View previous topic :: View next topic
Author
Message
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 44883
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 23/02/2022 8:10 pm Post subject:
"ศักดิ์สยาม" ติดตามผลประเมินคุณภาพสถานีรถไฟสายสีแดง ยกระดับมาตรฐานเพื่อปชช.
เผยแพร่: 23 ก.พ. 2565 19:43
ปรับปรุง: 23 ก.พ. 2565 19:43
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
รมว.คมนาคม ประชุมติดตามผลการประเมินคุณภาพสถานีรถไฟสายสีแดง เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการขนส่งทางราง เก็บข้อมูลปรับปรุงให้ประชาชนเดินทางได้รวดเร็ว ปลอดภัย ประหยัด ลดค่าครองชีพ
วันนี้ (23ก.พ.) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (รวค.) เป็นประธานประชุมคณะกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ ครั้งที่ 2/2565 เพื่อติดตามผลการประเมินคุณภาพสถานีรถไฟสายสีแดง เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการขนส่งทางราง และการดำเนินการในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ผ่านการประชุมทางไกล (Video Conference) เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 โดยมีนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นางจันทิรา บุรุษพัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนสำนักงบประมาณ หัวหน้าหน่วยงานและผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้เริ่มเก็บค่าโดยสารรถไฟชานเมืองสายสีแดง
ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 โดยปัจจุบันรถไฟสายสีแดงมียอดผู้โดยสารไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้โดยเฉพาะเส้นทางสายตะวันตก (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) จึงมีการวิเคราะห์ข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้องและทำการปรับรูปแบบตารางการเดินรถไฟให้มีความเหมาะสมกับปริมาณผู้ใช้บริการและเพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง โดยมีรอบความถี่ที่ 20 นาทีต่อขบวนในช่วงเวลาเร่งด่วน (7.00 9.30 น. และ 17.00 19.30 น.) และรอบความถี่ที่ 30 นาทีต่อขบวนนอกช่วงเวลาเร่งด่วน โดยให้เก็บข้อมูลการให้บริการในทุกมิติ นำมาวิเคราะห์ และบริหารการเดินรถ เพื่อให้รถไฟฟ้าสายสีแดงเป็นทางเลือกให้กับประชาชนใช้ในการเดินทางมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ปลอดภัย ประหยัด ลดค่าครองชีพ
ที่ประชุมได้รับทราบผลการประเมินคุณภาพสถานีรถไฟชานเมืองสายสีแดง และสถานีกลางบางซื่อ เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการขนส่งทางรางตลอดจนระบบการเดินทางเชื่อมต่อและประเมินระดับคุณภาพ โดยผลการประเมินความพร้อมการให้บริการของรถไฟชานเมืองสายสีแดง และความพร้อมสถานีกลางบางซื่อยังอยู่ในเกณฑ์ระดับพอใช้ ซึ่งได้สั่งการให้ รฟท. ดำเนินการปรับปรุง 5 ด้าน ได้แก่ ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกและสภาพกายภาพ ด้านระบบการให้ข้อมูลและป้ายสัญลักษณ์ ด้านระบบเชื่อมต่อการเดินทาง ด้านความปลอดภัย และด้านการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน เช่น แก้ไขปัญหามอเตอร์ไซค์รับจ้างเถื่อน และการบุกรุกพื้นที่ เป็นต้น เพื่อยกระดับการให้บริการให้มีประสิทธิภาพต่อไป
ที่ประชุมได้รับทราบความพร้อมเข้าสู่ระบบตั๋วร่วมของโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง โดย พร้อมจะเปิดให้บริการชำระค่าโดยสารด้วยบัตร EMV Contactless ได้ภายในเดือนมีนาคม 2565 และรวมถึงกำหนดการจัดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 50 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 20 ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม 6 เมษายน 2565 ณ สถานีกลางบางซื่อ
ทั้งนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้ รฟท. เน้นการสร้างความรับรู้ของประชาชน ประชาสัมพันธ์ให้มีความถี่ที่มากขึ้น เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการประชาสัมพันธ์ในเรื่องเส้นทางที่สามารถเชื่อมต่อกับรถไฟชานเมืองสายสีแดงเพื่อไปสู่จุดหมายปลายทาง เช่น การเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน รถไฟฟ้าสายสีม่วง รวมถึงการพัฒนาระบบ Feeder และการดำเนินการ เชิงรุก เช่น การขยายพื้นที่การจำหน่ายบัตรโดยสารในจุดต่าง ๆ เช่น สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัย สถานที่ทำงาน ศูนย์การค้า เป็นต้น รวมถึงการพัฒนาระบบตั๋วร่วมให้สามารถเชื่อมต่อกับการบริการระบบขนส่งสาธารณะประเภทอื่น ๆ ให้เป็นรูปธรรมต่อไป และมีข้อสั่งการเพิ่มเติมในการลดผลกระทบจากการเดินรถไฟทางไกลเมื่อเปิดการให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง โดยให้สำรวจเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ให้รอบด้านเพื่อเสนอทางเลือกการดำเนินการในกรณีต่าง ๆ ให้ประชาชนรับทราบและพิจารณาถึงผลดีและผลเสีย เพื่อที่จะได้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจอย่างรอบด้านก่อนจะดำเนินการต่อไป
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42792
Location: NECTEC
Posted: 24/02/2022 6:21 pm Post subject:
ผู้โดยสาร "สีแดง" ยังต่ำเป้า! "ศักดิ์สยาม" สั่งเร่งปรับปรุงบริการ 5 ด้าน-ดีเดย์ มี.ค. 65 ใช้บัตร EMV
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: วันพุธ ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 18:34 น.
ปรับปรุง: วันพุธ ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 18:34 น.
ศักดิ์สยาม สั่งวิเคราะห์ รถไฟสีแดง หลังยอดผู้โดยสารไม่เพิ่ม และต้องปรับลดความถี่สายตลิ่งชัน เร่ง รฟท.ปรับปรุง 5 ด้าน แก้วิน จยย.เถื่อน และบุกรุกพื้นที่ ดีเดย์ มี.ค.ใช้บัตร EMVได้ พร้อมเปิดพื้นที่ "สถานีกลางบางซื่อ" จัดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ 26 มี.ค.-6 เม.ย. 65
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ ครั้งที่ 2/2565 เพื่อติดตามผลการประเมินคุณภาพสถานีรถไฟสายสีแดง เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการขนส่งทางราง และการดำเนินการในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ผ่านการประชุมทางไกล (Video Conference) ว่า รถไฟชานเมืองสายสีแดงได้เริ่มเก็บค่าโดยสารตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 โดยปัจจุบันรถไฟสายสีแดงมียอดผู้โดยสารไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะเส้นทางสายตะวันตก (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) จึงมีการวิเคราะห์ข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้องและทำการปรับรูปแบบตารางการเดินรถไฟให้มีความเหมาะสมกับปริมาณผู้ใช้บริการและเพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง
โดยมีรอบความถี่ที่ 20 นาทีต่อขบวนในช่วงเวลาเร่งด่วน (07.00-09.30 น. และ 17.00-19.30 น.) และรอบความถี่ที่ 30 นาทีต่อขบวนนอกช่วงเวลาเร่งด่วน ให้เก็บข้อมูลการให้บริการในทุกมิติ นำมาวิเคราะห์ และบริหารการเดินรถ เพื่อให้รถไฟฟ้าสายสีแดงเป็นทางเลือกให้ประชาชนใช้ในการเดินทางมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ปลอดภัย ประหยัด ลดค่าครองชีพ
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบผลการประเมินคุณภาพสถานีรถไฟชานเมืองสายสีแดง และสถานีกลางบางซื่อ เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการขนส่งทางรางตลอดจนระบบการเดินทางเชื่อมต่อและประเมินระดับคุณภาพ โดยผลการประเมินความพร้อมการให้บริการของรถไฟชานเมืองสายสีแดง และความพร้อมสถานีกลางบางซื่อยังอยู่ในเกณฑ์ระดับพอใช้ ซึ่งได้สั่งการให้ รฟท.ดำเนินการปรับปรุง 5 ด้าน ได้แก่ ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกและสภาพกายภาพ ด้านระบบการให้ข้อมูลและป้ายสัญลักษณ์ ด้านระบบเชื่อมต่อการเดินทาง ด้านความปลอดภัย และด้านการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน เช่น แก้ไขปัญหามอเตอร์ไซค์รับจ้างเถื่อน และการบุกรุกพื้นที่ เป็นต้น เพื่อยกระดับการให้บริการให้มีประสิทธิภาพต่อไป
ที่ประชุมได้รับทราบความพร้อมเข้าสู่ระบบตั๋วร่วมของโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง โดยพร้อมจะเปิดให้บริการชำระค่าโดยสารด้วยบัตร EMV Contactless ได้ภายในเดือนมีนาคม 2565 และรวมถึงกำหนดการจัดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 50 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 20 ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม-6 เมษายน 2565 ณ สถานีกลางบางซื่อ
นายศักดิ์สยามกล่าวว่า ได้สั่งการให้ รฟท.เน้นการสร้างความรับรู้ของประชาชน โดยประชาสัมพันธ์ให้มีความถี่ที่มากขึ้น เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการประชาสัมพันธ์ในเรื่องเส้นทางที่สามารถเชื่อมต่อกับรถไฟชานเมืองสายสีแดงเพื่อไปสู่จุดหมายปลายทาง เช่น การเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน รถไฟฟ้าสายสีม่วง รวมถึงการพัฒนาระบบ Feeder และการดำเนินการเชิงรุก เช่น การขยายพื้นที่การจำหน่ายบัตรโดยสารในจุดต่างๆ เช่น สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัย สถานที่ทำงาน ศูนย์การค้า เป็นต้น รวมถึงการพัฒนาระบบตั๋วร่วมให้สามารถเชื่อมต่อกับการบริการระบบขนส่งสาธารณะประเภทอื่นๆ ให้เป็นรูปธรรมต่อไป และมีข้อสั่งการเพิ่มเติมในการลดผลกระทบจากการเดินรถไฟทางไกลเมื่อเปิดการให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง โดยให้สำรวจเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ให้รอบด้านเพื่อเสนอทางเลือกการดำเนินการในกรณีต่างๆ ให้ประชาชนรับทราบและพิจารณาถึงผลดีและผลเสีย เพื่อที่จะได้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจอย่างรอบด้านก่อนจะดำเนินการต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า จำนวนผู้โดยสารรถไฟชานเมืองสายสีแดงปัจจุบันเฉลี่ยประมาณ 9,000-10,000 คน/ วัน
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42792
Location: NECTEC
Posted: 25/02/2022 7:48 pm Post subject:
สำหรับพี่น้องชาวกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ใช้ถนนโลคัลโรดใต้รถไฟฟ้าสายสีแดงช่วงเขตดอนเมืองคงจะพบกับปัญหาพื้นผิวถนนขรุขระเป็นคลื่นทำให้ไม่สะดวกในการสัญจรไปมานะครับ
เป็นอีกเรื่องที่คนร้องกันเข้ามาเยอะครับ ทางสำนักงานเขตดอนเมืองจึงได้ประสานการรถไฟแห่งประเทศไทย (เจ้าของพื้นที่) ให้ทำการปรับพื้นผิวจราจรโดยการลอกพื้นเก่าออกแล้วปูด้วยแอสฟัลต์ใหม่เป็นระยะทางร่วมๆ 6 กม.ครับ วันนี้ผมลงตรวจร่วมกับสำนักงานเขตดอนเมืองคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณกลางเดือน เม.ย. นะครับ
ช่วงนี้อาจจะไม่สะดวกบ้างเพราะอาจจะต้องปิดถนนบางช่วงบางตอนเพื่อซ่อมแซมนะครับ ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ครับ ยังไงจะรีบเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุดครับ 🚗🚗🚗 #กรุงเทพฯ จะดีได้ถ้าเราช่วยกันครับ
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=492808585546332&id=100044515832859
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 44883
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 27/02/2022 11:37 am Post subject:
Skywalk เชื่อมรถไฟฟ้าสายสีแดง สายสีชมพู ไอทีสแควร์-รพ.จุฬาภรณ์ (26/2/65)
Feb 27, 2022
vnp story
https://www.youtube.com/watch?v=1r2-NNO3O-s
โครงการก่อสร้างทางเดินเชื่อม รถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีหลักสี่-โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ระยะทาง 750 เมตร ความกว้างทางเดินประมาณ 4 เมตร พร้อมลิฟต์สำหรับขนย้ายผู้พิการ 2 จุด วงเงินรวม 238 ล้านบาท สำหรับรูปแบบของสกายวอล์ก มีความยาว 750 เมตร มีความกว้าง 4 เมตร จุดเริ่มต้นอยู่ที่สถานีหลักสี่หน้าห้างไอทีสแควร์
เชื่อมต่อสกายวอล์คที่ทำไว้เดิม ซึ่งจะเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีแดง สีชมพู ผ่านราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และไปสิ้นสุดที่หน้าโรงพยาบาลจุฬาภรณ์
มีจุดขึ้น-ลง 2 จุด บริเวณประตู 3 หน้าโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ประกอบด้วย บันไดหลัก 1 ชุด บันไดเลื่อนขึ้น-ลงอย่างละ 1 ชุด ทางลาดและลิฟต์สำหรับผู้พิการ 1 ชุด สามารถบรรทุกรถกอล์ฟขึ้นลงได้
จุดขึ้น-ลงที่ 2 อยู่ประตู 5 หน้าราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ประกอบด้วย บันไดหลัก 1 ชุด บันไดเลื่อนขึ้น-ลงอย่างละ 1 ชุด ทางลาดและลิฟต์สำหรับผู้พิการ 1 ชุด มีจุดเปลี่ยนระดับ บริเวณหน้าทางขึ้น-ลงสถานีหลักสี่และหัวมุมถนนกำแพงเพชร 6
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 44883
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 44883
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 02/03/2022 7:13 pm Post subject:
4 มีนา ชี้ชะตา คดีโฮปเวลล์ ศาลฯนัดอ่านคำสั่งศาลปกครองสูงสุด
หน้าแรก การเมือง
ฐานเศรษฐกิจดิจิทัล | 02 มี.ค. 2565 เวลา 15:44 น.
ใกล้จบแล้ว คดีโฮปเวลล์ ศาลปกครองกลาง เผยแพร่กำหนดนัดพิจารณาคดีวันที่ 4 มีนาคม 2565 เวลา 13.30 น. นัดอ่านคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ระหว่าง กระทรวงคมนาคม กับ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด
วันที่ 2 มี.ค.2565 ศาลปกครองเผยแพร่ กำหนดนัดพิจารณาคดี คดีโฮปเวลล์ ว่า วันที่ 4 มีนาคม 2565 เวลา 13.30 น. ศาลปกครองกลางนัดอ่านคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ 107/2552 คดีหมายเลขแดงที่ 366/2557 ระหว่างกระทรวงคมนาคม ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน (ผู้ร้อง) กับ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด (ผู้คัดค้าน) (คำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ไว้พิจารณา) ณ ห้องพิจารณาคดี 2 ชั้น 3 อาคารศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร
กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย (ผู้ร้อง) ฟ้องว่า คณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดตามข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 70/2551 ได้ยกคำเสนอข้อพิพาทของผู้ร้อง โดยอ้างว่า ผู้ร้องบอกเลิกสัญญากับบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ตามสัญญาสัมปทานระบบการขนส่งทางรถไฟและถนนยกระดับในกรุงเทพมหานคร และการใช้ประโยชน์จากที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยโดยไม่ชอบ
ผู้ร้องทั้งสองเห็นว่า คณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาดไปโดยไม่มีอำนาจ และคำชี้ขาดดังกล่าวเป็นการชี้ขาดเกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการฯ ซึ่งสำนักระงับข้อพิพาท สำนักงานศาลยุติธรรม ได้ส่งสำเนาคำชี้ขาดให้ผู้ร้องทราบตามหนังสือลงวันที่ 28 ตุลาคม 2551 ผู้ร้องทั้งสองจึงนำคดีมาฟ้องต่อศาล ขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการดังกล่าว)
คดีนี้ ศาลปกครองสูงสุดพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง และให้บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
ผู้ร้องทั้งสองจึงมีหนังสือลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2562 ขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ ซึ่งศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ไว้พิจารณา ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นซึ่งศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น
ต่อมา ผู้ร้องทั้งสองมีหนังสือลงวันที่ 14 มิถุนายน 2564 และลงวันที่ 16 มิถุนายน 2564 ขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่และของดการบังคับคดี ศาลปกครองชั้นต้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 5/2564 กรณีมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2545
ที่ผู้ร้องทั้งสองอ้างว่า เป็นการออกระเบียบโดยไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญซึ่งกรณีดังกล่าว เป็นกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขั้นตอนการออกระเบียบของศาลปกครองดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญเท่านั้น
และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏอีกว่า ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดในคราวประชุมดังกล่าว มีมติในประเด็นที่จะต้องพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องระยะเวลาการยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองโดยตรงในคดี อันเป็นเงื่อนไขในการฟ้องคดี การวินิจฉัยว่าคณะอนุญาโตตุลาการรับข้อพิพาทไว้พิจารณาและมีคำวินิจฉัยชี้ขาดนั้น ขัดต่อ บทกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ อันเป็นการวินิจฉัยในส่วนของเนื้อหาคดี
ดังนั้น วัตถุแห่งคดีและข้อกฎหมายอันเป็นการก่อตั้งข้อพิพาทแห่งคดีนี้ จึงแตกต่างไปจากคดีตามมติที่ประชุมใหญ่พิพาท อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า การพิจารณาพิพากษาของตุลาการในศาลปกครองสูงสุดตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินกล่าวอ้างในคดีระหว่างผู้ร้องทั้งสองกับบริษัท โฮปเวลล์ฯ เป็นการกระทำทางตุลาการ
อันแสดงให้เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวไม่มีผลผูกพันศาลในคดีนี้ อีกทั้งถือได้ว่าคดีนี้ศาลได้มีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้ว ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ดังนั้น จึงไม่กระทบต่อคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว ตามมาตรา 212 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นเพียงการชี้ขาดสถานะทางกฎหมายของมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 เท่านั้น จึงไม่ได้มีผลเปลี่ยนแปลงข้อกฎหมายที่ศาลปกครองสูงสุดใช้ในการวินิจฉัยตีความในคดีดังกล่าว จึงไม่มีผลผูกพันคดีที่ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่คดีนี้
สำหรับประเด็นที่ผู้ร้องทั้งสองมีคำขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่โดยอ้างว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 5/2564 เป็นพยานหลักฐานใหม่ อันมีผลทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วในคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ และยังเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่ทำให้เห็นว่าศาลปกครองสูงสุดรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด อันเป็นเหตุที่ศาลปกครองต้องพิจารณาคดีนี้ใหม่นั้น
ศาลฯ เห็นว่า เมื่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีขึ้นภายหลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาแล้ว จึงถือไม่ได้ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานใหม่แต่อย่างใด การที่ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยเป็นการใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยคดีของศาล และเป็นการตีความกฎหมายของศาล มิใช่เป็นการนำข้อเท็จจริงที่ได้จากคำอุทธรณ์ของผู้คัดค้านมาปรับกับข้อกฎหมายแต่อย่างใด จึงถือไม่ได้ว่าศาลปกครองฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดหรือมีพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริง ที่ฟังเป็นที่ยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ
ส่วนกรณีที่ผู้ร้องทั้งสองอ้างว่า การที่ศาลปกครองสูงสุดหยิบยกเอามติที่ประชุมใหญ่ซึ่งไม่มีสถานะเป็นกฎหมายมาวินิจฉัยอ้างอิงพิจารณาทำคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด เห็นว่า มิได้มีข้อบกพร่องในการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล ข้ออ้างของผู้ร้องทั้งสองจึงเป็นการโต้แย้งการใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยคดีของศาล และการตีความกฎหมายของศาล ไม่ถือเป็นข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนการพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดี ไม่มีความยุติธรรมแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงในคดีนี้ยังปรากฏอีกว่า ทั้งคณะอนุญาโตตุลาการและ ศาลปกครองชั้นต้นต่างก็มิได้วินิจฉัยในประเด็นเรื่องวันรู้เหตุแห่งการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ โดยนำแนวทางตามมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 ที่พิพาทมาใช้จึงแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งอีกประการหนึ่งว่า คณะอนุญาโตตุลาการและศาลไม่ผูกพันและไม่จำต้องนำมติที่ประชุมใหญ่ที่พิพาทดังกล่าวมาใช้โดยเคร่งครัดในฐานะระเบียบหรือข้อกฎหมายดังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
แต่เป็นเพียงการใช้ดุลพินิจในการตีความกฎหมาย ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น คำขอพิจารณาคดีใหม่ของผู้ร้องทั้งสองจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ได้ตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (1) (3) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 จึงมีคำสั่งไม่รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ไว้พิจารณา
ผู้ร้องทั้งสองได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นต่อศาลปกครองสูงสุด สรุปความได้ว่า ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ถูกต้องสำหรับการนับระยะเวลาหรืออายุความการฟ้องคดีต่อศาลปกครองสำหรับประเด็นการยื่นข้อเรียกร้องของผู้คัดค้านต่ออนุญาโตตุลาการในคดีนี้ ตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
คือ ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ผู้คัดค้านรู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฟ้องคดี คือ ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2541 ซึ่งเป็นวันที่หนังสือบอกเลิกสัญญาของผู้ร้องทั้งสองไปถึงผู้คัดค้าน มิใช่นับตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 2544 อันเป็นวันที่ศาลปกครองเปิดทำการ ซึ่งผู้ร้องทั้งสองเห็นว่า ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่กล่าวอ้างเข้าหลักเกณฑ์และองค์ประกอบการพิจารณาคดีใหม่ตามมาตรา 75 (4) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42792
Location: NECTEC
Posted: 02/03/2022 9:49 pm Post subject:
คืบหน้าซ่อมถนนเลียบทางรถไฟ 4 จุด รฟท.เร่งแผนเสร็จใน มี.ค.นี้
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: วันพุธ ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2565 เวลา 14:31 น.
ปรับปรุง: วันพุธ ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2565 เวลา 14:31 น.
คืบหน้าล่าสุด รฟท.ซ่อมถนนเลียบทางรถไฟ-กำแพงเพชร 6 ถึงไหนแล้ว
หน้าข่าวทั่วไป
ฐานเศรษฐกิจดิจิทัล |
เผยแพร่: วันพุธ ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2565 เวลา 13:42 น.
รฟท.สั่งเอกชนเร่งซ่อมถนนเลียบทางรถไฟ (กำแพงเพชร 6) คาดแล้วเสร็จมี.ค.นี้ แนะประชาชนผู้จำเป็นผ่านเส้นทางดังกล่าวในช่วงเวลานี้ พร้อมอัพเดตแผนก่อสร้างเป็นอย่างไรบ้าง
รฟท.แจ้งคืบหน้าซ่อมถนนเลียบทางรถไฟ (กำแพงเพชร 6) ปิดเบี่ยงจราจร เร่งแก้ลูกคลื่น 4 จุดเสร็จใน มี.ค.นี้ เตือนผู้ใช้เส้นทางเพิ่มความระมัดระวัง ปฏิบัติตามป้ายแนะนำ
นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการซ่อมแซมพื้นผิวถนนเลียบทางรถไฟ (กำแพงเพชร 6) ใต้แนวรถไฟฟ้าสายสีแดง ซึ่งมีปัญหาพื้นผิวเป็นลูกคลื่นว่า ขณะนี้ทาง บมจ.อิตาเลียนไทยฯ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้างโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง อยู่ระหว่างการเข้าซ่อมแซม โดยมีการปิดเส้นทางเพื่อดำเนินการ ซึ่งผู้รับผิดชอบโครงการได้จัดทำป้ายเตือน ป้ายปิดเพื่อเบี่ยงทางจราจร และติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างให้เพียงพอ โดยเฉพาะบริเวณจุดกลับรถบริเวณ AOT กับถนนเชิดวุฒากาศ ที่อาจกระทบต่อการสัญจรของประชาชน เนื่องจากมีปริมาณการจราจรค่อนข้างมากในช่วงเช้าและเย็น
ทั้งนี้ การรถไฟฯ ขอให้ประชาชนที่มีความจำเป็นต้องสัญจรในเส้นทางดังกล่าว ใช้เส้นทางด้วยความระมัดระวังและสังเกตป้ายเตือนตามที่ได้ติดตั้งไว้เพื่อความปลอดภัยในการใช้ถนน โดยทางการรถไฟฯ ต้องขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ พร้อมทั้งยืนยันว่าจะพยายามดูแลการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่
โดยจะทยอยเข้าพื้นที่ดำเนินการซ่อมแซมต่อเนื่อง 4 จุด และคาดว่าจะแล้วเสร็จตามกำหนดในเดือนมีนาคมนี้ ได้แก่
จุดที่ 1 จากบริเวณช่วงสะพานรถยนต์ กม.22+642 จนถึงแยกนายใช้กม.23+800 ตลอด 4 ช่องจราจร ความยาว 1.158 กิโลเมตร โดยจะมีการปิดการจราจรบริเวณดังกล่าวทั้งหมด พร้อมกับทำการรื้อผิวแอสฟัลต์ (Asphalt) ออก และทำการปรับชั้นทางตลอดแนวให้เรียบเสมอกันก่อนจะคืนผิวแอสฟัลติก (Asphaltic) เพื่อให้สภาพถนนเรียบและสัญจรได้อย่างปลอดภัย
จุดที่ 2 จากบริเวณช่วง สน.ดอนเมืองจนถึงแยกนายใช้ จะซ่อมแซมผิวจราจรตามช่องจราจรเฉพาะจุดที่ปูดนูน เป็นลูกคลื่นให้เรียบ และเปิดผิวจราจร Asphalt และช่องจราจรที่ติดกับเกาะกลางแบริเออร์ ที่มีผิวจราจรทรุดตัว ฝั่ง สน.ดอนเมือง 1 ช่องจราจร เพื่อทำการปรับชั้นทางตลอดแนวเกาะกลาง
จุดที่ 3 บริเวณใต้สถานีดอนเมืองตลอดแนว จะซ่อมแซมผิวจราจรตามช่องจราจรเฉพาะจุดที่ปูดนูนและเป็นลูกคลื่นให้เรียบตลอดแนว และเปิดผิวจราจร Asphalt ด้านที่ติดกับเกาะกลางฝั่ง สน.ดอนเมือง 1 ช่องจราจร เพื่อทำการปรับชั้นทางตลอดแนวเกาะกลาง
จุดที่ 4 จากสถานีการเคหะถึงหน้าสำนักงานเขตดอนเมือง จะซ่อมแซมผิวจราจรตามช่องจราจรตลอดแนวทั้ง 4 ช่องจราจรขาเข้า-ขาออก โดยจะซ่อมแซมเฉพาะจุดที่ปูดนูนให้เรียบ
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 44883
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 03/03/2022 6:45 am Post subject:
RED Line SRTET
3 มี.ค. 2565 06:46 น.
https://www.facebook.com/REDLineSRTET/posts/128077459766405
ขณะนี้รถไฟฟ้าเกิดเหตุขัดข้องที่ สถานีการเคหะ ฝั่งมุ่งหน้าสถานีรังสิต ทำการขนย้ายผู้โดยสารออกจากขบวนรถไฟเป็นที่เรียบร้อย และนำขบวนถัดไปให้บริการ
ส่งผลให้เกิดความล่าช้าประมาณ 10 นาที
ขออภัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42792
Location: NECTEC
Posted: 04/03/2022 1:49 am Post subject:
ลุ้น!4มี.ค.นัดอ่านคำสั่งศาลปกครองสูงสุด รับ-ไม่รับรื้อคดีโฮปเวลล์
วันพุธ ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2565 เวลา 16.32 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 4 มีนาคม 2565 เวลา 13.30 น. ศาลปกครองกลางนัดอ่านคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ในคดีที่กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ผู้ร้อง ยื่นฟ้องบริษัท โฮปเวลล์ (ประ เทศไทย) จำกัด ผู้ถูกร้อง กรณีกระทรวงคมนาคมอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองชั้นต้นที่ไม่รับคำฟ้องขอรื้อฟื้นคดีใหม่ไว้พิจารณา
คดีนี้ศาลปกครองสูงสุดพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้ยกคำร้องของกระทรวงคมนาคม และ รฟท. และให้บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ผู้ร้องจึงมีหนังสือลงวันที่ 18ก.ค.62 ขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ ซึ่งศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ไว้พิจารณา กระทรวงคมนาคม และ รฟท. จึงยื่นคำร้องอุทธรณ์ซึ่งศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น
ADVERTISEMENT
ต่อมากระทรวงคมนาคมและ รฟท. มีหนังสือลงวันที่ 14 มิ.ย.64 และลงวันที่ 16 มิ.ย.64 ขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่และของดการบังคับคดี ศาลปกครองชั้นต้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2564 กรณีมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545เมื่อวันที่ 27 พ.ย.45 ที่กระทรวงคมนาคมและรฟท.อ้างว่า เป็นการออกระเบียบโดยไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งกรณีดังกล่าว เป็นกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขั้นตอนการออกระเบียบของศาลปกครองดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญเท่านั้น
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏอีกว่า ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดในคราวประชุมดังกล่าวมีมติในประเด็นที่จะต้องพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องระยะเวลาการยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองโดยตรงในคดี อันเป็นเงื่อนไขในการฟ้องคดี การวินิจฉัยว่าคณะอนุญาโตตุลาการรับข้อพิพาทไว้พิจารณาและมีคำวินิจฉัยชี้ขาดนั้น ขัดต่อบทกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ อันเป็นการวินิจฉัยในส่วนของเนื้อหาคดี
ดังนั้น วัตถุแห่งคดีและข้อกฎหมายอันเป็นการก่อตั้งข้อพิพาทแห่งคดีนี้ จึงแตกต่างไปจากคดีตามมติที่ประชุมใหญ่พิพาท อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า การพิจารณาพิพากษาของตุลาการในศาลปกครองสูงสุดตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินกล่าวอ้างในคดีระหว่างกระทรวงคมนาคมและรฟท.กับบริษัท โฮปเวลล์ฯ เป็นการกระทำทางตุลาการ อันแสดงให้เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวไม่มีผลผูกพันศาลในคดีนี้ รวมทั้งถือได้ว่าคดีนี้ศาลได้มีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้ว ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย จึงไม่กระทบต่อคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว ตามมาตรา 212 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นเพียงการชี้ขาดสถานะทางกฎหมายของมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 เท่านั้น จึงไม่ได้มีผลเปลี่ยนแปลงข้อกฎหมายที่ศาลปกครองสูงสุดใช้ในการวินิจฉัยตีความในคดีดังกล่าว จึงไม่มีผลผูกพันคดีที่กระทรวงคมนาคมและรฟท.ยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่คดีนี้
สำหรับประเด็นที่กระทรวงคมนาคมและรฟท.มีคำขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่โดยอ้างว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 4/2564 เป็นพยานหลักฐานใหม่ อันมีผลทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วในคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ และยังเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่ทำให้เห็นว่าศาลปกครองสูงสุดรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด อันเป็นเหตุที่ศาลปกครองต้องพิจารณาคดีนี้ใหม่นั้น ศาลฯเห็นว่า เมื่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีขึ้นภายหลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาแล้ว จึงถือไม่ได้ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานใหม่แต่อย่างใด การที่ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยเป็นการใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยคดีของศาล และเป็นการตีความกฎหมายของศาล มิใช่เป็นการนำข้อเท็จจริงที่ได้จากคำอุทธรณ์ของผู้คัดค้านมาปรับกับข้อกฎหมายแต่อย่างใด จึงถือไม่ได้ว่าศาลปกครองฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดหรือมีพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นที่ยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ
ส่วนกรณีที่กระทรวงคมนาคมและรฟท.อ้างว่า การที่ศาลปกครองสูงสุดหยิบยกเอามติที่ประชุมใหญ่ซึ่งไม่มีสถานะเป็นกฎหมายมาวินิจฉัยอ้างอิงพิจารณาทำคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด เห็นว่า มิได้มีข้อบกพร่องในการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล ข้ออ้างของผู้ร้องทั้งสองจึงเป็นการโต้แย้งการใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยคดีของศาล และการตีความกฎหมายของศาล ไม่ถือเป็นข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนการพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรมแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงในคดีนี้ยังปรากฏอีกว่า ทั้งคณะอนุญาโตตุลาการแลศาลปกครองชั้นต้นต่างก็มิได้วินิจฉัยในประเด็นเรื่องวันรู้เหตุแห่งการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ โดยนำแนวทางตามมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 ที่พิพาทมาใช้จึงแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งอีกว่า คณะอนุญาโตตุลาการและศาลไม่ผูกพันและไม่จำต้องนำมติที่ประชุมใหญ่ที่พิพาทดังกล่าวมาใช้โดยเคร่งครัดในฐานะระเบียบหรือข้อกฎหมายดังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่เป็นเพียงการใช้ดุลพินิจในการตีความกฎหมาย ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น คำขอพิจารณาคดีใหม่ของผู้ร้องทั้งสองจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ได้ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (1) (3) และ (4) แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 จึงมีคำสั่งไม่รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ไว้พิจารณา
กระทรวงคมนาคมและรฟท.ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นต่อศาลปกครองสูงสุด สรุปความได้ว่า ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ถูกต้องสำหรับการนับระยะเวลาหรืออายุความการฟ้องคดีต่อศาลปกครองสำหรับประเด็นการยื่นข้อเรียกร้องของผู้คัดค้านต่ออนุญาโตตุลาการในคดีนี้ ตามมาตรา 51 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ และที่แก้ไขเพิ่มเติม คือ ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ผู้คัดค้านรู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฟ้องคดี คือ ตั้งแต่วันที่ 30ม.ค. 2541ซึ่งเป็นวันที่หนังสือบอกเลิกสัญญาของผู้ร้องทั้งสองไปถึงผู้คัดค้าน มิใช่นับตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 2544 อันเป็นวันที่ศาลปกครองเปิดทำการ ซึ่งกระทรวงคมนาคมและรฟท.เห็นว่า ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่กล่าวอ้างเข้าหลักเกณฑ์และองค์ประกอบการพิจารณาคดีใหม่ตามมาตรา 75 (4) พ.ร.บ.บัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ
Back to top
Mongwin
1st Class Pass (Air) Joined: 24/09/2007 Posts: 44883
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
Posted: 04/03/2022 2:56 pm Post subject:
ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งรับคำขอพิจารณาใหม่"คดีโฮปเวลล์"
บ้านเมือง วันศุกร์ ที่ 04 มีนาคม พ.ศ. 2565, 14.45 น.
วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม 2565 ศาลปกครองสูงสุด โดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งในคดีคำร้องที่ 394 - 396/2564 ระหว่าง กระทรวงคมนาคม ผู้ร้องที่ 1 และ การรถไฟแห่งประเทศไทย ผู้ร้องที่ 2 กับ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้คัดค้าน อันเป็นคดีที่กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย อุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองกลางที่ไม่รับคำขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ไว้พิจารณา โดยอ้างว่าการนับระยะเวลาหรืออายุความในการยื่นข้อเรียกร้องของบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ต่ออนุญาโตตุลาการในคดีนี้ ตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด รู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฟ้องคดี คือ ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2541 ซึ่งเป็นวันที่หนังสือบอกเลิกสัญญาของกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย ไปถึงบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด มิใช่นับตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 2544 อันเป็นวันที่ศาลปกครองเปิดทำการ
ซึ่งกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย เห็นว่า ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่กล่าวอ้างเข้าหลักเกณฑ์และองค์ประกอบการพิจารณาคดีใหม่ตามมาตรา 75 (1) (4) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
กรณีในคดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดง ที่ อ. 221- 223/2562ให้ยกคำร้องของกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการและบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าตอบแทนตามสัญญาสัมปทาน จำนวน 2,850,000,000บาท คืนหนังสือค้ำประกัน และค่าธรรมเนียมการออกหนังสือค้ำประกัน จำนวน 38,749,800 บาท กับเงินที่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ใช้ในการก่อสร้างโครงการ จำนวน 9,000,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย แก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด
ศาลปกครองสูงสุดโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า แม้ว่าที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดเคยมีมติในคราวประชุมใหญ่ ครั้งที่ 18/2545 เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2545ว่า "ในกรณีที่เหตุแห่งการฟ้องคดีเกิดขึ้นก่อนศาลปกครองเปิดทำการ แต่ผู้ฟ้องคดีมิได้นำคดีไปฟ้องต่อศาลยุติธรรมซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาในขณะนั้น ต่อมา หลังจากที่ศาลปกครองเปิดทำการ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2544 แล้ว ผู้ฟ้องคดีจึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง โดยขณะที่ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครอง อายุความฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมยังไม่ครบกำหนด แต่การนำคดีดังกล่าวมาฟ้องต่อศาลปกครองนั้น จะเป็นการฟ้องคดีปกครองเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการฟ้องคดี ตามมาตรา 49 มาตรา 50 หรือมาตรา51แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 แล้วแต่กรณี ในกรณีเช่นนี้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ให้เริ่มนับระยะเวลาการฟ้องคดีตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 2544 ซึ่งเป็นวันที่ศาลปกครองเปิดทำการเป็นต้นไป" ก็ตาม
ต่อมาศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาคดีนี้ โดยวินิจฉัยว่า บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด รู้ว่ามีข้อพิพาทเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2541อันเป็นวันที่ได้รับหนังสือแจ้งบอกเลิกสัญญาจากกระทรวงคมนาคม เมื่อสัญญาระหว่างคู่พิพาทไม่ได้กำหนดเรื่องระยะเวลาการเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการไว้โดยเฉพาะ การเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ จึงกระทำได้ภายในอายุความการฟ้องคดีต่อศาล เมื่อข้อพิพาทได้เกิดขึ้นก่อนที่ศาลปกครองเปิดทำการ การนับอายุความการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง จึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ศาลปกครองเปิดทำการ คือ วันที่ 9 มีนาคม 2544 เมื่อบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2547 อันเป็นการยื่นภายในกำหนดระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสัญญา ข้อพิพาทนี้จึงเป็นข้อพิพาทที่เสนอต่อคณะอนุญาโตตุลาการภายในระยะเวลาโดยชอบแล้ว
จากคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว เห็นได้ว่า เป็นกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาโดยอาศัยข้อกฎหมายกรณีการเริ่มนับระยะเวลาการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ โดยไม่ได้เริ่มนับระยะเวลาการฟ้องคดีตั้งแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 แต่เริ่มนับระยะเวลาตั้งแต่วันที่ศาลปกครองเปิดทำการเมื่อวันที่ 9มีนาคม 2544 แม้ว่าคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวจะไม่ได้ระบุถึงมติที่ประชุมใหญ่ฯ ดังกล่าวโดยตรง แต่ก็เริ่มนับระยะเวลาการฟ้องคดีตั้งแต่วันที่ศาลปกครองเปิดทำการตามที่กำหนดในมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2545
ต่อมาผู้ตรวจการแผ่นดินได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัยว่า มติของที่ประชุมใหญ่ฯ ดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า มติที่ประชุมใหญ่ฯ เกี่ยวกับการเริ่มนับระยะเวลาการฟ้องคดีปกครองดังกล่าว ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และโดยที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญย่อมเป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ตามมาตรา 211 วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ดังนั้น การที่ศาลปกครองสูงสุดในคดีดังกล่าวมีคำพิพากษา โดยเริ่มนับระยะเวลาการฟ้องคดีตามแนวทางที่กำหนดโดยมติที่ประชุมใหญ่ฯ แล้วต่อมาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามติที่ประชุมใหญ่ฯ ดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงเป็นกรณีที่ข้อกฎหมายที่ศาลปกครองสูงสุดใช้ในการทำคำพิพากษาหรือคำสั่งเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ ซึ่งทำให้ผลแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งขัดกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย จึงชอบที่จะขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ได้ ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (4) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
แม้ว่ามาตรา 212 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จะบัญญัติไว้ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง แต่ไม่กระทบต่อคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว เว้นแต่ในคดีอาญา ให้ถือว่าผู้ซึ่งเคยถูกศาลพิพากษาว่ากระทำความผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยมาตรา 5 นั้น เป็นผู้ไม่เคยกระทำความผิดดังกล่าว หรือถ้าผู้นั้นยังรับโทษอยู่ก็ให้ปล่อยตัวไป แต่ทั้งนี้ไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะเรียกร้องค่าชดเชยหรือค่าเสียหายใดๆ ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญข้างต้น คงมีความหมายแต่เพียงว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยว่า บทบัญญัติใดของกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ไม่มีผลทำให้คำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดแล้วซึ่งทำขึ้นโดยอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายนั้น เป็นคำพิพากษาที่ใช้บังคับมิได้หรือต้องสิ้นผลบังคับผูกพันลงเท่านั้น
ดังนั้น คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2564 ลงวันที่ 17มีนาคม 2564 ที่วินิจฉัยว่า มติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2545 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงไม่มีผลทำให้คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ อ. 410 - 412/2557 หมายเลขแดงที่ อ. 221 - 223/2562ซึ่งทำขึ้นโดยอาศัยมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว ใช้บังคับมิได้หรือต้องสิ้นผลบังคับผูกพันลง บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญข้างต้น มิได้มีผลเป็นการห้ามมิให้คู่กรณีหรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองคดีหมายเลขดำที่ อ. 410 - 412/2557หมายเลขแดงที่ อ.221- 223/2562 นำผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2564 ลงวันที่ 17 มีนาคม 2564 มาใช้เป็นข้ออ้างในการขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีนี้ใหม่ ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (4) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542แต่อย่างใด
ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้รับคำขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ของกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย ไว้พิจารณา
Back to top