View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42751
Location: NECTEC
|
Posted: 02/06/2021 8:21 pm Post subject: |
|
|
ห้องสมุดการรถไฟแห่งประเทศไทย สถานีรถไฟหัวหิน เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๒ โดยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิด นับเป็นห้องสมุดการรถไฟแห่งประเทศไทยแห่งที่ ๓ ที่มีการเปิดให้บริการครับ สำหรับส่วนของห้องสมุดนั้นได้มีการนำรถโบกี้โดยสารหมายเลข ๑๐๑ และหมายเลข ๒๐๙ ซึ่งเป็นรถกำลังดีเซลรางมีห้องขับ (กซข.ป.) แบบ JR West รุ่นคิฮะ ๒๘ และคิฮะ ๕๘ จำนวน ๒ คัน มาดัดแปลงเป็นตัวอาคารห้องสมุดครับ สำหรับห้องสมุดการรถไฟแห่งประเทศไทย สถานีรถไฟหัวหิน ได้รับการดูแลและจัดการจาก ๔ หน่วยงานหลักในท้องถิ่น ได้แก่ เทศบาลเมืองหัวหิน การศึกษานอกโรงเรียน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และการรถไฟแห่งประเทศไทยครับ ปัจจุบันห้องสมุดได้งดการให้บริการชั่วคราว ส่วนหนึ่งเพราะอยู่ในเขตแนวการก่อสร้างโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วง นครปฐม - ชุมพร โดยในอนาคตอาจมีการปรับปรุงและทำการเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่แห่งใหม่ที่เหมาะสมในอนาคตครับ
https://www.facebook.com/athuahinstation/posts/956783605132574 |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42751
Location: NECTEC
|
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42751
Location: NECTEC
|
Posted: 04/06/2021 10:25 pm Post subject: |
|
|
งบการรถไฟ ปี 2565 61,742 ล้านบาท!!! ไปอยู่ที ไหนบ้าง???
โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure
ศุกร์ที่ ที่ 4 มิถุนายน 2564 เวลา 21.59 น.
วันนี้ขอไปขุดงบการรถไฟ ปี 2565 ซึ่งผ่านวาระที่ 1 ของสภาเข้าไปสัปดาห์ที่ผ่านมบ ซึ่งมีดราม่ามากมายยยย แต่ไม่มีใครพูดถึง งบของการรถไฟในปี 2565 เลย
ผมเลยขอขุดเอางบการรถไฟก่อนเข้าอนุกรรมการ ในวาระที่ 2 มาเล่าให้เพื่อนๆฟังคร่าวๆ กันครับ
ใครสนใจสามารถดูได้จากในลิ้งค์นี้ ตั้งแต่หน้า 155 เป็นต้นไปครับ
http://edoc.parliament.go.th/getfile.aspx?id=739188...
ปี 2565 มีงบประมาณ รวม 61,742 ล้านบาท!!! แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ
1. งบประมาณประจำปี 18,383 ล้านบาท
2. เงินนอกงบประมาณ 43,399 ล้านบาท
ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2564 เป็นเงิน 11,577 ล้านบาท!!!!
แล้วเค้าเอาไปใช้จ่ายที่ไหนบ้าง???
ก่อนอื่นต้องมาดูที่หัวข้อ การรถไฟแห่งประเทศไทย
ซึ่งอย่างที่บอกว่ามีงบประมาณ 2 ก้อนหลักๆ คือเงินงบประมาณประจำปี และเงินนอกงบประมาณ
ซึ่งในงบประมาณปี 65 ที่ผมพอหาได้จะมีแค่ส่วนงบประมาณประจำปี
ซึ่งแบ่งงบประมาณประจำปีเป็น 6 แผน และมีรายละเอียดโครงการย่อยๆ ในแต่ละแผนดังนี้
1. แผนบุคลากรภาครัฐ 331 ล้านบาท
2. แผนงานด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านความสามารถในการแข่งขัน 1,063 ล้านบาท
3. แผนงานยุทธศาสตร์ มาตรการแบบเจาะจง
3.1 โครงการอุดหนุนบริการสาธารณะ (PSO). 1,271 ล้านบาท
4. แผนงานบูรณาการพัฒนาด้านคมนาคม และ ระบบโลจิสติก
โครงการท่ี 1 : โครงการปรัปปรุงระบบอาณัติสัญญาณไฟสีทั่วประเทศ 241 ล้านบาท
โครงการท่ี 2 : โครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย- เชียงราย-เชียงของ 1,620 ล้านบาท
โครงการท่ี 3 : โครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร - นครพนม 1,020 ล้านบาท
โครงการท่ี 4 : โครงการปรับปรุงทางรถไฟ 78 ล้านบาท
โครงการท่ี 5 : โครงการสำรวจออกแบบ รายละเอียด และจัดทำรายงานการประเมิน ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างทางรถไฟ ช่วงชมุพร - ท่าเรือน้ำลึกระนอง 44 ล้านบาท
โครงการท่ี 6 : โครงการปรับปรุงสะพานและ ช่องน้ำ เพื่อรับโหลดสูงสุด 20 ตัน 212 ล้านบาท
โครงการท่ี 7 : โครงการติดตั้งรั้ว สองข้างทาง ตามแนวเขตทางรถไฟ 418 ล้านบาท
โครงการท่ี 8 : โครงการระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะท่ี 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) 1,300 ล้านบาท
โครงการท่ี 9 : โครงการออกแบบรายละเอียด งานโยธา โครงการรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะท่ี 2 ช่วงนครราชสีมา- หนองคาย) 51 ล้านบาท
5. แผนงานบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก
โครงการท่ี 1 : โครงการก่อสร้างปรับปรุงทางรถไฟเข้าพื้นที่ท่าเรือจุกเสม็ด 41 ล้านบาท
โครงการท่ี 2 : โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม
3 สนามบิน 475 ล้านบาท
6. แผนงานบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ
โครงการท่ี 1 : โครงการชำระหนี้เงินกู้สำหรับ ก่อสรา้งโครงการพัฒนาระบบการขนส่ง ทางรถไฟสายตะวนั ออก (พญาไท - ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) 605 ล้านบาท
โครงการท่ี 2 : โครงการชำระหนี้เงินกู้สำหรับก่อสร้างโครงการระบบขนส่งมวลชนทางราง ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ช่วงบางซื่อ-รังสิต 3,531 ล้านบาท
โครงการท่ี 3 : โครงการชำระหนี้เงินกู้สำหรับก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเล ตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า- แก่งคอย 800 ล้านบาท
โครงการท่ี 4 : โครงการชำระหนี้เงินกู้สำหรับก่อสร้างทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ 2,180 ล้านบาท
โครงการท่ี 5 : โครงการชำระหนี้เงินกู้สำหรับก่อสร้างทางรถไฟ สายบ้านไผ่- มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม 27 ล้านบาท
โครงการท่ี 6 : โครงการชำระหนี้เงินกู้สำหรับก่อสร้างทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น 452 ล้านบาท
โครงการท่ี 7 : โครงการชำระหนี้เงินกู้สำหรับก่อสร้างทางคู่ ช่วงมาบกะเบา- ชุมทางถนนจิระ 1,628 ล้านบาท
โครงการท่ี 8 : โครงการชำระหนี้เงินกู้สำหรับก่อสร้างทางรถไฟ เด่นชัย- เชียงราย-เชียงของ 37 ล้านบาท
โครงการท่ี 9 : โครงการชำระหนี้เงินกู้สำหรับก่อสร้างโครงการระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะท่ี 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) 626 ล้านบาท
โครงการท่ี 10 : โครงการชำระหนี้เงินกู้สำหรับก่อสร้างทางคู่ นครปฐม-ชุมพร 342 ล้านบาท
-
ซึ่งอย่างที่เห็น งบประมาณส่วนใหญ่ ไปลงกับการจ่ายหนี้ของการลงทุนโครงการทางร้านสายใหม่ และทางคู่
ถ้าเป็นไปตามแผน ในปี 2566 จะต้องเพิ่มงบประมาณให้กับการรถไฟอีกมาเพื่อนำไปจ่ายหนื้ โครงการที่สร้างไปแล้ว ตอนนี้เพื่อให้โครงการมีประโยชน์สูงสุดคุ้มกับการลงทุน ก็ต้องใช้งานเส้นทางให้คุ้มค่า ซึ่งก็ต้องไปฝากความหวังไว้กับการรถไฟ แต่ผมอยากจะฝากไปกับหน่วยงานรับผิดชอบ โดยเฉพาะกรมราง ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแล เพื่อเปิดให้เอกชนร่วมเดินรถบนทางรถไฟให้มากและได้ประโยชน์กับเงินและดอกเบี้ยที่เสียไปให้มากที่สุด!!!!
ให้อยากให้ผมเอางบประมาณของกระทรวงคมนาคม และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องหน่วยงานไหนก็แจ้งมานะครับ
. |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42751
Location: NECTEC
|
Posted: 04/06/2021 10:38 pm Post subject: |
|
|
DSI ตั้ง ที่ปรึกษาคดีพิเศษ เอาผิด อดีตผู้บริหารโกงเงินสหกรณ์ ฐานฟอกเงิน
ออนไลน์เมื่อ ศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 เวลา 16:10 น.
คดี สหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ คืบ DSI แต่งตั้ง ที่ปรึกษาคดีพิเศษ หารือเอาผิดกับอดีตผู้บริหารกับพวก ในความผิดฐานฟอกเงิน
วันที่ 4 มิถุนายน 2564 ตามที่ พันตำรวจโท กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้พันตำรวจโท สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะรองอธิบดีที่กำกับดูแล สั่งการให้ นายระวี อักษรศิริ ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทางอาญา นายธวัชชัย รัตนปรีชาชัย รองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทางอาญา และนายพงษ์ธวัช อ่วมสำอางค์ ผู้อำนวยการส่วนคดีฟอกเงิน 3 ดำเนินการคดีกับอดีตคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ ในความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 นั้น เพื่อให้มีการดำเนินการตามแนวทางที่ชัดเจน และการดำเนินคดีให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน
กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงได้แต่งตั้งที่ปรึกษาคดีพิเศษ ประกอบด้วย
(1) นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ อัยการฝ่ายการสอบสวน 2 สำนักงานอัยการสูงสุด
(2) พันตำรวจเอก ปัญญา กล้าประเสริฐ รองผู้บังคับการตำรวจรถไฟ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ตามคำสั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ 369/2564 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2564 เพื่อดำเนินการกับบุคคลที่กระทำความผิดในสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟเป็นคดีพิเศษ 21/2564 รวมมูลค่าทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดประมาณ 2,285 ล้านบาท เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา เวลา 10.00 น. นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ อัยการฝ่ายการสอบสวน 2 สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ประชุมร่วมกับ นายธวัชชัย รัตนปรีชาชัย รองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทางอาญา ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ นายพงษ์ธวัช อ่วมสำอางค์ ผู้อำนวยการส่วนคดีฟอกเงิน 3 และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 21/2564 ซึ่ง นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ ที่ปรึกษาคดีพิเศษ ได้ให้คำปรึกษาและวางแนวทาง การดำเนินคดีอาญา ตลอดจนให้ข้อแนะนำในการดำเนินการกับทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดให้กับคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อกำหนดรูปแบบสำนวนคดี เพื่อใช้สั่งฟ้องดำเนินคดีกับผู้ต้องหาต่อศาลต่อไป ต่อมาวันนี้ (วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564) เวลา 10.00 น. นายธวัชชัย รัตนปรีชาชัย รองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทางอาญา ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ นายพงษ์ธวัช อ่วมสำอางค์ ผู้อำนวยการส่วนคดีฟอกเงิน 3
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 21/2564 ได้ประชุมหารือกับที่ปรึกษาคดีพิเศษ พันตำรวจเอก ปัญญา กล้าประเสริฐ รองผู้บังคับการตำรวจรถไฟ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีความผิดมูลฐาน ในประเด็นการดำเนินคดีความผิดมูลฐาน และพฤติการณ์ในการกระทำความผิดของผู้ต้องหาแต่ละราย รวมถึงพยานหลักฐานที่สามารถพิสูจน์การกระทำความผิด ความคืบหน้าในการดำเนินคดีความผิดมูลฐาน ตลอดจนหารือประเด็นในเรื่องการโอนสำนวนคดีฟอกเงิน มายังกรมสอบสวนคดีพิเศษวัชรินทร์ ภาณุรัตน์
วัชรินทร์ ภาณุรัตน์
จากนี้ไป เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามนโยบายของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และข้อสั่งการของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในการดำเนินการกับผู้กระทำความผิดทางอาญาในทุกมิติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะเร่งดำเนินการอบสวนขยายผลตามที่คณะที่ปรึกษาแนะนำ และจะทำการยึด หรือ อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด เพื่อรวบรวมทรัพย์สินส่งให้ศาลมีคำสั่งยึด เพื่อส่งคืนให้แก่ผู้เสียหาย และหากเห็นว่าการดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เกิดประโยชน์มากกว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษจะส่งเรื่องให้ สำนักงานป้องกันและปราบการฟอกเงิน (ปปง.) ดำเนินการ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย และสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน ส่งผลสัมฤทธิ์ในทางปฏิบัติ และได้ทรัพย์สินคืนให้ผู้เสียหายโดยเร็ว และจะเร่งรัดติดตามบุคคลที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนทรัพย์ที่ได้ไปจากการกระทำความผิด มาดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 อย่างเด็ดขาด ต่อไป
ดีเอสไอ ตั้ง ที่ปรึกษาคดีพิเศษ เอาผิดผู้บริหารทุจริตสหกรณ์รถไฟ
โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม
เผยแพร่: ศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 เวลา 16:01 น.
ปรับปรุง: ศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 เวลา 16:01 น.
MGR Online - อธิบดีดีเอสไอ ระบุการแต่งตั้ง ที่ปรึกษาคดีพิเศษ เพื่อหารือดำเนินคดีอดีตผู้บริหารสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟกับพวก ในความผิดฐานฟอกเงิน
วันนี้ (4 มิ.ย.) พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินการคดีกับอดีตคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ ในความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ว่า เพื่อให้การดำเนินการตามแนวทางที่ชัดเจน และการดำเนินคดีให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน จึงได้แต่งตั้งที่ปรึกษาคดีพิเศษ ประกอบด้วย นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ อัยการฝ่ายการสอบสวน 2 สำนักงานอัยการสูงสุด และ พ.ต.อ.ปัญญา กล้าประเสริฐ รองผู้บังคับการตำรวจรถไฟ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามคำสั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ 369/2564 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2564 เพื่อดำเนินการกับบุคคลที่กระทำความผิดในสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟเป็นคดีพิเศษ 21/2564 รวมมูลค่าทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดประมาณ 2,285 ล้านบาท
พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวว่า สำหรับการประชุมในวันนี้ (4 มิ.ย) พ.ต.อ.ปัญญา ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีความผิดมูลฐานในประเด็นการดำเนินคดีความผิดมูลฐาน และพฤติการณ์การกระทำความผิดของผู้ต้องหาแต่ละราย รวมทั้งพยานหลักฐานที่สามารถพิสูจน์การกระทำความผิด ความคืบหน้าในการดำเนินคดีความผิดมูลฐาน ตลอดจนหารือประเด็นในเรื่องการโอนสำนวนคดีฟอกเงิน มายังดีเอสไอ โดยจากนี้จะเร่งดำเนินการสอบสวนขยายผลทำการยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อรวบรวมทรัพย์สินส่งให้ศาลมีคำสั่งยึดเพื่อส่งคืนให้แก่ผู้เสียหายต่อไป
Last edited by Wisarut on 05/06/2021 10:46 pm; edited 1 time in total |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42751
Location: NECTEC
|
Posted: 05/06/2021 10:44 pm Post subject: |
|
|
มท.ร่วม รฟท.หารือแนวทางบูรณาการ "โคก หนอง นา โมเดล"
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: เสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564 เวลา 19:03 น.
ปรับปรุง: เสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564 เวลา 19:03 น.
วันนี้ (5 มิ.ย.) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย และ นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) หารือการดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ "โคก หนอง นา โมเดล" ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชน และการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยมี นายสุรศักดิ์ อักษรกุล รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายธนวัฒน์ ปิ่นแก้ว ผู้อำนวยการสถาบันการพัฒนาชุมชน นางสาวนิภา ทองก้อน ผู้อำนวยการสำนักเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชน รศ.วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ผศ.พิเชฐ โสวิทยสกุล ที่ปรึกษาอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และผู้บริหารกรมการพัฒนาชุมชน พร้อมด้วย นายไพบูลย์ สุจิรังกุล วิศวกรใหญ่ฝ่ายการช่างโยธา และคณะผู้บริหารการรถไฟแห่งประเทศไทย, ม.ล.อภิชิต วุฒิชัย ร่วมในการประชุม ผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (video conference) ด้วยโปรแกรม zoom cloud meeting
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานในการสืบสาน รักษา ต่อยอดแนวทางพระราชดำริ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปสู่การสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องชาวไทยอย่างยั่งยืน กรมการพัฒนาชุมชน น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และทฤษฎีใหม่ เป็นหัวใจหลักเชื่อมโยงในทุกภารกิจ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยเชื่อมั่นว่า ปัญหาความยากจนเป็นเรื่องที่สามารถร่วมกันแก้ไขได้ โดยอาศัยการบูรณาการการทำงาน ร่วมกับทั้ง 7 ภาคีเครือข่าย ดึงศักยภาพจุดแข็งของแต่ละหน่วยงานมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา กรมการพัฒนาชุมชน ได้ขับเคลื่อนโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามหลักทฤษฏีใหม่ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา โมเดล จนเกิดแหล่งเรียนรู้ 32 แห่ง ผู้นำต้นแบบ 1,500 คน และเครือข่าย 22,500 คน และในปี 2564 การดำเนินโครงการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ใน 11,141 หมู่บ้าน ปัจจุบันโครงการ โคก หนอง นา พช. มีผู้สนใจเข้าสมัครแล้วกว่า 35,503 ครัวเรือน และจ้างงานสำหรับผู้ได้รับผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) จำนวน 9,157 ราย และเกิดการพัฒนาเป็นพื้นที่เรียนรู้ให้กับประชาชนครอบคลุมทุกภูมิภาค 76 จังหวัด |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42751
Location: NECTEC
|
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42751
Location: NECTEC
|
Posted: 08/06/2021 11:18 pm Post subject: |
|
|
รู้จัก "ชาวไทยเบิ้ง" กับวิวสวยๆ ของพนังกั้นน้ำ-ทางรถไฟลอยน้ำบ้านโคกสลุง ลพบุรี
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: 8 มิถุนายน 2564 เวลา 17:12 น.
ปรับปรุง: 8 มิถุนายน 2564 เวลา 17:12 น.
เมื่อ 2-3 เดือนก่อน หลายคนอาจเห็นภาพสวยๆ ของใหม่ ดาวิกา และเต๋อ ฉันทวิชช์ คู่รักดาราที่โพสต์ภาพวิวงามๆ ของ "พนังกั้นน้ำโคกสลุง" และ "ทางรถไฟโคกสลุง" ใน ต.โคกสลุง อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสัก (ปรับปรุงพนังกั้นน้ำโคกสลุง) และเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางรถไฟขบวนท้องถิ่นวิ่งระหว่างชุมทางบัวใหญ่-ชุมทางแก่งคอย หรือทางรถไฟลอยน้ำเขื่อนป่าสักฯ ภาพวิวบริเวณนี้สวยงามจนทำเอาชาวเน็ตอยากไปตามรอย
ไม่เพียงวิวทิวทัศน์ที่สวยงามเท่านั้น ที่บ้านโคกสลุงยังมีวิถีชีวิตท้องถิ่นที่น่าสนใจ โดยบ้านโคกสลุงตั้งอยู่ทางฝั่งขวาของลำน้ำป่าสัก ห่างจากสันเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ขึ้นไปทางเหนือราว 14 กิโลเมตร โดยชุมชนแห่งนี้มีมาก่อนการก่อสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์นานนับ 100 ปี อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชน เรียนรู้วิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ "ไทยเบิ้ง" หรือไทยเดิ้ง หรือไทยโคราช ซึ่งเดิมอพยพมาจากกรุงเวียงจันทน์ สปป.ลาว และที่ราบสูงโคราชในภาคอีสาน และมาตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณลุ่มน้ำป่าสัก ในพื้นที่อำเภอพัฒนานิคม อำเภอโคกสำโรง อำเภอสระโบสถ์ และอำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี และยังตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายอยู่ในจังหวัดอื่นๆ เช่น นครราชสีมา ชัยภูมิ เพชรบูรณ์และบุรีรัมย์
ชาวไทยเบิ้ง มีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมคล้ายกลุ่มชนไทยภาคกลาง แต่ยังมีภาษา ความเชื่อ เพลงพื้นบ้าน การละเล่น การทอผ้า ที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มชนอยู่ อย่างแรกเลยก็คือการพูดภาษาที่เป็นแบบไทยภาคกลาง แต่สำเนียงเหน่อแบบโคราช มีบางคำเป็นคำเฉพาะของไทยเบิ้งโคกสลุง และมักลงท้ายคำพูดว่า เบิ้ง เหว่ย ด๊อก หรือ เด้อ โดยเฉพาะคำว่า "เบิ้ง" จะเป็นคำติดปากเสมอ จนเป็นที่มาของชื่อ "ไทยเบิ้ง"
ส่วนการแต่งกายของชาวไทยเบิ้งก็เป็นเอกลักษณ์ที่ผู้เฒ่าผู้แก่บางคนยังคงแต่งอยู่ โดยผู้หญิงจะนิยมตัดผมทรงดอกกระทุ่ม ใส่เสื้อเสื้ออีหิ้ว ที่มีลักษณะเหมือนเสื้อสายเดี่ยว นุ่งผ้าโจงกระเบนหรือผ้าโต่ง (ผ้าถุง) มีผ้าขาวม้าเป็นสไบเฉียง ส่วนผู้ชายใส่เสื้อคอกลมผ้าป่าน นุ่งผ้าโจงกระเบน หรือกางเกงขาก๊วย บางคนนุ่งผ้าตาหมากรุก มีผ้าขาวม้าพาดบ่าหรือเคียนเอว และสะพายย่ามอันเป็นเอกลักษณ์ แถมยังนามสกุลยังมีคำว่า "สลุง" อีกด้วย
อาหารเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของชาวไทยเบิ้ง ที่เน้นอาหารแบบเรียบง่าย ใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลจากธรรมชาติมาผลิตและปรุงอาหาร เน้น กินปลาเป็นหลักกินผักเป็นพื้น ไม่นิยมกินอาหารใส่กะทิหรือทอด โดยอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวไทยเบิ้ง เช่น "พริกกะเกลือ" เป็นน้ำพริกชนิดหนึ่ง มีส่วนประกอบคือพริกป่น เกลือ ใบมะกรูด กระเทียม และกำจัด (สมุนไพรชนิดหนึ่ง) ตำปนกันให้ละเอียด สามารถเป็นพื้นฐานของอาหารหลายๆ อย่าง อาทิ คลุกข้าวห่อใบตอง ทำแกงนอกหม้อ (คล้ายห่อหมกแต่ใช้การปิ้งแทนการนึ่ง) หรือจะเป็นเครื่องจิ้มอาหารหรือผลไม้ "เครื่องดำ" ประกอบด้วย พริกแห้ง ตะไคร้ ใบมะกรูด กระเทียม ข่า กำจัด โขลกให้เข้ากันแล้วนำไปคั่วให้หอมเกรียม ใช้สำหรับอาหารประเภทต้มหรือลาบ
นอกจากนั้นก็ยังมีเมนูท้องถิ่นอย่างแกงหัวลาน แกงสามสิบ แกงบุก แกงมันนก แกงบอน แกงไข่น้ำ แกงแย้เหมือดเปราะ ต้มไก่บ้านเครื่องดำใส่ใบมะขามอ่อน เป็นต้น
ชาวไทยเบิ้งอยู่อาศัยในบริเวณนี้มาก่อนการสร้างเขื่อนป่าสักนานนับร้อยปี หลังมีการก่อสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ทำให้วิถีชีวิตของชาวไทยเบิ้งเปลี่ยนไป ชุมชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขณะที่ความเปลี่ยนแปลงนั้นก็เข้ามาทำให้วิถีชีวิตความเป็นไทยเบิ้งหายไปด้วย ทางชุมชนจึงร่วมกันอนุรักษ์วัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดมา ผ่าน "พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านไทยเบิ้ง" ที่จัดจำลองบ้านเรือนแบบไทยเบิ้ง ภายในเรือนจัดเป็นห้องต่างๆ จำลองบรรยากาศให้เหมือนกับการอยู่อาศัยจริง ใต้ถุนเรือนจะเป็นที่แสดงเครื่องมือหาปลา เครื่องมือดักสัตว์ และหัตถกรรมจากไม้ไผ่ ส่วนเพิงอีกสองหลังปลูกไว้จัดแสดงเครื่องมือเกี่ยวกับการทำนา เช่น ไถ ครกตำข้าว รวมถึงยังร่วมกันรักษาเอกลักษณ์ด้านอาหาร การทอผ้า การแสดง และงานประเพณีต่างๆ ด้วย
ส่วนการท่องเที่ยวในสำหรับตำบลโคกสลุงนั้น ภายในชุมชนมี "วัดโคกสลุง"
หรือวัดโคกสำราญ เป็นวัดสำคัญในชุมชน และในหมู่บ้านโคกสลุงยีงมีทิวทัศน์ที่สวยงาม เพราะอยู่ติดกับเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ทางทิศตะวันตก ซึ่งหลังจากสร้างเขื่อนแล้วสภาพพื้นที่อยู่ต่ำกว่าเขื่อน จึงต้องสร้างพนังกั้นน้ำเพื่อป้องกันหมู่บ้าน พนังกั้นน้ำดังกล่าวจึงกลายเป็นจุดท่องเที่ยวและจุดชมวิวทางรถไฟลอยน้ำ และวิวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ที่สวยงาม อีกทั้งยังเป็นจุดกางเต็นท์สำหรับนักท่องเที่ยวที่รักการแคมปิ้งอีกด้วย
ส่วนเส้นทางรถไฟลอยน้ำนั้น ในตำบลโคกสลุงมี "สถานีรถไฟโคกสลุง" ซึ่งเป็นจุดจอดรถไฟขบวนท้องถิ่นที่วิ่งระหว่างชุมทางบัวใหญ่-ชุมทางแก่งคอย โดยสถานีโคกสลุงจะอยู่ระหว่างสถานีเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และสถานีสุรนารายณ์ ในแต่ละวันจะมีรถไฟวิ่งผ่านเพียงไม่กี่เที่ยว เส้นทางรถไฟในบริเวณนี้จะวิ่งเลียบเขื่อนป่าสัก มีทัศนีภาพที่สวยงามมาก นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปเดินถ่ายรูปบนทางรถไฟ รวมถึงถ่ายรูปอยู่บริเวณด้านล่างของเสาตอม่อรถไฟอีกด้วย |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42751
Location: NECTEC
|
Posted: 13/06/2021 4:41 am Post subject: |
|
|
BTL Bangkok Terminal Logistics
JtSpurnrolforeu cmdn1cfc suat sn2:dm1o1r PeMdt ·
เมื่อวันที่ 18 พค 2564 บริษัท BTL ได้ทำการขนส่งสินค้าผ่านแดนแบบต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transportation)
.
จากท่าเรือแหลมฉบังโดยขนส่งทางรถไฟมายังสถานีรถไฟหนองคายและผ่านพิธีการศุลกากร ณ ด่านศุลกากรหนองคาย จากนั้นขนส่งทางรถข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 1 เพื่อส่งสินค้าไปยังโรงงานลูกค้าในเวียงจันทน์ สปป. ลาว
.
ด้วยจังหวัดหนองคายเป็นจุดเชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูง ซึ่งเป็นเมกะโปรเจกต์ เพื่อช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทย ผ่านระบบคมนาคมที่เชื่อมโยงไทยไปสู่อาเซียนและต่อไปถึงประเทศจีน โดยในอนาคตจะเชื่อมต่อไปถึงยุโรปตะวันออกได้อีกด้วย
.
จึงถือเป็นจุดเชื่อมต่อที่มีศักยภาพ และมีความสำคัญในการขนส่งสินค้าผ่านเส้นทางดังกล่าว
https://www.facebook.com/BangkokTerminalLogistics/posts/325530072498298 |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44640
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 18/06/2021 3:14 pm Post subject: |
|
|
บอร์ดรฟท.เห็นชอบรื้อโครงสร้างแก้ไขข้อบังคับให้อำนาจผู้ว่าฯสั่งงานรอง7คนตามภารกิจ
ผู้จัดการรายวัน 360 องศา ฉบับวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2564
ผู้จัดการรายวัน360 - บอร์ด รฟท.เห็นชอบ ปรับปรุงโครงสร้าง รฟท. แก้ไขข้อบังคับการ รถไฟฯ ฉบับที่ 2.1 เลิกระบบแบ่งงานรองผู้ว่าฯ เป็นสายงานแบบเฉพาะเจาะจง เปลี่ยนเป็นให้อำนาจผู้ว่าฯรฟท.สั่ง และมอบหมายเป็นภารกิจ โดยยังมีรองผู้ว่าการ 7 คนเท่าเดิม ชี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลง ต้องปรับการทำงานให้คล่องตัว มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นางสาวเจษฎาพร ยุทธนวิบูลย์ชัย ผู้ช่วย ผู้ว่าการด้านบริหาร การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท. ที่มีนายจิรุฒม์ วิศาลจิตร เป็นประธาน วันที่ 16 มิ.ย.ได้มีมติเห็นชอบการปรับปรุงโครง สร้างองค์กรของ รฟท. โดยแก้ไขข้อบังคับการรถไฟฯ ฉบับที่ 2.1 การแบ่งส่วนงานและอำนาจความรับผิดชอบของผู้บริหาร พ.ศ. 2564 ให้ถือใช้เพียงฉบับเดียว เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน หรือสับสนในอำนาจความรับผิดชอบ และเกิดความถูกต้องคล่องตัวในการปฏิบัติงาน โดยไม่ส่งกระทบต่ออำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบ
โดยโครงสร้าง ในปัจจุบัน การแบ่งส่วนงานรฟท. เป็นข้อบังคับการรถไฟฯ ฉบับที่ 2.1 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 ลงวันที่ 2 พ.ย. 2558 แบ่งส่วนงานและหน้าที่บริหารขึ้นตรงกับคณะกรรมการรถไฟฯ ได้แก่ กลุ่มยุทธศาสตร์ กลุ่มอำนวยการ กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มบริหารรถไฟฟ้า กลุ่มธุรกิจเดินรถ กลุ่มธุรกิจการซ่อมบำรุงรถจักรและล้อเลื่อน กลุ่มธุรกิจบริหารทรัพย์สิน ส่วนงานผู้ช่วยผู้ว่าการด้านบริหาร ส่วนงานผู้ช่วยผู้ว่าการด้านปฏิบัติการ โดยมี รองผู้ว่าฯ จำนวน 7 คน ผู้ช่วยผู้ว่าฯ 2 คน
ส่วนโครงสร้างใหม่นั้น จะให้อำนาจผู้ว่าฯรฟท.เป็นผู้มอบหมายหน้าที่ภารกิจการกำกับดูแลให้กับรองผู้ว่าการ รฟท. แต่ละคน ซึ่งรองผู้ว่าการยังมีจำนวน 7 คน โดยปรับเปลี่ยนเป็น รองผู้ว่าการ 1-รองผู้ว่าการ 7 ไม่มีการแบ่งสายงาน เช่น รองผู้ว่าฯกลุ่มยุทธศาสตร์ รองผู้ว่าฯกลุ่มอำนวยการ รองผู้ว่าฯกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน รองผู้ว่าฯกลุ่มบริหารรถไฟฟ้า ฯลฯ เหมือนในปัจจุบัน ซึ่งเป็นโครงสร้างใหม่นี้จะคล้ายกับโครง สร้างเดิมที่ รฟท.เคยใช้เมื่อช่วงปี 2553- 2558
โดยเห็นว่าการปรับโครงสร้างดังกล่าว จะมีความสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในการแข่งขันขององค์กรที่ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) มีความหลากหลายเพิ่มมากขึ้น ขณะที่รูปแบบการกำกับดูแลและการแบ่งงานเดิม มีการกำหนดลักษณะการบริหารจัดการแบบเฉพาะเจาะจงมากเกินไป และจะทำให้การทำงานมีเอกภาพ มีประสิทธิภาพ บริหารจัดการได้อย่างบูรณาการ ในทิศทางเดียวกัน มีผลสำเร็จของงานมากขึ้น
ซึ่งแก้ไขข้อบังคับการรถไฟฯ ฉบับที่ 2.1 นั้น ต้องนำเสนอต่อกระทรวงคมนาคม เพื่อพิจารณาและเสนอสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และคณะรัฐมนตรี เมื่อได้รับความเห็นชอบจึงจะเริ่มดำเนินการปรับโครงสร้างได้
รายงานข่าวแจ้งว่า การปรับโครงสร้างใหม่ และให้อำนาจผู้ว่าฯรฟท.มอบหมายงานให้รองผู้ว่าการ รฟท. จากเดิมที่ขึ้นตรงกับบอร์ดรฟท. เป็นการปรับการบริหารงานบุคคล ไม่กระทบ ต่อจำนวนรองผู้ว่าการ และอัตราเงินเดือนใดๆ แต่จะมีการเปลี่ยนชื่อเรียกในโครงสร้างใหม่ และไม่มีผลกระทบต่อการแบ่ง 3 หน่วยธุรกิจ และ 1 บริษัทลูก แต่อย่างใด. |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44640
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 18/06/2021 3:15 pm Post subject: |
|
|
บอร์ดรฟท.เห็นชอบรื้อโครงสร้างแก้ไขข้อบังคับให้อำนาจผู้ว่าฯสั่งงานรอง7คนตามภารกิจ
ผู้จัดการรายวัน 360 องศา ฉบับวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2564
ผู้จัดการรายวัน360 - บอร์ด รฟท.เห็นชอบ ปรับปรุงโครงสร้าง รฟท. แก้ไขข้อบังคับการ รถไฟฯ ฉบับที่ 2.1 เลิกระบบแบ่งงานรองผู้ว่าฯ เป็นสายงานแบบเฉพาะเจาะจง เปลี่ยนเป็นให้อำนาจผู้ว่าฯรฟท.สั่ง และมอบหมายเป็นภารกิจ โดยยังมีรองผู้ว่าการ 7 คนเท่าเดิม ชี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลง ต้องปรับการทำงานให้คล่องตัว มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นางสาวเจษฎาพร ยุทธนวิบูลย์ชัย ผู้ช่วย ผู้ว่าการด้านบริหาร การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท. ที่มีนายจิรุฒม์ วิศาลจิตร เป็นประธาน วันที่ 16 มิ.ย.ได้มีมติเห็นชอบการปรับปรุงโครง สร้างองค์กรของ รฟท. โดยแก้ไขข้อบังคับการรถไฟฯ ฉบับที่ 2.1 การแบ่งส่วนงานและอำนาจความรับผิดชอบของผู้บริหาร พ.ศ. 2564 ให้ถือใช้เพียงฉบับเดียว เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน หรือสับสนในอำนาจความรับผิดชอบ และเกิดความถูกต้องคล่องตัวในการปฏิบัติงาน โดยไม่ส่งกระทบต่ออำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบ
โดยโครงสร้าง ในปัจจุบัน การแบ่งส่วนงานรฟท. เป็นข้อบังคับการรถไฟฯ ฉบับที่ 2.1 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 ลงวันที่ 2 พ.ย. 2558 แบ่งส่วนงานและหน้าที่บริหารขึ้นตรงกับคณะกรรมการรถไฟฯ ได้แก่ กลุ่มยุทธศาสตร์ กลุ่มอำนวยการ กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มบริหารรถไฟฟ้า กลุ่มธุรกิจเดินรถ กลุ่มธุรกิจการซ่อมบำรุงรถจักรและล้อเลื่อน กลุ่มธุรกิจบริหารทรัพย์สิน ส่วนงานผู้ช่วยผู้ว่าการด้านบริหาร ส่วนงานผู้ช่วยผู้ว่าการด้านปฏิบัติการ โดยมี รองผู้ว่าฯ จำนวน 7 คน ผู้ช่วยผู้ว่าฯ 2 คน
ส่วนโครงสร้างใหม่นั้น จะให้อำนาจผู้ว่าฯรฟท.เป็นผู้มอบหมายหน้าที่ภารกิจการกำกับดูแลให้กับรองผู้ว่าการ รฟท. แต่ละคน ซึ่งรองผู้ว่าการยังมีจำนวน 7 คน โดยปรับเปลี่ยนเป็น รองผู้ว่าการ 1-รองผู้ว่าการ 7 ไม่มีการแบ่งสายงาน เช่น รองผู้ว่าฯกลุ่มยุทธศาสตร์ รองผู้ว่าฯกลุ่มอำนวยการ รองผู้ว่าฯกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน รองผู้ว่าฯกลุ่มบริหารรถไฟฟ้า ฯลฯ เหมือนในปัจจุบัน ซึ่งเป็นโครงสร้างใหม่นี้จะคล้ายกับโครง สร้างเดิมที่ รฟท.เคยใช้เมื่อช่วงปี 2553- 2558
โดยเห็นว่าการปรับโครงสร้างดังกล่าว จะมีความสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในการแข่งขันขององค์กรที่ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) มีความหลากหลายเพิ่มมากขึ้น ขณะที่รูปแบบการกำกับดูแลและการแบ่งงานเดิม มีการกำหนดลักษณะการบริหารจัดการแบบเฉพาะเจาะจงมากเกินไป และจะทำให้การทำงานมีเอกภาพ มีประสิทธิภาพ บริหารจัดการได้อย่างบูรณาการ ในทิศทางเดียวกัน มีผลสำเร็จของงานมากขึ้น
ซึ่งแก้ไขข้อบังคับการรถไฟฯ ฉบับที่ 2.1 นั้น ต้องนำเสนอต่อกระทรวงคมนาคม เพื่อพิจารณาและเสนอสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และคณะรัฐมนตรี เมื่อได้รับความเห็นชอบจึงจะเริ่มดำเนินการปรับโครงสร้างได้
รายงานข่าวแจ้งว่า การปรับโครงสร้างใหม่ และให้อำนาจผู้ว่าฯรฟท.มอบหมายงานให้รองผู้ว่าการ รฟท. จากเดิมที่ขึ้นตรงกับบอร์ดรฟท. เป็นการปรับการบริหารงานบุคคล ไม่กระทบ ต่อจำนวนรองผู้ว่าการ และอัตราเงินเดือนใดๆ แต่จะมีการเปลี่ยนชื่อเรียกในโครงสร้างใหม่ และไม่มีผลกระทบต่อการแบ่ง 3 หน่วยธุรกิจ และ 1 บริษัทลูก แต่อย่างใด. |
|
Back to top |
|
|
|