View previous topic :: View next topic
Author
Message
rodfaithai
1st Class Pass (Air) Joined: 10/07/2006 Posts: 1346
Back to top
rodfaithai
1st Class Pass (Air) Joined: 10/07/2006 Posts: 1346
Back to top
rodfaithai
1st Class Pass (Air) Joined: 10/07/2006 Posts: 1346
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42784
Location: NECTEC
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42784
Location: NECTEC
Posted: 11/06/2012 12:41 am Post subject:
Los Angeles ระบบขนส่งมวลชนฉลาด เมืองกระชับ
โดย Jerome Rene Hassler
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา( พฤษภาคม 2555)
ผู้เขียนได้ไปเยือนหลายเมืองแถบชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ เมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้นึกเปรียบเทียบปัญหาการพัฒนาเมืองของไทยที่มีผลกระทบจากการเติบโตของเมืองอย่างไร้การควบคุมและไร้ทิศทาง หรือ การเติบโตของเมืองแบบกระจัดกระจายไร้ทิศทาง (urban sprawl) ซึ่งหมายถึงการแผ่ขยายตัวจากใจกลางเมืองออกไปสู่เขตรอบนอกของสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ
การเติบโตของเมืองไร้ทิศทาง ทำให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์อย่างสิ้นเปลือง รวมถึงการใช้ที่ดินและโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภคต่างๆ ทั้งด้านการผลิต การขนส่ง น้ำ ไฟฟ้า และอื่นๆ การเติบโตอย่างไร้ทิศทาง ทำให้ลดความหลากหลายของการใช้ชีวิตในเมืองลง ย่านต่างๆ ที่อยู่ใจกลางเมืองลดความสำคัญลงไป และถูกตัดขาดออกจากชานเมืองที่อยู่โดยรอบ
ผลการศึกษาหลายครั้งพบว่า รัฐบาลสามารถลดงบประมาณสำหรับโครงสร้างพื้นฐานลง เมื่อมีความหนาแน่นของประชากร สูง โดยความหนาแน่นของประชากรที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 10% จะช่วยลดการใช้จ่ายของเทศบาลนครลง 1.46% ต่อหัวประชากร
เช่นเดียวกับเมืองทั่วไปในสหรัฐฯ มีการคำนวณว่า การเพิ่มขึ้นของประชากร 1,000 คนต่อ 1 ตารางไมล์ (1 ไมล์ = 1.6 กม.) จะช่วยลดค่าใช้จ่ายของเทศบาลเมืองลงได้ 43 ดอลลาร์ต่อหัว
แต่เงินที่ประหยัดได้ก็ถูกมองว่าน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปเพื่อปรับให้เมืองกระชับและกลายเป็นเมืองอัจฉริยะ เช่น การปรับปรุงระบบบริการรถเมล์ ทั้งเส้นทางและการติดตั้งระบบให้ข้อมูลการโดยสารและระบบควบคุมที่ทันสมัย สำหรับเมืองที่ใช้รถเมล์เป็นหลัก และที่ใช้เงิน มากที่สุดคือการปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนในเมือง ในส่วนที่ต้องก่อสร้างเครือข่ายรถ ไฟฟ้า ซึ่งมีหลายประเภททั้งรถไฟลอยฟ้า รถไฟรางเดียวหรือ Mono-rail และรถไฟใต้ดิน ไปจนถึงการพัฒนารถไฟสายชานเมือง
อย่างไรก็ตาม หากคิดในแง่การปรับตัวรับปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก เรื่องเหล่านี้ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องลงทุนเพราะจะให้ผลตอบแทนในระยะยาวโดยเฉพาะจะช่วยลดผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจที่เกิดจากปัญหาภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลงได้
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918) เมืองต่างๆ ของสหรัฐฯ วางผังเมืองเพื่อสนองความต้องการของการใช้รถยนต์ ซึ่งทำได้ง่ายเพราะมีพื้นที่กว้างใหญ่ ที่ดินยังมีราคาถูก เป็นผลให้เมืองหลายเมืองในสหรัฐฯ เติบโตอย่างไร้ทิศทาง ทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์ เช่น รถฟอร์ด เติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับการให้กำเนิดระบบผลิตรถยนต์แบบ Fordism ระบบที่ทำให้ผลิตรถได้เร็วและมีประสิทธิภาพ
มิหนำซ้ำการเกิดขึ้นของกฎหมายทางหลวงระหว่างรัฐ (Interstate Highway Act) เมื่อปี 1956 โดยประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower เพื่อสร้างถนนสายใหม่ๆ รองรับการเคลื่อนย้ายทางทหารของสหรัฐฯ ในกรณีที่ถูกต่างชาติโจมตี ก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เร่งให้ระบบขนส่งมวลชนเสื่อมความนิยมและทำให้เมืองโตอย่างไร้ทิศทางมากขึ้น
เพราะกฎหมายฉบับนี้เน้นให้เกิดการทุ่มงบประมาณสร้างถนนหลวงเชื่อมตัวเมืองกับชานเมืองโดยรวม งบสร้างถนนเพิ่มขึ้น 6 เท่า และเริ่มมีการจัดเก็บภาษีรถยนต์และน้ำมัน เพื่อนำเงินภาษีนั้นมาใช้เป็นงบประมาณในการก่อสร้างถนน
ทางหลวงเหล่านี้เป็นตัวเปิดย่านที่อยู่อาศัยใหม่ในเขตชานเมือง โดยไม่มีการวางแผนมาก่อนจึงไม่มีระบบขนส่งมวลชนรองรับผู้คน เมื่อผสมโรงกับนโยบายการสร้าง ที่อยู่อาศัยที่ไม่เหมาะสมของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เป็นช่องว่างให้นักพัฒนาที่ดินขยายโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับคนชั้นกลางในเขต ชานเมืองขึ้นจำนวนมาก เพราะคนชั้นกลางเหล่านี้ยินดีที่จะย้ายออกไปจากย่านกลางเมืองที่เต็มไปด้วยมลพิษ ความแออัด และอาชญากรรมอยู่แล้ว และพวกเขามีกำลังพอ ที่จะเดินทางไปยังแหล่งหารายได้กลางเมืองได้อย่างรวดเร็วด้วยรถยนต์ส่วนตัว
ช่วงกลางทศวรรษ 1970 หรือ 20 ปีหลังจากกฎหมายทางหลวงระหว่างรัฐถูกนำออกใช้ ทำให้มากกว่า 1 ใน 3 ของประชากร อเมริกันล้วนแต่อาศัยอยู่ในย่านชานเมือง เป็นผลให้เมืองต่างๆ เติบโตขยายโดยไร้การควบคุม ทำให้ระบบขนส่งมวลชนบางประเภท อย่างเช่นระบบรถรางถึงกับสูญพันธุ์ไปในหลายเมืองในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับกรุงเทพฯในอดีต
กรุงเทพฯ เคยเป็นหนึ่งในเมืองแรกๆ ของโลกที่มีระบบรถรางในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 แต่เมื่อเริ่มทศวรรษ 1960 ระบบรถรางในกรุงเทพฯ ก็ถูกทำลายลง นอกจากนี้ คลองต่างๆ ในกรุงเทพฯ ก็ยังถูกถมเพื่อสร้างถนนสนองความต้องการใช้รถยนต์ที่เข้ามาแทนที่
ในสหรัฐฯ มีเมืองบางเมืองที่เป็นข้อยกเว้น มีการเติบโตอย่างเป็นระบบ ได้แก่ ซีแอตเทิลและพอร์ทแลนด์ในรัฐโอเรกอน พอร์ทแลนด์ติดอันดับเมืองที่มีความกระชับมากที่สุดในสหรัฐฯ หมายความว่า ไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลหรือเสียเวลามากระหว่างย่านใจกลางเมืองกับปริมณฑล เนื่องจากมีการวางผังเมืองและระบบขนส่งมวลชนที่ดี
เมืองอื่นๆ อีกหลายแห่งของสหรัฐฯ ซึ่งเคยเติบโตอย่างไร้ทิศทางมาก่อน ก็เริ่มเห็นการฟื้นคืนกลับมาของระบบขนส่งมวลชนบ้างแล้ว และหนึ่งในเมืองเหล่านั้นคือเมืองที่เรารู้จักกันดี ในฐานะเมืองหลวงแห่งความบันเทิงของโลก ด้วยอุตสาหกรรมภาพยนตร์ Hollywood ใช่แล้ว เรากำลังพูดถึงลอสแองเจลิส
ลอสแองเจลิสและเขตปริมณฑล ประกอบด้วยเมืองย่อยๆ 88 เมือง กินพื้นที่กว้างใหญ่ประมาณ 6,500 ตารางกิโลเมตร ผ่านการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจมาตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชากรเติบโตมาก
ในช่วง 30 ปีหลังนี้ ลอสแองเจลิสมีบริษัทวิศวกรรม อิเล็กทรอนิกส์ และมหาวิทยาลัย เป็นตัวดึงดูดแรงงานทักษะสูงเข้าสู่เมืองจำนวนมาก ก่อนที่จะเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ลอสแองเจลิสเติบโตอย่างมาก ในอุตสาหกรรมการบินอวกาศ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวกับการทหาร ซึ่งรัฐบาล ให้งบสูงมาก จนถึงขั้นทำให้ลอสแองเจลิสกลายเป็นหนึ่งในเมืองที่มีจำนวนวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์มากที่สุดในสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษที่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น จากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการค้ากับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทำให้ลอสแองเจลิสกลายเป็นศูนย์ กลางการเงินและธุรกิจลำดับสองรองจากนิวยอร์ก กลายเป็นศูนย์กลางการเงินภาคตะวันตกของสหรัฐฯ ร่วมกับโตเกียว ซึ่งเป็นเมืองหลวงทางการเงินโดยปริยายของประเทศรอบแปซิฟิก
อุตสาหกรรมบริการอื่นๆ ก็พัฒนาด้วยเช่นกัน ทั้งอุตสาหกรรมบันเทิง ประกันและอสังหาริมทรัพย์ ต่างฟื้นตัวตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ส่วนอีกปลายด้านหนึ่งของแรงงาน นอกจากสามารถดึงดูดแรงงานทักษะสูงแล้ว ลอสแองเจลิสยังกลายเป็นจุดหมายปลายทางหลักของแรงงานอพยพทั้งถูกและผิดกฎหมายนับแสนๆ คนจากละตินอเมริกา แรงงานอพยพทักษะต่ำจากอเมริกากลางและอเมริกาใต้เหล่านี้ ยังคงเข้ามาเติมในภาคการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ที่เติบโตขึ้นเป็นลำดับ หลังจากผ่านการปรับโครงสร้าง
ผลจากทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ลอสแองเจลิสติดอันดับเมือง 10 อันดับแรกของสหรัฐฯ ที่มีการเติบโตของประชากรมากที่สุด และติดอันดับ 10 เมืองแรกของสหรัฐฯ ที่มีการเติบโตของเมืองอย่างกระจัด กระจายไร้ทิศทางมากที่สุด
การเติบโตของลอสแองเจลิสล้นออกไปถึงเขตข้างเคียง ทั้งด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ และขยายไปมากกว่า 160 กิโล เมตรทางตะวันออก ไปจนจรดพรมแดนรัฐแคลิฟอร์เนีย กับรัฐข้างเคียงอย่างเนวาดาและแอริโซนา ผลการเติบโตอย่างกระจัดกระจายและไร้ทิศทางของลอสแองเจลิส ทำให้เกิดปัญหารถติดอย่างหนัก เพราะทุกคนต่างใช้รถยนต์ส่วนตัวเป็นหลัก
ในช่วงทศวรรษ 1960 ถึง 1980 เป็นเรื่องง่ายมากที่นักล็อบบี้ที่สนับสนุนการใช้รถส่วนตัว จะชักจูงชาวลอสแองเจลิสให้ออกเสียงสนับสนุนการกำจัดระบบขนส่งมวลชนในการลงประชา มติใดๆ เพราะไม่มีใครต้องการเดินหรือขี่จักรยานในลอสแองเจลิส แต่ในที่สุดปัญหารถติด หมอกควัน และ ราคาน้ำมันที่แพงขึ้น กลายเป็นตัวเปลี่ยนทัศนคติของชาวเมืองให้หันกลับมาใช้ระบบขนส่งมวลชนอีกครั้ง
ภาพที่ผู้เขียนพบเห็นระหว่างโดยสารรถเมล์และรถไฟใต้ดินในลอสแองเจลิส หลายคนนำรถจักรยานติดตัวไปด้วย เพราะระบบขนส่งมวลชนในลอสแอง เจลิสทุกระบบอำนวยความสะดวกให้นำรถจักรยานไปด้วย มีแนวคิดว่าคนที่ขี่จักรยาน ในลอสแองเจลิส ซึ่งเป็นเมืองที่กว้างขวางและมีระยะทางไกลมาก ก็ยังคงสามารถใช้ระบบขนส่งมวลชนอย่างรถเมล์หรือรถไฟได้ด้วย ดังนั้น ที่ลอสแองเจลิส เราจึงเห็นภาพจักรยานวางอยู่ด้านหน้าของที่นั่งคนขับรถเมล์ ซึ่งรถเมล์ 1 คันสามารถบรรทุกจักรยานได้ 3-4 คัน นี่เป็นแนวคิดฉลาดๆ ที่เสียค่าใช้จ่าย ต่ำด้วยการติดตั้งเครื่องมือง่ายๆ แนวคิดนี้ มีการนำไปใช้ในซานฟรานซิสโกและลาสเวกัส ด้วยเช่นกัน สามารถนำมาปรับใช้ได้อย่างง่ายดายกับรถเมล์ในกรุงเทพฯ
นโยบายการลงทุนใหม่ๆ เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของระบบขนส่งมวลชนในลอสแองเจลิส สามารถทำได้สำเร็จ เป็นเพราะทางการลอสแองเจลิสใช้วิธีนำบริการสาธารณะที่สำคัญทั้งหมด ไปอยู่ภายใต้การควบคุมของนายกเทศมนตรีและสภาเทศบาล เมือง ทำให้บริการสาธารณะเหล่านั้นกลายเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในนโยบายที่เกี่ยวกับการพัฒนาเมืองลอสแองเจลิสให้เป็นเมืองศูนย์กลาง เป็นเมืองสำคัญ ในระดับภูมิภาค รวมทั้งเป็นเมืองที่สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก นโยบายนี้ถือเป็นผลดี ในแง่การฟื้นคืนชีวิตให้แก่ย่านใจกลางเมือง
ในอดีตผู้วางผังเมืองลอสแองเจลิสที่ทำให้เมืองเติบโตอย่างไร้ทิศทาง เคยมองว่า ย่านใจกลางเมืองของลอสแองเจลิสอ่อนแอ เพราะไม่มีสิ่งดึงดูดในด้านกิจกรรมของมนุษย์ ที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตในเมือง แต่ระบบขนส่ง มวลชนใหม่ของเมือง มีบทบาทสำคัญในการ พัฒนาย่านธุรกิจใจกลางเมืองขึ้นใหม่อีกครั้ง เพราะสามารถรองรับการให้บริการทางธุรกิจที่ก้าวหน้าได้
ยกตัวอย่างเช่น ย่านที่เคยเป็นที่ตั้งโกดังคลังสินค้าเก่าแห่งหนึ่งซึ่งเลิกใช้ไปแล้ว ถูกพัฒนาใหม่ให้กลายเป็นย่านศิลปะ มีการเปิดร้าน Workshop ของศิลปินต่างๆ มีโครงการการพัฒนาที่อยู่อาศัยใหม่ๆ มีการสร้างพิพิธภัณฑ์และอาคารสาธารณะ รวมถึง Little Tokyo แหล่งกินดื่มสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งกลายเป็นแหล่งยอดนิยมของชาวเมืองลอส แองเจลิสไปแล้ว เพราะเดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งมวลชนที่หลากหลาย ทั้งรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ รถราง และรถไฟใต้ดิน
ปัจจุบันชาวเมืองลอสแองเจลิสเริ่มย้ายกลับเข้าไปอยู่ในเขตเมืองที่มีประชากรหนาแน่นอีกครั้ง ทำให้การเดิน การขี่จักรยาน และการใช้ระบบขนส่งมวลชนอื่นๆ เริ่มกลับ มาเป็นที่นิยมใหม่ และทำให้การลงทุนสร้างระบบรถไฟใต้ดินใหม่ๆ ระบบรถราง การเพิ่มสายรถเมล์ คุ้มค่ากับเงินที่ลงทุนไป โดย จุดเปลี่ยนสำคัญจุดหนึ่งของลอสแองเจลิส คือ การขยายเส้นทางรถไฟใต้ดินไปจนถึงสุดเขตเมืองของลอสแองเจลิสด้านตะวันตกเฉียงเหนือเมื่อปี 2003
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าย่านใจกลางเมือง ของลอสแองเจลิสจะมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหาที่ยังไม่ได้แก้ กล่าวคือ ยังมีคนอีกมากในลอสแองเจลิสและเขตปริมณฑล ที่อาศัยอยู่ในเขตชายฝั่งติดทะเลซึ่งห่างไกลจากย่านใจกลางเมือง เขตชายฝั่งทะเลเหล่านี้อยู่สบาย แต่การเดินทางยากลำบาก เพราะระบบขนส่งมวลชนที่รวดเร็วและทันสมัยอย่างรถไฟใต้ดินไปไม่ถึง มีเพียงรถโดยสารด่วนพิเศษบางสายเท่านั้น ต้องใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง จากย่านนี้เพื่อเข้าสู่ใจกลางเมือง หรือมากกว่า 2 เท่าถ้ารถติด
ผู้เขียนมีแผนจะไปชมวาฬที่เมือง Newport ชานเมืองลอสแองเจลิสที่ติดทะเล พบว่าถ้าจะเดินทางโดยรถยนต์ จะต้องใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง และถ้านั่งรถเมล์อาจจะต้องใช้เวลามากกว่า 3 ชั่วโมงสำหรับเที่ยวเดียว จึงต้องยกเลิกโปรแกรมนี้ไป
อดีตเจ้าหน้าที่ที่เคยทำงานให้กับวุฒิสมาชิกหลายคนของสหรัฐฯ เล่าให้ฟังว่า แม้จะพยายามปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนใน ลอสแองเจลิสมากเพียงใด แต่จำนวนรถยนต์ ก็ยังคงเพิ่มขึ้นและการจราจรก็ยังคงติดขัดเพิ่มขึ้นตลอด 10 ปีที่ผ่านมา การลงทุนสร้าง ระบบขนส่งมวลชนใหม่ๆ ยังตามไม่ทัน จำนวนผู้ใช้รถใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง แม้ว่าชาวลอสแองเจลิสจะหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนกันอย่างกว้างขวางแล้วก็ตาม
นั่นหมายความว่า ทางการลอสแองเจลิสยังต้องพยายามอีกมาก หากต้องการจะเปลี่ยนกรอบคิดของผู้ใช้รถในลอสแองเจลิสใหม่ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ดีก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ลอสแองเจลิสนับเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจสำหรับผู้กำหนดนโยบายและผู้วางผังเมืองของไทย เพราะเป็นเมืองที่คนติดการใช้รถยนต์ส่วนตัวอย่างงอมแงม แต่ก็ยังเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ นับประสาอะไรกับกรุงเทพฯ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน
Back to top
Wisarut
1st Class Pass (Air) Joined: 27/03/2006 Posts: 42784
Location: NECTEC
Posted: 10/07/2013 8:57 am Post subject:
สหภาพรถไฟ BARTสไตรค์!! ทำจราจรซานฟรานฯอัมพาตหนัก-ชาวมะกันต่อคิวยาวรอรถและเรือ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2
2 กรกฎาคม 2556 17:12 น.
เอเจนซีส์ - ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ในซานฟรานซิสโก เบย์แอเรีย ต่างใช้รถไฟฟ้า BART เข้ามาทำงานในตัวเมืองซานฟรานซิสโก และบริเวณใกล้เคียงในเช้าวันจันทร์(1) ต้องพบกับสภาพการจราจรที่เป็นอัมพาตหนัก เพราะการประท้วงหยุดงานเป็นวันแรกของสหภาพรถไฟ BART ที่เรียกร้องเพิ่มเงิน สวัสดิการทางการแพทย์ และ การลงทุนด้านความปลอดภัยของการให้การบริการ นับเป็นการประท้วงใหญ่ในรอบ 16 ปีของรถไฟ BART
ระบบการขนส่งรถไฟ BART (Bay Area Rapid Transport) ขนส่งผู้โดยสารชาวอเมริกันกว่า 400,000 คน ต่อวัน ชาวเบย์แอเรียที่อาศัยอยู่ทางตะวันออกของอ่าวซานฟรานซิสโกส่วนใหญ่ต้องอาศัยรถไฟ BART ไปทำงานนอกจากคาร์พูล (Carpool) หรือการขนส่งประเภทอื่น เช่นการขับรถ หรือเรือเฟอร์รี เพื่อเข้าไปทำงานในตัวเมืองซานฟรานซิสโก หรือเมืองในบริเวณใกล้เคียง เป็นเพราะค่าจอดรถในเมืองซานฟรานซิสโกแพงมาก และมีจำกัดเมื่อเทียบกับปริมาณของผู้ใช้ ตลอดจนต้องมีค่าใช้จ่ายค่าใช้จ่ายในการข้ามสะพานเพื่อเข้าตัวเมือง เป็นเหตุผลให้ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาการขนส่งสาธารณะ หรือคาร์พูล (มีค่าใช้จ่าย 1 ดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือเจ้าของรถจ่ายค่าข้ามสะพาน) เพื่อเข้าทำงานในตัวเมือง
ซึ่งก่อนหน้านั้นในวันอาทิตย์ช่วงบ่าย (30) สหภาพรถไฟ BART และทางบริษัทรถไฟBART ยังไม่สามารถหาข้อยุติกันได้ ทำให้การขนส่งสาธารณะในเบย์แอเรียตลอดทั้งชาวเบย์แอเรียต้องเตรียมรับการสไตรค์ครั้งใหญ่ในรอบ 16 ปี ในเช้าวันถัดมา ซึ่งเป็นวันแรกของการทำงาน พวกเขาต้องพบกับสภาพการจราจรบนท้องถนนที่เป็นอัมพาตอย่างหนักโดยเฉพาะถนนฟรีเวย์ที่เชื่อมสะพานเบย์บริดจ์อันเป็นสะพานหลักเพื่อที่จะเข้าตัวเมืองซานฟรานซิสโก รถบัสสาธารณะ AC Transit ต้องเพิ่มเที่ยวรถเป็นพิเศษ เพื่อรองรับผู้โดยสารชาวอเมริกันที่ยืนรอต่อแถวยาวหน้าสถานีรถไฟ BART ที่ปิดให้บริการ
การประท้วงนัดหยุดงานเริ่มขึ้นตั้งแต่เที่ยงคืนวันอาทิตย์ (30) จากพนักงานรถไฟBART ราว 2,400 คน ที่รวมไปถึงคนขับรถไฟ พนักงานประจำสถานี ช่างเครื่อง และพนักงานที่อยู่ในส่วนห้องควบคุม ประกาศนัดหยุดงานหลังการเจรจาในเรื่องการเพิ่มเงินและสวัสดิการได้ล้มเหลวลง การเจรจาเริ่มขึ้นก่อนที่สัญญาการทำงานของพวกเขาจะสิ้นสุดลงไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งทั้งฝ่ายสหภาพรถไฟและบริษัท BART ต่างอ้างว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการการเจรจา
โดยในส่วนสหภาพ พวกเขาต้องการเงินเดือนเพิ่มขึ้น 5% ทุกปี ตลอดอีก 3 ปี ข้างหน้า ในขณะที่บริษัท BART กล่าวว่า เงินเดือนเฉลี่ยของเจ้าหน้าที่ประจำสถานีและคนขับรถไฟ ฐานเงินเดือนอยู่ที่ 71,000 ดอลลาร์ต่อปี เงินล่วงเวลาอยู่ที่ 11,000 ดอลลาร์ต่อปี และพวกเขาจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพแบบแฟลตเรตที่ 92 ดอลลาร์ต่อเดือน
ด้านโฆษกของ BART ริก ไรซ์ กล่าวว่า ทางบริษัทยินดีเพิ่มเงินเดือนจากเดิม 4% เป็น 8% ในระยะเวลาอีก 4 ปี ข้างหน้า หรือเท่ากับว่า 2% ของทุกปีตลอดระยะเวลา 4 ปี และการเพิ่มเงินค่าจ้าง 1% ได้ถูกกำหนดให้มีผลในวันจันทร์ (1) ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ไรซ์ ยังเสริมด้วยว่า ทางบริษัทเสนอให้พนักงานรถไฟจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเกษียณลดลง และลดการจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพ
นอกจากสัญญาจ้างของพนักงานรถไฟ BART ที่ได้สิ้นสุดลงแล้ว สัญญาจ้างของพนักงานบริษัทรถขนส่งสาธารณะ AC Transit ได้หมดลงด้วย แต่พวกเขาสัญญาที่จะไม่ประท้วงผละงานในขณะที่การเจรจาเรื่องค่าจ้างและสวัสดิการยังคงดำเนินอยู่
The Bay Area Council Economic Institue ได้ประเมินความเสียหายของการนัดหยุดงานของสหภาพ BART ในครั้งนี้ว่ามีมูลค่าสูงถึง 73 ล้านดอลลาร์ต่อวัน
Back to top
black_express
1st Class Pass (Air) Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
Posted: 10/07/2013 1:04 pm Post subject:
นานๆ จะเห็นข่าวพนักงานของ BART สไตร้ค์ สักทีครับ
ถ้าเป็น BTS หรือ MRT จะขนาดไหนน้อ ?
Back to top