View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
mirage_II
1st Class Pass (Air)
Joined: 05/01/2011 Posts: 2591
|
Posted: 07/11/2014 4:26 pm Post subject: |
|
|
ทางด้านหลังป้ายประชาสัมพันธ์เกีียวกับวัดฯ ก็เป็นป้ายประชาสัมพันธ์งานช้าง เอ๊ย..งานแสดงช้างครับ ทีแรกนึกว่าอยู่แถวนี้ซะอีก มองหาช้างไม่ยักเจอสักตัวเหมือน ตลาดน้ำอโยธยา ดูข้อมูลในป้ายดีๆ จะพบว่า แสดงที่ "ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย อ.ห้างฉัตร" ที่มีถนนลัดผ่านออกด้านหลังเพื่อไปยังสถานีรถไฟแม่ตานน้อยได้นั่นเอง มาโฆษณาไกลเหมือนกัน ที่น่าสนใจคือ แสดงช้างวันละ 4 รอบ กับมีบริการนั่งช้างชมธรรมชาติด้วย มีแค่ 5 วันนะครับ
ถัดไปเป็นซุ้มป้ายเรือนไทยอย่างดี ตัวป้ายเป็นแผ่นทองเหลืองสลักตัวอักษร ด้วย ดูขลังดีครับ แต่ในภาพกลายเป็นที่นั่งของนักท่องเที่ยวไป คงเป็นเพราะแถวนั้นไม่มีเก้าอี้นั่งให้เลยสักตัว
เข้าไปดูแผ่นป้ายใกล้ๆ เป็นข้อมูลเกี่ยวกับวัดพระธาตุลำปางหลวง ซึ่งผมได้ลากเส้นสีม่วงให้ง่ายต่อการอ่านคร่าวๆ ครับ
ดูข้างหน้าป้าย ก็ไม่ลืมดูข้างหลังบ้าง เป็นแผนผังในเขตพุทธาวาสของวัด คือ บริเวณกำแพงที่ล้อมวิหาร และ อุโบสถ นั่นเองครับ โดยด้านหน้า ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก (ในภาพคือทางขวามือ) มีทางเข้าหลัก เป็นซุ้มประตูโขง (ชวนให้คิดว่า อยู่แถวๆ แม่น้ำโขง) ผ่านเข้ามายังวิหารหลวง ที่ถือว่าด้านหน้า และยังมีทางเข้าออกอีก 2 ทาง คือด้านเหนือกับด้านใต้ ซึ่งด้านใต้นี้ได้ผ่านมายังเขตสังฆวาส หรือบริเวณที่พักพระสงฆ์ ซึ่งยังมีวิหาร และศาลา อีกหลายหลัง โดยเฉพาะสามารถเดินทะลุออกมายังถนนด้านหน้าวัดได้อีกทาง ด้วยครับ |
|
Back to top |
|
|
mirage_II
1st Class Pass (Air)
Joined: 05/01/2011 Posts: 2591
|
Posted: 07/11/2014 6:03 pm Post subject: |
|
|
ถัดมาจากซุ้มป้ายประวัติวัดพระธาตุลำปางหลวง ก็เป็นสระน้ำ ที่ด้านยาวขนานไปกับถนนหน้าวัด มีช่องบันไดลงไปทั้ง 4 ทิศครับ จากภาพสังเกตุเหัวบันไดคล้ายกับพญานาค แต่ไม่ใช่ครับ แค่ลวดลายโค้งเท่านั้น
ไปยืนชิดกำแพงสระ มองไปทางวัดพระธาตุลำปางหลวงครับ มุมนี้บางคนดูแล้วอาจเข้าใจผิดว่า วัดอยู่ติดลำน้ำสักแห่ง
เดินมายังริมถนนข้างสระ มองไปที่วัด มีป้ายชื่อวัดอยู่ก่อนถึงบันไดนาคด้วย สำหรับถนนข้างหน้านี้ผมขอแสดงปลายทางทั้งสองด้านให้ดูครับ
เดินมาถึงป้ายชื่อวัดแล้วครับ มุมนี้ ถือเป็นมุมนิยมที่คุ้นตากับวัดพระธาตุลำปางหลวง ครับ
หันไปมองทางซ้ายมือ จะเห็นว่ามีรถม้าประดับดอกไม้สวยๆ มาจอดเป็นแบบให้ถ่ายภาพ ซึ่งมีการคิดค่าใช้จ่ายด้วยนะครับ โดยจะมีช่างภาพถ่ายให้พร้อมเสร็จ และสาวนุ่งกางเกงแดงคอยให้คำแนะนำครับ
Last edited by mirage_II on 13/11/2014 7:39 pm; edited 1 time in total |
|
Back to top |
|
|
mirage_II
1st Class Pass (Air)
Joined: 05/01/2011 Posts: 2591
|
Posted: 07/11/2014 8:24 pm Post subject: |
|
|
ข้ามถนนไปฝั่งวัด พอดีชาวคณะบางคนมาถึงพอดี เลยได้ถ่ายรูปหมู่ ยกเว้นท่านผตก.บ้าน เพราะไปดูแลคุณพ่อแ๋อ๋ อยู่ กับตัวผมเองคนถ่ายภาพครับ ในภาพจะเห็นมีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มมาถ่ายแจมด้วยอย่างไม่ตั้งใจ เพราะยามนี้ จะรอให้ป้ายว่างๆ นั้นยากเต็มที แดดก็ร้อน ชาวคณะรอไม่ไหวด้วยครับ
เดินเลยมามองป้ายอีกด้านนึง เฉียงไปทางทิศใต้ จะเห็นช่องทางเดินเข้าวัดอีกทาง และทางนี้แหละจะไปเจอสิ่งที่ผมต้องการทันทีเลยครับ
มองต่อไปทางซ้าย (นี่ถ้าแสดงภาพได้กว้างเป็นพันพิคเซล ผมคงเอามาต่อกันให้ดูแล้วละครับ) ก็เป็นถนนที่เราขับรถเข้ามา ซึ่งมีช่องทางเล็กๆ ตรงกำแพงเตี้ยๆ ให้คนเดินผ่านเข้าไปยังวัดได้
หันไปทางเหนือบ้าง เหลือบเห็นป้ายอะไรปักอยู่ เดี๋ยวต้องเดินไปดูให้หายสงสัยครับ
มองกลับไปยังฝั่งตรงข้ามที่เดินมา มีศาลาอะไรตั้งอยู่ ผมพยายามขยายภาพดู ก็อ่านได้แค่ชื่อวัดเท่านั้น ดูจากข้างนอก ก็โล่งๆ ไม่เห็นมีคนเข้าไปนั่ง แต่มี รปภ.อยู่หลายนายข้างนอก |
|
Back to top |
|
|
mirage_II
1st Class Pass (Air)
Joined: 05/01/2011 Posts: 2591
|
Posted: 07/11/2014 8:43 pm Post subject: |
|
|
เดินเลยมาดูป้าย อ๋อ..เป็นป้ายประกาศเกียรติคุณ วัดพัฒนาดีเด่น และวัดพัฒนาตัวอย่าง มุมนี้ไม่ค่อยเห็นใครถ่าย เพราะไม่ใช่ป้ายชื่อวัด
เดินกลับไป แต่ยังอยู่นอกกำแพง ถ่ายเข้ามาเด็กๆ หมวกแดง กำลังเล็งยิงภาพงามๆ สักภาพ ที่ชาวคณะยังไม่เข้าไป ก็เพราะยังรีรอคนที่เหลือ ยังเดินมาไม่ถึงนั่นเองครับ
ระหว่างนั้นอีกสักภาพ กับเชิงบันไดรูปปั้นพญานาค ที่ดูแปลกตาไปจากเคยเห็นกัน ดูเจ้าตัวเล็กจะชอบเป็นพิเศษถึงกับลงทุนโอบกอดขนาดนั้น มันร้อนนะครับ โดนแดดเผามาทั้งวัน
ไม่รอแล้วละ ไปเจอกันข้างในดีกว่า แดดมันแรงขนาดยังไม่ถึง 4 โมงเช้าเลยนะนี่ |
|
Back to top |
|
|
mirage_II
1st Class Pass (Air)
Joined: 05/01/2011 Posts: 2591
|
Posted: 07/11/2014 9:13 pm Post subject: |
|
|
ระหว่างนั้นผมก็ถ่ายภาพบริเวณเชิงบันได ซึ่งมีรูปปั้นสิงห์อยู่ก่อนหน้าพญานาค เริ่มจากทางขวามือก่อน
แล้วทางซ้ายมือบ้าง เพื่อนำมาเปรียบเทียบในภายหลังได้ ดูสิงห์ในภาพแล้ว นับว่าแตกต่างจากที่เห็นกันคุ้นตา เช่น ตราสัญญลักษณ์เบียร์สิงห์ นะครับ แล้วยิ่งเศียรพญานาคนอกจากแปลกไปจากที่เคยเห็น เศียรที่เพิ่มขึ้นมาด้านข้างก็มีขนาดเล็กกว่าเศียรหลักอย่างมาก แถมมังกร หรือ มกรที่คาบพญานาคก็ยิ่งมีหน้าตาแปลก เท้าก็เล็กสั้นมาก จนเกือบสังเกตุไม่เห็นครับ
พอดี คุณพ่อแอ๋ กับ ผตก.ผมมาพอดี เลยถ่ายภาพเชิงบันไดสักหนึ่งภาพไว้เป็นที่ระลึกครับ ซึ่งภาพนี้จะเห็นขามังกรตัวขวามือ ด้วยครับ ส่วนจุดดำๆ 2 จุดข้างบนนั้นไม่ใช่ปัญหาของกล้อง หรือมีเอเลียนมาลอยตัวอยู่ นกครับ
เอาละ.. ได้เวลาเข้าวัดกันสักที ยืนตากแดดถ่ายภาพอยู่นานเหมือนกัน เดี๋ยวกำลังจะหมดซะตั้งแต่แรกเริ่ม ขึ้นบันไดมาได้เกือบครึ่งทาง ก็เจอเข้ากับเศียรพญานาคอีกตนครับ มีหลายเศียรติดกันโดยมีขนาดเล็กกว่าเศียรหน้าเล็กน้อย นับว่าเป็นของแปลกไปอีกอย่างครับ นอกจากนี้ในภาพ ท่านผตก.บ้านกำลังประคองคุณตาแอ๋ ขึ้นไปสักการะ นับว่าได้บุญแรงมาก เพราะปกติ ท่านไม่ค่อยลงจากรถ และถึงลงจากรถก็ไม่ค่อยเดินไกลๆ เพื่อไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นัก ชอบบอกว่า "ขอนั่งรออยู่ตรงนี้นะ" เพราะอายุท่านก็เลยเลข 7 มาพอสมควรแล้วครับ |
|
Back to top |
|
|
black_express
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
|
Posted: 08/11/2014 12:03 pm Post subject: |
|
|
ที่เห็นมีเท้าอยู่นั้น น้องผมบอกว่าคือเท้าของตัว "เหรา (เห - รา)" ครับ ซึ่งคาบตัวนาคอีกทีหนึ่ง
เข้าใจว่าเป็นเรื่องของช่างปั้น ที่ไม่ให้รูปพญานาคดูโล้นเกินไป
ดูผาดๆ เหมือนนาคตัวยาว กลืนไม่หมด ประมาณนั้น
logo สิงห์ของบริษัทเบียร์ ยกเท้าข้างเดียวนะครับ ผิดจากนี้เป็นของปลอม |
|
Back to top |
|
|
mirage_II
1st Class Pass (Air)
Joined: 05/01/2011 Posts: 2591
|
Posted: 09/11/2014 2:00 am Post subject: |
|
|
ขอบคุณพี่ตึ๋งที่เข้ามาเพิ่มเติมให้ครับ ตัวมังกร หรือมกร (อ่านได้สองแบบคือ มะ กร กับ มะ กะ ระ) เรียกอีกชื่อก็คือตัวเหรา ซึ่งอ่านว่า เห รา เป็นสัตว์ในจินตนาการ ของแดนหิมพานต์เชิงเขาพระสุเมรุ มีลักษณะผสมระหว่างจระเข้กับพญานาค ทางภาคเหนือจะนิยมปั้นตรงเชิงบันไดวัดด้วยสัตว์ชนิดนี้ ในขณะที่ภาคกลางจะเป็นพญานาคเฉยๆ ครับ ในประเทศเพื่อนบ้านเราก็มี เขาจะเรียกว่า "ตัวสำรอก"
ซึี่งตามความเชื่อ ว่าสัตว์ชนิดนี้มีหน้าที่ เฝ้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่สื่อว่าเป็นเขาพระสุเมรุ เพราะตามคติจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิ จำต้องมีสัตว์ในป่าหิมพานต์เฝ้าอยู่เชิงเขาพระสุเมรุ ไม่ให้คนขึ้นไปรบกวนทวยเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ครับ
สำหรับชื่อ มกร นั้นก็คงมีที่มาจาก มังกรในประเทศจีน เพราะพญานาคไม่มีขา แต่มังกรจีนมีขา พอมาเห็นสัตว์ที่มีหัวคล้ายพญานาค หรือคายพญานาคออกมาแล้วมีขาเลยเรียกว่ามังกรไปเลย
ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมมกรต้องคายนาค ในลักษณะของการสำรอก นั้น อาจวิเคราะห์ได้ในแง่ของประวัติศาสตร์ศิลปะคือ "พญานาค" จะเป็นตัวแทนของกลุ่มเมือง หรือชนเผ่าทางตอนเหนือของประเทศไทย ที่เรียกสืบทอดมาถึงปัจจุบันว่า "โยนก" เมืองโยนกเชียงแสนเดิมของพระเจ้าสิงหนวัติกุมาร ต้นตระกูลของพระเจ้าพรหมมหาราช ก็มีตำนานเกี่ยวพันกับพญานาค เรียกว่ามีพญานาคมาสร้างเมืองชื่อโยนกนาคพันธ์สิงหนวัติ หรือโยนกนาคนคร เพราะเมื่อเมืองนี้ล่มจมหายก็คาดว่าเกิดจากผู้คนพากันกินปลาไหลเผือก ซึ่งเชื่อว่าเป็นตัวแทนของพญานาคนั่นเอง ส่วนสัตว์น่ากลัวเช่น "จระเข้ เห รา" จะเป็นตัวแทนของพวก "พยู" หรือพุกามอันได้แก่พม่าที่เข้ามายึด ครอบครองเมืองนี้อีกที ส่วนเหตุที่มีการปั้นว่าตัวเห รา คายพญานาค ก็อนุมานได้ว่า เป็นการแสดงออกถึงการหลุดพ้นจากอิทธิพลของงานศิลปะและการเมืองของพุกามหรือพม่าที่ครอบงำล้านนาอยู่ถึง 200 ปีนั่นเอง
นอกจาก ศิลปะมกรคายนาค แล้วก็ยังมีแบบอื่นอีก เช่น ซุ้มเรือนแก้วองค์พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก ก็จำหลักเป็นรูปมกรคายพวงอุบะ และทำเป็นลำตัวนาคเลื้อยลงมาแต่ตอนปลายไม่ยักเป็นเศียรนาค แต่ทำเป็นสัตว์ที่คล้ายคชสีห์แต่ตัวเล็กกว่าแทน ตัวนี้เราเรียกว่า "ทักทอ" อ่านว่า ทัก-กะ-ทอ ครับ
ที่มา :คุณ werachaisubhong ลงไว้ในกระทู้ "สงสัยเรื่องบันไดนาค" ของลิ้งค์ข้างล่างนี้ครับ
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3389.0
ลงไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 แล้ว ผมเคยผ่านตา พอค้นหาจากกูเกิ้ลเรื่องบันไดนาค ก็เจอทุกทีเลยครับ ลงคลิ๊กเข้าไปดู จะมีภาพเชิงบันไดนาคสวยๆ หลายแห่งด้วยครับ
อ้อ..สำหรับโลโก้เบียร์สิงห์ ผมเข้าไปค้นดูเล่นๆ เลยเจอของดีที่ไม่เคยรู้มาก่อน คือ โลโก้ก่อนหน้าที่จะเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบันครับ
ได้จากเว็บ "ตะลอนทีวี" ของคุณGeranun ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ครับ
http://www.geranun.com/archives/1759
เขาบอกว่า ได้ภาพจากโฆษณาของหนังสือสิ่งพิมพ์สยาม ปี พ.ศ 2480 หลังจากเริ่มผลิตในปี 2476 ครับ |
|
Back to top |
|
|
black_express
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
|
Posted: 09/11/2014 8:55 am Post subject: |
|
|
โห... สุดยอดเลยครับ ที่ลงทุนค้นมาข้อมูลมาเพิ่มเติม ได้ความรู้เพิ่มเติมอีกแยะ และเมื่อก่อน โรงเบียร์บุญรอดผลิตเบียร์ตราหนุมาณด้วย แต่ไม่ยืนยงเหมือนเบียร์สิงห์
เรียกว่าโฆษณาชิ้นดียว ได้ทั้งสองยี่ห้อเลย
ขอบคุณมากๆ ครับ |
|
Back to top |
|
|
mirage_II
1st Class Pass (Air)
Joined: 05/01/2011 Posts: 2591
|
Posted: 10/11/2014 3:21 pm Post subject: |
|
|
พี่ตึ๋งครับ ผมเองก็เพิ่งทราบว่ามีเบียร์ตราหนุมานด้วย เขาออกแบบให้หนุมานถือขวดเหล้าแบบนี้ จะถือว่าไม่เหมาะสมหรือเปล่า ถ้าเ็ป็นปัจจุบันอาจโดนประท้วงจากกลุ่มนิยมวรรณคดีได้เหมือนกันนะครับ
พักกระทู้ไป 2 วันมาต่อกัน ตรงบันไดนาคขึ้นซุ้มประตูโขงครับ
เกือบถึงแล้วครับ ซุ้มประตูโขง ที่ชื่อเหมือนอยู่ใกล้แม่น้ำโขง ทำให้คิดไปว่าต้องมีความเกี่ยวข้องกับพญานาค ค้นข้อมูลจากในเน็ต พบว่า ที่มาของชื่อนี้ ง่ายจนนึกไม่ถึง คือมาจากคำว่า "ซุ้มประตูโค้ง" คือขอบด้านบนจะทำโค้งครึ่งวงกลม เชื่อว่าคงพัฒนามาจากทวารโตรณะ(Drava Torana) ของอินเดีย ในศิลปะอินเดียเรียกซุ้มโค้งนี้ว่า “กุฑุ(Kudu)” อันเป็นสัญลักษณ์แห่งสวรรค์ชั้นฟ้า คือเขาไกรลาส ที่ประทับแห่งพระศิวะ หรือเขาพระสุเมรุศูนย์กลางแหงจักรวาล ส่วนบนจะสร้างเป็นเหมือนปราสาทย่อส่วนซ้อนกันหลาย บนสุดจะเป็นเป็นยอดแหลม ท่านผตก.ผม กับคุณพ่อตาในภาพได้แสดงความรู้สึกว่า "พาขึ้นบันไดบุญไปสู่สรวงสวรรค์" เลยนะครับ
ขึ้นมาอยู่ซุ้มประตูโขงแล้ว ลวดลายที่เห็นคือหน้าบันของวิหารหลวงนะครับ มองขึ้นไปข้างบนที่เห็นหยักๆ นั้นเป็นขอบซุ้มประตูโขงที่เขาสร้าง ไม่ใช่ของหน้าบันของวิหารหลวง เพราะบังเอิญดูกลมกลืนกันดีมาก
เข้าไปอีกนิด ยังอยู่ในซุ้มประตูโขง ตรงนี้จะพอเก็บภาพด้านหน้าวิหารหลวงได้มากที่สุด เพราะซุ้มประตูโขงอยู่ใกล้มาก ไม่สามารถเก็บภาพด้านหน้าของวิหารหลวงได้ครบครับ
ออกมาตรงขอบซุ้มประตูโขง แหงนขึ้นไปเก็บภาพหน้าบันวิหารหลวงชัดๆ ซึ่งมีการทาลวดลายสีทองลงพื้นสีแดงงดงามมาก ลองดูในเน็ตจะพบภาพเก่า ตอนที่ยังไม่ปฏิสังขรณ์ ทาสี เป็นไม้ล้วนๆ ที่มีการทาลวดลายด้วยสีทอง บางส่วนก็เลือนลางแล้ว |
|
Back to top |
|
|
mirage_II
1st Class Pass (Air)
Joined: 05/01/2011 Posts: 2591
|
Posted: 10/11/2014 4:42 pm Post subject: |
|
|
มองไปทางซ้ายมือ ถือว่าเป็นปีกซ้ายด้านหน้าของวิหารหลวง จะเห็นความงดงามของลวดลายไม่แพ้กัน สะดุดตาแผ่นสีดำ บนหลังคา ดูแล้วใช้กั้นระหว่างหลังคาชั้นบนกับชั้นล่างที่ซ้อนกันอยู่ คงเพื่อกันฝนสาดเข้ามาทางด้านหน้านั่นเอง ส่วนล่างมีการขึงแผ่นประชาสัมพันธ์ เรื่องค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่ต้องเสียค่าบำรุงสถานที่คนละ 20 บาท อ่านตอนแรกก็งงๆ เพราะคำว่า ไกด์ มันถูกแผ่นผ้าย่นสะท้อนแสง ผมเลยอ่านว่า เกด ซะงั้นครับ
มองมาทางขวามือบ้าง ด้านนี้ก็เหมือนเช่นด้านซ้าย แต่มองเลยออกไป จะเห็นวิหารต้นแก้วอยู่ถัดไปติดกับรั้วกำแพง(วืหารคต) ด้านเหนือ และมองดีๆ จะเห็นช่องประตูออกไปทางด้านเหนือ ซึ่งผมพลาดจริงๆ ที่ไม่ได้เดินไปดู แม้กระทั่งหันกล้องไปถ่ายสักภาพ เพราะเพิ่งทราบว่ามีบันไดนาคอยู่ทางด้านเหนือด้วยครับ
มองเข้าไปในวิหารกันดีกว่า สีแดงตัดกับสีเหลืองสดใสมากครับ ข้างในประดิษฐาน พระประธานชื่อว่า "พระเจ้าล้านทอง" โดยสร้างกู่ หรือมณฑปครอบไว้อีกที(ศาสตราจารย์ สันติ เล็กสุขุม เรียกว่า เจดีย์ทรงปราสาท บางคนเรียกว่า ซุ้มปราสาท) ซึ่งพระเจ้าล้านทองนี้เป็นพระพุทธรูปแบบศิลประเชียงแสนผสมสุโขทัยในท่าปางมารวิชัย สร้างโดยหล่อสำริดปิดทอง อีกอย่างที่เห็นชัดคือเสากลมขนาดใหญ่ เรียงรายกันตลอดแนวกลางวิหารหลวงครับ มาทราบจากข้อมูลในเน็ตว่าของเดิมเป็นเสาเหลี่ยม ไม่ได้กลมแบบนี้ แต่มีการปฏิสังขรณ์ในปี พ.ศ.2466 จำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อความแข็งแรงของวิหารเอง
หันหลังกลับมาดู ด้านหน้าที่เดินเข้ามา จะเห็นซุ้มประตูโขงอยู่ข้างนอก ซึ่งแดดจ้ามาก แต่สิ่งที่ผมอยากให้ดูคือ ผนังด้านในและที่สำคัญได้เห็นเสาด้านหน้า เ็ป็นแบบเหลี่ยม ซึ่งน่าจะเป็นของเดิมที่ยังเหลือไว้ให้เห็น 2 ต้นครับ
Last edited by mirage_II on 10/11/2014 7:24 pm; edited 1 time in total |
|
Back to top |
|
|
|