ลุยเดี่ยว สำรวจเส้นทางรถไฟสายมรณะ ช่องเขาขาด

[mirage_II]

ทางเข้าหอประวัติพระสังฆราช ต้องเข้าวัดเหนือก่อนแล้วเลี้ยวซ้ายเลาะข้างเชิงสะพานข้ามแม่น้ำแควหน้าวัด ก็จะเห็นเจดีย์สวยนี้อยู่ทางขวา โดยข้างหน้ามีสวนหิน ซึ่งมีก้อนหินใหญ่ตั้งอยู่ข้างหน้า 3 ก้อนครับ (ในภาพจะเห็น 2 ก้อนทางซ้ายของทางเข้าเจดีย์)


หินก้อนใหญ่ทางขวาของทางเข้าเจดีย์ มีจารึกชื่อเต็มของสถานที่แห่งนี้ด้วย


หันไปทางซ้ายมือ ซึ่งเป็นหินอีก 2 ก้อนทางซ้ายของทางเข้า ก้อนทางขวาดูคล้ายกับลิงกอริล่าหรือรูปสลักหินยักษ์โมอายที่ เกาะอีสเตอร์ ประเทศชิลี เลยนะครับ


หันไปดู แสงที่ส่องเจดีย์ ที่มีการเปลี่ยนสีไปอย่าง ช้าๆ ดูแล้วชวนให้เดา ว่าสีต่อไปจะเป็นอะไร (ในภาพเป็นเจดีย์องค์เดียวกันนะครับ เพียงแต่นำสองภาพมาต่อให้เห็นความแตกต่างเท่านั้นนะครับ)

[mirage_II]

https://www.youtube.com/v/HJXxcZ6X42w&feature=youtu.be
คลิ๊ปวิดีโอของเจดีย์เปลี่ยนสี (เกิดจากแสงไฟที่ส่องเปลี่ยนสี) ของหอประวัติ พระสังฆราชฯ ที่ค่อยๆ เปลี่ยนสีอย่างช้าๆ ครับ


ชมความงามยามค่ำคืนเสร็จแล้ว ก็หันกลับมามองรถก่อนจะกลับออกไป สังเกตุเห็นท้องฟ้าข้างบนดูสวยคล้ายกับฉากในภาพยนต์เรื่องแบทแมนเลยนะครับ


ผมใช้ถนนเล็กๆ ที่ลัดเลาะผ่านตัวเมือง เพื่อไปยังที่พักคืนนี้ เพราะไม่อยากออกไปกลับรถที่ถนนใหญ่ (ถนนแสงชูโต) 2 ครั้ง ในภาพผ่านย่านคนจีน ดูแล้วคล้ายกับไชน่าทาวน์ หรือเยาวราชเลยนะครับ


ในที่สุดก็มาถึงที่พักจนได้ โดยอาศัย GPS Pocket PC ช่วยครับ

[mirage_II]

ก่อนเดินทางต่อด้วยภาพ ขอกางแผนที่เดินทางเฉพาะในตัวเมืองกาญจน์ให้ดูกันก่อนตามเส้นสีม่วงครับ


หลังจากได้แวะไปเที่ยวชมเจดีย์เปลี่ยนสี (ตามแสง) ของหอประวัติ พระสังฆราชฯ แล้ว ก็ตรงมาที่พัก ตามถนนด้านใน เพราะไม่อยากออกไปถนนใหญ่ ข้างนอกที่ต้องกลับรถ 2 ครั้งครับ


ห้องพักของเราอยู่ชั้นสอง โถงบันไดมีเก้าอี้นั่งสวยๆ ให้ด้วยครับ


ผมจองไว้ 2 ห้องได้คนละฟากตึก ห้องผมอยู่ทางซ้าย ด้านหน้าอาคาร ติดกับประตูออกไประเบียงข้างนอกครับ


ลองซนเปิดประตูออกไปยังระเบียงด้านนอกสักหน่อย ก็จะเห็นปากซอยอยู่ไม่ไกลครับ

[mirage_II]

บรรยากาศระเบียงด้านหน้านี้ดีจัง ขอเซลฟี่ตัวเองไว้สักภาพครับ


กลับเข้าไปในห้องกันก่อน(ห้องที่คุณแม่กับหลานพัก) เจ้าของที่พักเข้ามาคุยด้วยอย่างเป็นกันเองครับ


แล้วกลับมาห้องตัวเอง เห็นกระจกเงาก็อดเซลฟี่อีกไม่ได้ครับ


เดินออกมาปากซอยสักหน่อย ดูทำเลร้านอาหารในวันพรุ่งนี้ และแสงสีริมถนนสักหน่อยครับ


หันไปดูโคมไฟกลางถนน ที่สวยงามเป็นของแถมก่อนเข้านอนครับ

[mirage_II]

เช้าแล้ว... เนื่องจากเป็นห้องหัวมุม จึงมีหน้าต่าง 2 ฝั่ง ได้กำไรกว่าห้องอื่นๆ


ลองเปิดม่านดูวิวข้างนอกจากในห้องสักหน่อยครับ หน้าต่างตรงหน้าห้องน้ำ(บานเล็ก) จะมองเห็นปากซอย ที่เดี๋ยวเราต้องออกไปทานข้าวเช้าข้างนอก ก่อนเช็คเอาท์ออกไปครับ


พอมีเวลาออกไปชมวิวระเบียงข้างนอกยามเช้า กันสักหน่อยครับ


มองไปทางปากซอย สังเกตุเห็นอะไรแว๊บๆ โผล่ขึ้นมาเหนือหนังคา อาคารด้านหน้า อ้อ..เจ้าปลาทองโคมไฟกลางถนนนี่เอง ทำได้สวยมากครับ


ก่อนจะออกไปจากระเบียงด้านหน้าที่พัก ไม่ลืมเซลฟี่ตัวเองสักภาพครับ

[mirage_II]

ไปหาอะไรทานที่ปากซอยกันครับ พอดีมีอาหารที่ซื้อไว้เมื่อวาน เลยนำไปทานด้วย ไม่งั้นเก็บไว้คงจะเสียได้


ถึงปากซอยหันไปทางขวา จะเห็นร้านอาหารอยู่ตรงโน้น ตามที่เจ้าของที่พักแนะนำเราครับ


เดินมาไม่ไกลก็ถึงร้านอาหารที่เห็นแล้ว เป็นร้านแบบนี้ดูท่าจะราคาไม่แพงนะครับ


มองไปที่ถนน ชอบใจเจ้าโคมไฟรูปปลาคู่ เดี๋ยวนี้แทบทุกจังหวัด นิยมสร้างโคมโฟเป็นรูปสัญญลักษณ์อะไรบางอย่างของจังหวัดกันหมดแล้วนะครับ

[mirage_II]

เข้ามาในร้าน แหงนขึ้นไปดูเมนูอาหารพร้อมราคามีติดไว้บนผนัง ไม่ตัองกังวลตอนเช็คบิลครับ


ทานอิ่มแล้วก็เซลฟี่ตัวเอง เพื่อบอกว่า เติมพลังแล้วพร้อมลุยได้ครับ


ทานข้าวอิ่มแล้วก็เดินกลับมายังปากซอยเข้าไปที่พักละ จะเห็นแผ่นป้ายชื่อที่พักอยู่บนเสาไฟฟ้าข้างบน(วงกลมม่วง) อย่างไม่ชัดเจนนัก อ้าว..ร้านอาหารหัวมุมเปิดแล้ว หลังจากเรากินอิ่มแล้ว คงเปิดเวลา 10 โมงเช้านะครับ เพราะเห็นปิดดึก (เมื่อกี้ตอนพวกเราเดินออกมาร้านยังปิดอยู่)


มาถึงที่พักละครับ เป็นอาคาร 2 ชั้น เมื่อคืนดูเหมือนจะเป็น 3 ชั้นด้วยซ้ำ


ตอนกำลังขึ้นรถ เจ้าเค๊กเข้าใจหาจุดถ่ายภาพสวยๆ หน้าประตูเข้าอาคารที่พักนะครับ

[mirage_II]

ได้เวลาออกเดินทางต่อกันแล้วครับ ออกมาถนนใหญ่ (ถ.แสงชูโต) ไม่ไกลก็ถึงสี่แยก (สามแยกสองฝั่งมาต่อกันเยื้องๆ) มีหอนาฬิกาที่เพิ่งสร้างได้มา 3 ปี (เห็นภาพในกูเกิ้ลสตรีทถ่ายไว้ขณะกำลังสร้างในปี พ.ศ.2556) ถ้าหากเลี้ยวขวาก็จะออกไปถนนเลี่ยงเมือง และตรงไปยัง จ.สุพรรณบุรี ได้ครับ


ถัดมาไม่ไกลก็ถึงปากทางเข้าไปวัดเหนือ ที่เราไปเมื่อคืน ผมอยากเห็นภาพตอนกลางวันว่าเป็นอย่างไร คิดว่าไม่น่าเสียเวลานัก แค่จะไปมองจากข้างนอกเหมือนเมื่อคืนเท่านั้นครับ

เข้ามาตามถนนบ้านเหนือ ผ่านสี่แยกตัดกับถ.กรมพระราชวังบวร ซึ่งเป็นถนนวันเวย์ย้อนกลับไปยัง ถนนใหญ่ตรงสี่แยกหอนาฬิกานะครับ จากภาพจะเห็นแท่งหินใหญ่ตั้งอยู่ ดูเผินๆ นึกว่าเป็นตู้ไปรษณีย์โบราณ แต่ไม่ใช่นะครับ เป็นที่ปิดประกาศ ซึ่งปัจจุบันคงเลิกใช้ แล้ว แต่คงจะสงวนไว้เป็นเป็นโบราณวัตถุนะครับ


เลยสี่แยกตัดกับถนนกรมพระราชวังบวร มา ถนนก็โค้งขวา มองเห็นซุ้มประตูวัดเหนือ ตรงหน้าวัดจะมีวงเวียนที่มีไฟจราจรด้วย เพราะเป็น 4 แยกเฉียงๆ (ความจริงมีอีกแยกซ่อนอยู่ด้วย ก่อนขึ้นสะพานข้างหน้า เป็นถนนเลียบแม่น้ำแคว ชื่อว่า ถนนสองแคว ดูเหมือนจะงงๆ แต่ไม่ยาก เพราะถนนทางซ้ายใกล้ๆ นี้เป็นวันเวย์ห้ามเลี้ยวเข้าไป ถ้าจะเลี้ยวซ้ายต้องไปตามถนนสองแควเท่านั้น)

ที่น่าสนใจคือ ซุ้มประตูวัดที่เห็นนั้นปิดครับ ทีแรกก็นึกสงสัยว่าเขามีงานอะไรถึงปิด แต่สังเกตุดีๆ ว่าทางขวามือของซุ้มประตู มีการตัดกำแพงเปิดเป็นช่องทางเข้าวัดเลย คงเป็นเพราะว่าซุ้มประตูนี้อยู่ใกล้สะพานมากเกินไป รถที่จะเข้าวัดอาจขับเลย หรือ ต้องเบรคกระทันหันเพื่อเข้าวัด จนรถที่ลงสะพานมาหยุดไม่ทัน อาจชนท้ายได้ ทางวัดเลยเลื่อนทางเข้าไปอีกนิดนึงครับ

[mirage_II]

ไฟเขียวแล้ว ปกติสามารถเลี้ยวเข้าวัดได้เลย แต่ผมขอไปชมเจดีย์หอประวัติพระสังฆราชฯ จากบนสะพานก่อนครับ


รถวิ่งผ่านแผ่นป้ายเชิงสะพานแล้วก็หันไปดู องค์พระเจดีย์หอประวัติพระสังฆราชฯ สักหน่อยครับ


มองไปข้างหน้า ใกล้จะถึงเชิงสะพานฝั่งโน้นแล้ว


ลงสะพานไปแล้วก็กลับรถ ย้อนขึ้นสะพานมา เพื่อดูองค์เจดีย์ในอีกมุมมอง ครับ

[mirage_II]

ลงจากสะพานก็เลี้ยวซ้ายเข้าวัด ตรงไปหลังวัด ลงเนินแล้ว เลี้ยวขวาก็จะเห็นหอประวัติ พระสังฆราชฯ อยู่ข้างหน้าครับ


มีทางเข้าไปข้างในอยู่ทางขวาขององค์พระเจดีย์ฯ มีก้อนหินใหญ่ตั้งอยู่ 3 ก้อน แต่ละก้อนจะมีความแตกต่างกันมาก ก้อนขวาสุดติดทางเข้าจารึกชื่อสถานที่่แห่งนี้ไว้ครับ


มองกลับไปยังหินอีก 2 ก้อนที่ตั้งอยู่ทางซ้ายมือของทางเข้า หินก้อนขวานั้นดูแล้วคล้ายกับคนโบราณถูกเจาะจมูกเลยนะครับ


หินก้อนซ้ายสุด มีรูปสลักลายเส้นของสมเด็จพระสังฆราช และพระนามของพระองค์ อยู่บนหินก้อนเล็กๆ อีกก้อนที่อยู่ใกล้ๆ ครับ