ่งบนโครงสร้างพื้นฐาน เส้นทางรถไฟฟ้าสีแดงที่สร้างไว้ ก็สามารถทำได้ทันที โดยไม่ต้องดัดแปลงราง หรือลงทุนเพิ่มแต่อย่างใด

CENTENNIAL · Posted: 23/05/2007 3:03 pm Post subject:

แสดงว่า เขาฟันธงชัดเจนแล้วใช่ไหมครับว่า รถไฟฟ้าสีแดง ใช้ระบบรางมีเตอร์ เกจ
งั้นหมายความว่า รถไฟแอร์พอร์ตลิงค์ ก็ไม่สามารถไปแล่นในทางรถไฟฟ้าสีแดงได้อีก แม้จะเชื่อมต่อถึงกันในอนาคต เพราะรถไฟแอร์พอร์ตลิงค์ ใช้ระบบ สแตนดาร์ดเกจ

ก็ยังน่าคิดต่อไปว่า แล้ว ทางที่จะเชื่อมจาก มักกะสัน - จิตรลดา - บางซื่อ จะใช้ระบบไหน

แล้วผมก็ยังสงสัยอยู่นะครับว่า ตัวรถไฟฟ้าราง กับ รถดีเซลราง มองภาพโดยรวมแล้วแบบไหนมันประหยัดกว่ากัน

1. ราคารถดีเซลราง อาจถูกกว่า ราคารถไฟฟ้าราง
2. ราคาน้ำมันดีเซล กับ ราคาค่าไฟฟ้าที่ใช้ขับรถไฟฟ้า ไม่รู้ว่าอันไหนถูกกว่ากัน
3. ราคาค่าบำรุงรักษา รถดีเซลราง กับ รถไฟฟ้าราง ไม่รู้ว่าอันไหนถูกกว่ากัน
4. มลพิษ ไม่ต้องกล่าวถึง มองเห็นได้ชัดเจน
5. สมรรถนะ รถไฟฟ้า น่าจะเหนือกว่าชัดเจน

สรุปแล้ว ผมว่าการที่เขาจำเป็นที่จะต้องเลือกใช้รถดีเซลรางไปก่อนเพราะประหยัดเงิน ( ตามที่เขาว่ามานี่ ) เลยเป็นเหตุผลที่ระบบรถไฟฟ้าสีแดง ต้องเลือกใช้รางระบบมิเตอร์เกจ หรือเมตรเกจ
เพราะหากมาใช้ระบบสแตนดาร์ดเกจแล้ว คงกลัวว่า ถ้าเมื่อใดที่เปลี่ยนมาใช้ระบบไฟฟ้า รถดีเซลรางระบบสแตนดาร์ดเกจก็คงไม่มีทางให้วิ่งนอกจากทางรถไฟฟ้าใน กทม. ทั้งหลาย ที่เป็นระบบสแตนดาร์ดเกจ ซึ่งคงแปลกพิลึกที่รถไฟในเมืองหลวงยังใช้เครื่องยนต์ดีเซลควันโขมงโฉงเฉง ครั้นจะเอาไปวิ่งต่างจังหวัดแทนก็ทำไม่ได้ เพราะรางคนละระบบ จะจอดไว้เฉยๆ ก็กระไรอยู่

งง กับโครงการเหล่านี้เหมือนกันครับ แต่ก็ดีใจ ที่จะได้เห็นรถไฟดีเซลรางรุ่นใหม่ๆ

Wisarut · Posted: 25/05/2007 10:00 am Post subject:

ผู้แทนรัฐบาลญี่ปุ่นปลื้มการวางระบบรถไฟฟ้าของไทย

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 24 พฤษภาคม 2550 20:16 น.

ผู้แทนรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งเดินทางเข้ามาช่วยออกแบบและวางระบบโครงข่ายรถไฟฟ้าในไทย แสดงความพอใจผลความคืบหน้าการออกแบบ และเตรียมแผนก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าของไทย ชี้ การเร่งรัดโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงรังสิต-ตลิ่งชัน เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะเป็นการขนส่งผู้โดยสารภายในเมือง การขนถ่ายผู้โดยสารจากนอกเมืองเข้าสู่เมือง รวมถึงประโยชน์ในการขนส่งสินค้า พร้อมแนะควรปรับแบบลดขนาดสถานีบางซื่อให้เล็กลง เพราะทำให้วงเงินก่อสร้างสูงโดยไม่จำเป็น

นายเทตซฮิสะ โคบายาชิ ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) ซึ่งเป็นผู้แทนรัฐบาลญี่ปุ่น เข้าช่วยออกแบบ และวางระบบโครงข่ายรถไฟฟ้าในไทย กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าในการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าขณะนี้ เบื้องต้นรู้สึกพอใจการดำเนินการด้านต่างๆ ทั้งการออกแบบ และเตรียมแผนการก่อสร้าง แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะเกิดปัญหาสะดุดล่าช้าไปบ้าง แต่ในภาพรวมถือว่าโครงการเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง ส่วนการก่อสร้างจะเริ่มขึ้นเมื่อใด ขึ้นอยู่กับการที่รัฐบาลไทยจะสามารถตกลงเงื่อนไขเงินกู้กับประเทศญี่ปุ่นเป็นผลสำเร็จ

โดยในส่วนของโครงการรถไฟฟ้าในเส้นทางต่างๆ เห็นว่า การเร่งรัดโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงรังสิต-ตลิ่งชัน ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เนื่องจากเป็นเส้นทางสำคัญที่เปรียบเสมือน “กระดูกสันหลัง” ของเมือง เช่น กรุงเทพมหานคร ซึ่งการออกแบบก่อสร้างต้องคำนึงถึงการใช้ประโยชน์ 3 ด้าน คือ การขนส่งผู้โดยสารภายในเมือง การขนถ่ายผู้โดยสารจากนอกเมืองเข้าสู่เมือง รวมถึงประโยชน์ในการขนส่งสินค้า (Logistics) ซึ่งจะทำให้การลงทุนระบบขนส่งมวลชนเกิดความคุ้มค่า

นอกจากนี้ การออกแบบรายละเอียดเพื่อการก่อสร้างครั้งแรกของระบบรถไฟฟ้าจะมีความสำคัญมาก โดยจากประสบการณ์พัฒนาระบบรถไฟฟ้าในญี่ปุ่น ซึ่งมีมายาวนาน บางเส้นทางเมื่อการก่อสร้างและเปิดใช้งาน ก็พบมีปัญหาเกิดขึ้น ซึ่งในส่วนของ JICA ต้องการเข้ามาวางระบบให้สมบูรณ์ และใช้บทเรียนที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นมาแก้ไขไม่ให้ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นกับระบบรถไฟฟ้าของไทยในอนาคต

“รายละเอียดในการออกแบบก่อสร้างรถไฟฟ้า โดยเฉพาะสายสีแดง ภาพรวมการออกแบบเส้นทางค่อนข้างดี แม้จะมีปัญหาบางจุด เช่น การออกแบบที่สถานีบางซื่อ ซึ่งมีการออกแบบสถานีใหญ่เกินไป คือ 2 เท่าของหัวลำโพง ทำให้ต้องใช้เงินลงทุนมากโดยไม่จำเป็น แต่หากเล็กไปก็จะทำให้พื้นที่ใช้งานไม่พอ ซึ่งต้องดูใน 2 ส่วนนี้ให้เกิดความพอดี” ผู้เชี่ยวชาญจาก JICA กล่าว

สำหรับปัญหาด้านการเมือง ที่หลายคนมองว่าเป็นอุปสรรคของการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้านั้น นายโคบายาชิ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังถือว่ามีความมั่นคงและเสถียรภาพ และคนไทยก็เป็นคนที่มีอัธยาศัยดี มีความสุข ทำให้คนต่างชาติชอบเข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งหวังว่าจะเป็นเช่นนั้นต่อไป

........

Wisarut · Posted: 25/05/2007 10:03 am Post subject:

“รฟท.” ผวาเร่งชี้แจงรถไฟฟ้า หวั่นรถไฟดีเซล ชานเมืองพ่นพิษ

Thairath [24 พ.ค. 50 - 04:52]

นายอารักษ์ ราษฎร์บริหาร หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติในโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทาง 15 กิโลเมตร วงเงิน 13,133 ล้านบาท และจะมีการนำหัวรถจักรดีเซลมาวิ่งให้บริการในช่วงแรก เป็นลักษณะของรถไฟชานเมือง ซึ่งได้สร้างความสับสนและประชาชนทั่วไปเข้าใจว่าการอนุมัติการก่อสร้างดังกล่าวเป็นรถไฟฟ้านั้น ยอมรับว่าโครงการนี้จะไม่เหมือนรถไฟฟ้าสายอื่นๆ

“สาเหตุที่ต้องให้บริการเป็นรถไฟชานเมืองก่อน เนื่องจากโครงการมีระยะห่างของสถานีจำนวนมากโดยจะมีสถานีรวมทั้งหมด 12 สถานี ไม่เหมือนโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงินที่จะมีสถานีทุก 2 กิโลเมตร หากมีการนำระบบรถไฟฟ้ามาให้บริการจะมีต้นทุนสูง ดังนั้น ในช่วงแรกหากมีการนำหัวรถจักรดีเซลมาวิ่งให้ บริการ รฟท.จะคุ้มทุนมากกว่า”

อย่างไรก็ตาม ในอนาคตหากมีผู้ใช้บริการมากจนมีการเพิ่มความถี่ของสถานี รวมถึงมีการสร้างส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าสายสีแดงไปเชื่อมโยงกับสถานีรถไฟมักกะสัน-หัวหมาก และจากสถานีบางซื่อ-หัวลำโพง ซึ่งเป็นเส้นทางที่วิ่งผ่านเมืองชั้นในแล้ว และมีการจอดสถานีหลายสถานีมากขึ้นเพื่อรับส่งคนนั้น รฟท.ก็จะนำระบบรถไฟฟ้ามาใช้ในเส้นทางช่วงนั้น ส่วนรางจะก่อสร้างเป็นระบบรางมีเตอร์เกจ หรือ ขนาดความกว้างของรางที่ 1 เมตร หากในอนาคตจะเอารถไฟฟ้ามาวิ่งบนก็ทำได้ทันทีไม่ต้องดัดแปลงราง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้ รฟท.อ้างว่า สามารถจะก่อสร้างรางรถไฟฟ้าเพื่อให้บริการรถไฟชานเมืองก่อนปรับนำเอารถไฟฟ้าเข้ามาให้บริการนั้น แม้ในทางเทคนิคจะทำได้ แต่ต้องลงทุนสูง ทั้งระบบอาณัติสัญญาณและเซ็นเซอร์ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาในการต่อเชื่อมกับระบบรถไฟฟ้าอื่นๆ ที่เป็นรางแบบสแตนดาร์ดเกจ ขนาด 1.43 เมตร.

Wisarut · Posted: 06/06/2007 5:49 pm Post subject:

รฟท. หวั่นการเมืองกระทบแอร์พอร์ตลิ้งค์
Nation Channel - June 6, 2007 16:44 น.

นายนคร จันทศร รองผู้ว่าการ รฟท. กล่าวในเวทีการเสวนาโครงการแอร์พอร์ตลิ้งค์ ว่า ล่าสุดโครงการมีความคืบหน้าไปแล้วร้อยละ 63 ล่าช้ากว่าแผนเดิมร้อยละ 34 โดยการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานคืบหน้าเพียงร้อยละ 54 ขณะที่งานผลิตขบวนรถและระบบไฟฟ้าคืบหน้าแล้วร้อยละ 71 ซึ่งขณะนี้การผลิตขบวนรถแอร์พอร์ตเอ็กซ์เพรส ขบวนแรกเสร็จสิ้นแล้ว อยู่ระหว่างการทดสอบระบบ และคาดว่าขบวนรถดังกล่าวจะเดินทางมาถึงประเทศไทยในเดือนตุลาคมนี้

นายนคร กล่าวว่า เมื่อประเมินความคืบหน้าการก่อสร้างโดยรวมแล้ว พบว่าในช่วงครบกำหนดการก่อสร้างโครงการ 990 วัน วันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ โครงการจะมีความคืบหน้าเพียงร้อยละ 75 ดังนั้น รฟท. จึงเตรียมเสนอ 3 แนวทางในการเจรจากับกระทรวงการคลังในวันนี้ (6 มิ.ย.) เพื่อขอยืดอายุเงินกู้ออกไป ประกอบด้วยแนวทางแรกคือขอยืดอายุเงินกู้ออกไปจนกว่างานทั้งหมดจะแล้วเสร็จ 2. ขอยืดอายุเงินกู้ออกไปจนกว่างานจะแล้วเสร็จ แต่ รฟท. จะจ่ายดอกเบี้ยค้างชำระให้ก่อนบางส่วน เป็นเงิน 1,400 ล้านบาท และ 3. ขอทำรีไฟแนนซ์ เงินกู้ทั้งหมด พร้อมทั้งจะมีการหารือในคณะกรรมการชุดพิเศษเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับการขออนุมัติขยายระยะเวลาการก่อสร้างโครงการออกไปอีก 468 วันด้วย

รองผู้ว่าการ รฟท. กล่าวด้วยว่า รฟท. มีความกังวลเกี่ยวกับการตรวจสอบสัญญาการก่อสร้างโครงการของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเห็นว่าหากโครงการถูกแทรกแซงโดยฝ่ายการเมือง และได้รับผลจากกระทบจากปัญหาความขัดแย้งทำให้โครงการต้องหยุดชะงัก เช่นเดียวกับกรณีการยกเลิกสัญญากับบริษัท คิง เพาเวอร์ อาจส่งผลให้รัฐต้องสูญเงินค่าจ้างบริษัทต่างชาติผลิตขบวนรถไฟฟ้า และระบบให้โดยเปล่าประโยชน์เป็นเงินกว่า 10,000 ล้านบาท ซ้ำรอยโครงการเรือขุดเอลิคอตต์ เนื่องจากขบวนรถไฟฟ้า และระบบไฟฟ้าที่จะนำมาใช้ในโครงการนั้น ทาง รฟท. ได้ว่าจ้างบริษัทต่างชาติผลิตเกือบทั้งหมด และได้มีการจ่ายเงินค่างวดไปแล้วบางส่วน อีกทั้งการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ว่าจ้างกลุ่มบริษัท ซิโนไทย เป็นผู้ดำเนินการได้มีการจ่ายเงินค่างวดไปแล้วบางส่วนเช่นกัน รวมเม็ดเงินที่จ่ายไปแล้วกว่า 11,000 ล้านบาท หากโครงการต้องหยุดชะงัก เอกชนก็ไม่สามารถส่งมอบงานทั้งหมดได้ ซึ่งจะส่งผลให้โครงการแอร์พอร์ตลิงค์มูลค่ากว่า 36,000 ล้านบาท ต้องเสียหาย

Wisarut · Posted: 08/06/2007 10:41 am Post subject:

รฟท.โยนรัฐรับผิดชอบจ่ายค่าก่อสร้างแอร์พอร์ตลิ้งก์
จวกรัฐบาลสั่งให้ทำทั้งๆ ที่ รฟท.ไม่มีศักยภาพพอปํญหาตามมาเพียบ
Dailynews - July 8, 2007

นายศิวะ แสงมณี ประธานคณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย (บอร์ด รฟท.) เปิดเผยว่า หลังการติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง แอร์พอร์ตลิ้งก์ พบว่า ขณะนี้การก่อสร้างมีความคืบหน้าขึ้นในระดับที่น่าพอใจ โดยมีความก้าวหน้าเดือนละ 3% ทำให้แผนงานรวมขณะนี้ได้ 63% เป็นความคืบหน้างานโยธา 53.66% งานระบบไฟฟ้า 71.49% อุปสรรคในการก่อสร้างเหลือเพียงการรอรื้อย้ายอาคารพาณิชย์โอเอ บริเวณถนนราชปรารถเพียงแห่งเดียว ที่ผู้เช่าอาคารยังไม่ยอมย้ายออกทั้งที่หมดสัญญาเช่าไปแล้วกว่า 2 ปี จึงตัดสินใจดำเนินการตามกฎหมาย

ส่วนการต่อสัญญาก่อสร้างที่ปรึกษาเสนอให้ต่อสัญญา 463 วัน หลังจากวันที่ 5 พ.ย. นี้ ทั้งนี้อยู่ระหว่างตั้งคณะกรรมการพิจารณาหาข้อสรุป เรื่องนี้เห็นควรที่จะต่อสัญญากี่วันจึงจะเหมาะสม และควรใช้เงินจากแหล่งใดมาจ่ายค่าก่อสร้างค่าธรรมเนียมการเงินพร้อมดอกเบี้ยจำนวน 22,593 ล้านบาท รวมถึงค่าดอกเบี้ยหลังการต่อสัญญาไปอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยจะสรุปได้ก่อนวันที่ 7 ส.ค. นี้

นายศิวะ กล่าวต่อว่า เรื่องที่หนักใจตอนนี้คือ รฟท.จะใช้เงินจากที่ใดมาจ่ายค่าก่อสร้างโครงการ ซึ่งโครงการนี้ รฟท.ไม่ได้เสนอที่จะทำ แต่รัฐบาลสั่งให้ทำเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางเข้าสู่สนามบินสุวรรณภูมิทั้ง ๆ ที่ รฟท.ไม่มีศักยภาพเพียงพอ จึงได้เกิดปัญหาต่าง ๆ มากมาย รวมถึง รฟท.ยังไม่ได้คิดหาแหล่งเงินมาจ่ายค่าโครงการ เพราะโครงการนี้รัฐบาล ต้องรับผิดชอบให้งบประมาณมาดำเนินการ หรือถ้ารัฐบาลจะให้ รฟท.กู้เงินมาจ่ายรัฐบาลก็จะต้องรับผิดชอบค่าดอกเบี้ยและเงินต้นทั้งหมดด้วย ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า รฟท.จะไม่รับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้น รฟท.พร้อมรับผิดชอบแต่ไม่มีเงิน รัฐบาลจึงต้องช่วยจนกว่า รฟท.จะเดินรถแล้วมีรายได้ค่อยมาพิจารณากันใหม่.

Wisarut · Posted: 25/06/2007 2:26 pm Post subject:

'แอร์พอร์ตลิงค์'ส่อวุ่น คลังปัดต่ออายุก่อสร้าง

Thai Post 25 มิถุนายน 2550 กองบรรณาธิการ

ฉลองภพแหยง "แอร์พอร์ตลิงค์" ไม่กล้าต่ออายุงานก่อสร้างอีก 463 วัน ตามที่ขอหวั่นโครงการผิดแต่ต้น ชี้สัญญาหลายอย่างส่อผิดกฎหมายทั้งเลี่ยง พ.ร.บ.ร่วมทุน ทั้งโดน คตส. สอบทุจริต

จับโยนคมนาคม-ร.ฟ.ท.ส่งกฤษฎีกาตีความกฎหมายให้ชัดเจน

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. นายสรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยผู้บริหารการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้เข้ามาหารือกับนายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถึงแนวทางความเป็นไปได้ที่จะมีการขยายเวลาการก่อสร้าง โครงการระบบทางรถไฟเชื่อมโยงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (แอร์พอร์ตลิงค์) ที่ใกล้จะครบกำหนด 990 วันตามสัญญาออกไปอีก 463 วัน

โดยเนื่องจากทางกระทรวงการคลังไม่แน่ใจว่า การดำเนินการโครงการดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ในฐานะที่กระทรวงการคลังเกี่ยวข้องเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้แก่ ร.ฟ.ท.จึงจำเป็นต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ ดังนั้นนายฉลองภพ จึงได้เสนอให้ทางกระทรวงคมนาคม และ ร.ฟ.ท. ทำรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการทั้งหมดส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความให้ชัดเจนก่อน

แหล่งข่าวกล่าวว่า เท่าที่พิจารณาในเบื้องต้น โครงการดังกล่าวมีความไม่ถูกต้องในหลายๆ เรื่อง เช่น การหลีกเลี่ยงการดำเนินการตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 หรือ พ.ร.บ.ร่วมทุน กรณีเลตเตอร์ ออฟ คอมฟอร์ต รวมถึงกรณีทุจริตที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ตรวจสอบ เป็นต้น

ด้านนายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การหารือดังกล่าวยังไม่มีข้อสรุปในเรื่องการต่อสัญญาหรือไม่ โดยกระทรวงการคลังคงไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง เพียงแต่เกี่ยวข้องในฐานะผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้แก่ ร.ฟ.ท. ซึ่งเรื่องนี้ผู้รับผิดชอบหลัก คือ กระทรวงคมนาคม และ ร.ฟ.ท. ที่จะต้องเร่งดำเนินการส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ เนื่องจากใกล้จะครบกำหนดสัญญาเดิมแล้ว อย่างไรก็ดี จากการหารือร่วมกันก็จะพยายามหาทางเลือกว่า จะต้องเดินหน้าต่อไปอย่างไร

"เรื่องทางออกนั้น กระทรวงคมนาคม และ ร.ฟ.ท. จะต้องดูเรื่องนี้มันมีคดีทุจริตอยู่ แต่ก็ต้องเดินต่อไป โดยในส่วนที่ คตส. สอบว่า เรื่องนี้มีการทุจริตในโครงการ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า สัญญาที่ทำจะไม่ถูกต้องตามไปด้วยในทางกฎหมาย ซึ่งก็ต้องส่งให้กฤษฎีกาตีความ และต้องหาทางออกไปพร้อมๆ กันด้วย ทั้งสองหน่วยงานต้องรับผิดชอบว่า ถ้าครบสัญญาแล้วยังไม่เสร็จจะมีช่องทางเดินต่ออย่างไร ทั้งนี้ ในเรื่องทางออกก็เป็นเรื่องที่ ร.ฟ.ท. ผู้รับเหมา และสถาบันการเงิน ต้องหาแนวทางตกลงกันให้ได้" นายฉลองภพกล่าว.