ข่าวเกี่ยวกับ "ที่ดิน" ของ "รฟท."

[Mongwin]

ปัญหาระดับชาติ!! พ่อค้า-ประชาชนยื่นหนังสื่อร้องอดีตนายกฯ'ชวน'ช่วยเร่งแก้ปัญหาลิงล้นเมือง
Source - เว็บไซต์แนวหน้า
Sunday, February 11, 2024 19:11

ตัวแทนพ่อค้าประชาชนและชาวตลาดในเขตเทศบาลเมืองลพบุรี ยื่นหนังสื่ออดีตนายกชวนช่วยเร่งแก้ปัญหาลิงลพบุรีหลังทำเศรษฐกิจพัง หลังยื่นให้นายกรัฐมนตรีแล้วแต่กลัวล่าช้า ขอให้ฝ่ายค้านช่วยกระตุ้น

เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 11 กุมภาพันธุ์ 2567 ที่บริเวณศาลลูกศร ตำบลท่าหิน อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ทางนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมคณะได้เดินทางมาชมงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ ประจำปี 2567โดยการเดินทางมาในครั้งนี้ ได้กราบหลวงพ่อถม พร้อมปล่อยปลา ก่อนเดินทางมาไหว้ศาลลูกศรหรือศาลหลักเมืองของจังหวัดลพบุรี หลังจากไหว้แล้วได้มีกลุ่มพ่อค้า ประชาชน ชาวตลาดย่านเศรษฐกิจในตัวเมืองลพบุรี ซึ่งนำโดย นายสุนทร ศักดิ์ศิรินนท์ ตัวแทนพ่อค้าประชาชนชาวจังหวัดลพบุรี ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาลิงล้นเมือง สร้างความเดือดร้อนอย่างหนัก ทั้งแย่งสิ่งของ ทำลายทรัพย์สิน และ ปัญหาอื่นๆอีก

นอกจากปัญหาลิงแล้วยังมีปัญหาจากการรถไฟ กรมธนารักษ์ ขึ้นค่าเช่าที่ดินร้านค้าจนสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านร้านตลาดอย่างหนัก เพราะว่าลิงก็สร้างปัญหา ส่วนราชการก็ขึ้นค่าเช่า แทบทุกเดือน ทุกปี จนทำให้เศรษฐกิจในย่านนี้เจ้งกันเป็นแถบย้ายร้านหนีไปเปิดที่อื่น ปล่อยตึกรามบ้านช่องร้างจนเกือบหมดแล้ว ชาวบ้านสุดที่จะทนแล้วเพราะไม่มีหน่วยงานใดให้การช่วยเหลืออย่างจริงจังเลย

นายไพโรจน์ ลือยาม หนึ่งในตัวแทนพ่อค้าประชาชนชาวตลาดลพบุรี เปิดเผยว่า อยากขอให้ทาง ทางชวนได้เร่งติดตามคสามคืบหน้าการแก้ไขปัญหาลิงลพบุรี การการขึ้นค่าเช่าของส่าวนราชการ ทั้งการรถไฟ และกรมธนารักษ์ที่ขึ้นค่าเช่าตลอดจนชาวบ้านเดือดร้อนกันหมด ทั้งลิงทั้งราชการจนทำให้ตลาดเจ๊งอย่างที่เห็น ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับเศรษฐกิจเลย โดยทางชาวบ้านได้ยื่นหนังสือร้องเรียนกับทางนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ไปแล้วเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่เกรงเรื่องจากล่าช้า จึงขอยื่นผ่านท่านอดีตนายกชวน หลีกภัย ให้ช่วยเร่งอีกแรงก่อนที่ปัญหาจะบานปลายไปมากกว่านี้จนเกิดเป็นปัญหาที่ใหญ่จนแก้ไขไม่ได้

[Mongwin]

"นายก ชุติมา" จ่อชงสภา ทต.ท่าเสา เร่งผลักดันงบกว่า 60 ล้าน หนุน 3 โครงการ ผลิตประปาเต็มรูปแบบ 10 หมู่บ้าน
Source - เว็บไซต์สยามรัฐ
Sunday, February 11, 2024 17:54

"นายก ชุติมา"จ่อชงสภา ทต.ท่าเสา นำทีมผู้บริหาร ฯ -ปลัด-ผอ.กองช่าง เร่งผลักดันงบกว่า 60 ล้าน หนุน 3 โครงการ ติดตั้งแพสูบน้ำน่าน ขยายระบบผลิตน้ำประปาและวางท่อส่งน้ำประปาเต็มรูปแบบ 10 หมู่บ้าน ทั้งตำบล "เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุง สุข" ให้กับประชาชนเขตเทศบาลมีน้ำใช้อย่างพอเพียง ไม่เดือดร้อนขัดสน-ซื้อน้ำประปาในราคาแพง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุมผู้บริหารเทศบาลตำบลท่าเสา อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ นางชุติมา อาจณรงค์กร นายกเทศมนตรีตำบลท่าเสา พร้อมด้วย นางพัชราภรณ์ นาคพรหม นางสาวพิราวรรณ จันทร รองนายกฯ ร.ต.อ วุฒิพงษ์ เพ็ชรเกิด เลขานุการนายกฯ ว่าที่ ร.ท.ธรรมรัตน์ สวนสุข ปลัดเทศบาลตำบลท่าเสา และ นายพิชัย เพิ่มพูลวัฒนะกุล ผู้อำนวยการกองช่าง ร่วมประชุมสรุปโครงการก่อสร้างโรงสูบน้ำดิบจากแม่น้ำน่านพร้อมท่อส่งน้ำดิบ เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งและปัญหาการขาดแคลนน้ำประปาให้กับประชาชนในพื้นที่ตำบลท่าเสา ทั้ง 10 หมู่บ้าน ประกอบด้วย 1.บ้านคลองห้วยไผ่ 2.บ้านหนองบัว 3.บ้านหนองผา-นาโปร่ง 4.บ้านหนองคำฮ้อย 5.บ้านม่อนดินแดง 6.บ้านบนดง 804 7.บ้านดงตะขบ 8.บ้านดงตะขบ 9.บ้านหนองหิน 10.บ้านม่อนดินแดง จำนวนประชากรกว่า 20,000 คน เกือบ 8,000 ครัวเรือน ปัจจุบันเทศบาลจ่ายน้ำประปาให้กับประชาชนในพื้นที่ 3 หมู่ เช่น หมู่ 5 ม่อนดินแดง หมู่ 8 บ้านดงตะขบ และ หมู่ 10 ม่อนดินแดง ด้วยกำลังการผลิตน้ำประปาของทางเทศบาลตำบลท่าเสา ส่วนอีก 7 หมู่บ้านต้องซื้อน้ำประปาจากพื้นที่เทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ อาทิ หมู่ 1.บ้านคลองห้วยไผ่ 2.บ้านหนองบัว 3.บ้านหนองผา-นาโปร่ง 4.บ้านหนองคำฮ้อย 6.บ้านบนดง804 7.บ้านดงตะขบ และ หมู่9.บ้านหนองหิน เพื่อให้ประชาชนได้มีน้ำอุปโภคบริโภคใช้อย่างพอเพียง

ที่ผ่านมา เทศบาลตำบลท่าเสา ได้ให้บริการน้ำประปาในเขตตำบลท่าเสา ตั้งแต่ปี 2546 โดยมีครัวเรือนทั้งหมดกว่า 6,000 ครัวเรือน ระบบผลิตน้ำประปาที่ทางเทศบาลตำบลท่าเสาดำเนินการเองไม่สามารถผลิตและจ่ายให้ได้ครอบคลุมทั้งหมด จึงติดต่อประสานงานกับทางเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ เพื่อจัดซื้อน้ำประปาจากเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์มาแจกจ่ายให้กับประชาชนในเขตตำบลท่าเสา โดยจัดซื้อน้ำในแต่ละปี ด้วยประมาณ 9,000,000 - 10,000,000 บาท/ต่อปี ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายเป็นเงินจำนวนมากติดต่อกันมาหลายปี ส่งผลกระทบต่องบประมาณในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านอื่นไม่เพียงพอ

เทศบาลได้มีน้ำประปาใช้อย่างเพียงพอ โดยมีการจ้างวิศวกรเข้ามาดำเนินการศึกษาออกแบบแพสูบน้ำจากแม่น้ำน่าน พร้อมเส้นทางการ

จนกระทั่งต่อมาในปีพุทธศักราช 2564 ทางเทศบาลตำบลท่าเสา ได้เริ่มโครงการแก้ไขปัญหาเรื่องระบบน้ำประปาเพื่อให้ประชาชนในเขตวางท่อส่งน้ำผ่านค่ายทหารมณฑลทหารบกที่ 35 "ค่ายพิชัยดาบหัก" ด้วยระยะทางเกือบ 5 กิโลเมตร เพื่อส่งน้ำไปยังพื้นที่กักเก็บน้ำหนองช้างเพรียง แหล่งพักน้ำขนาดใหญ่ พื้นที่ตั้งโรงสูบน้ำดิบและแหล่งผลิตน้ำประปาของเทศบาลตำบลท่าเสา เพื่อแจกจ่ายน้ำให้กับประชาชนทั้งหมด 10 หมู่บ้าน

ล่าสุด เทศบาลตำบลท่าเสา ได้มีการออกแบบเตรียมความพร้อมของโรงสูบน้ำดิบจากแม่น้ำน่านพื้นที่มณฑลทหารบกที่ 35 พร้อมท่อส่งน้ำดิบด้วยระยะทางประมาณ 4,800 เมตร เพื่อส่งน้ำมายังบริเวณพื้นที่กักเก็บน้ำหนองช้างเพรียง แหล่งพักน้ำขนาดใหญ่ พื้นที่ตั้งโรงสูบน้ำดิบและแหล่งผลิตน้ำประปาของเทศบาลตำบลท่าเสา ซึ่งจะต้องผ่านพื้นที่หลายแห่งประกอบด้วย ค่ายทหารจากมณฑลทหารบกที่35 พื้นที่แขวงทางหลวงอุตรดิตถ์ที่ 1 พื้นที่การรถไฟแห่งประเทศไทย(อุตรดิตถ์) และ พื้นที่จากกรมเจ้าท่า(แพร่) ซึ่งได้รับอนุญาตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อวางแผนดำเนินการจัดการวางท่อระบบส่งน้ำดิบตั้งแต่แม่น้ำน่านจนถึงแหล่งพักน้ำขนาดใหญ่ พื้นที่ตั้งโรงสูบน้ำดิบและแหล่งผลิตน้ำประปาของเทศบาลตำบลท่าเสา เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำประปาให้กับประชาชนทั้ง 10 หมู่บ้าน มีน้ำอุปโภคบริโภคอย่างพอเพียง

นางชุติมา นายกเทศมนตรีบาลตำบลท่าเสา กล่าวว่า คณะผู้บริหารเทศบาลตำบลท่าเสาพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ ฯ , ปลัดเทศบาล , ผู้อำนวยการกองช่าง และ เจ้าหน้าที่ส่วนเกี่ยวข้องได้มีการประชุมหารือกันเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำประปาในพื้นที่เทศบาลตำบลท่าเสาให้กับชาวบ้านทั้ง 10 หมู่บ้าน ได้มีน้ำอุปโภคบริโภคอย่างพอเพียง ปัจจุบันเทศบาลตำบลท่าเสามีน้ำดิบในการผลิตน้ำประปาเพียง 3 หมู่บ้านจาก 10 หมู่บ้าน ต้องซื้อน้ำประปาจากทางเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ ปีละ 9-10 ล้านบาท ซื้อติดต่อกันมานานหลายปี ส่งผลงบประมาณของทางเทศบาลที่มีอยู่ จึงได้ร่วมกันหาทางออกระบบน้ำประปาเต็มรูปแบบ ด้วยการดึงน้ำจากแม่น้ำน่านผ่านระบบโรงสูบน้ำมาลงพื้นที่กักเก็บน้ำหนองช้างเพรียง แหล่งพักน้ำขนาดใหญ่ พื้นที่ผลิตน้ำประปาของเทศบาลตำบลท่าเสา ด้วยการจัดหาวิศวกรออกแบบแพสูบน้ำดิบจากแม่น้ำน่าน โดยใช้เวลาออกแบบนานนับปี สาเหตุที่ต้องดำเนินการเพราะว่าในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ทางเทศบาลตำบลท่าเสา เรามีน้ำดิบในการผลิตน้ำประปาไม่พอเพียง ต้องซื้อจากทางเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์และขายต่อให้กับประชาชนในพื้นที่ด้วยความจำเป็นที่ต้องซื้อเพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำประปาในการอุปโภคบริโภค

นางชุติมา กล่าวอีกว่า ได้จัดแบ่งออกเป็น 3 โครงการ โครงการแรกติดตั้งแพสูบน้ำดิบจากแม่น้ำน่านวางระบบท่อส่งน้ำดิบรอดใต้พื้นผิวถนน รอดพื้นที่ค่ายทหาร รอดใต้ทางรถไฟลงสูงพื้นที่เก็บกักน้ำขนาดใหญ่ที่หนองช้างเพรียง ด้วยงบประมาณ 22 ล้านบาท โครงการที่สอง ขยายระบบผลิตน้ำประปาพื้นที่หนองช้างเพรียงให้จ่ายน้ำมากขึ้นพอเพียงกับ 10 หมู่บ้านหรือทั้งตำบล ด้วยงบประมาณ 24 ล้าน ที่ผ่านมาน้ำดิบในหนองช้างเพรียงมีไม่เพียงพอต้องอาศัยเครื่องสูบน้ำดิบระยะไกลจากกรมชลประทานลงสู่แหล่งน้ำดิบของทางเทศบาลตำบลท่าเสาโดยเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าน้ำมันในการสูบน้ำเป็นเวลา 2 เดือน วงเงินกว่า 500,000 บาท โครงการที่สามเป็นการวางท่อระบบน้ำประปาเข้าทุกหมู่บ้านด้วยงบประมาณ 19 ล้านบาท รวมงบประมาณที่ต้องใช้ทั้ง 3 โครงการทั้งสิ้นประมาณกว่า 60 ล้านบาท โดยมีคณะกรรมการดำเนินงานในเรื่องของรายละเอียดการทำแพสูบน้ำดิบ หากเสร็จสิ้นพร้อมนำเสนอเข้าสู่สภาฯเพื่อขออนุมัติงบประมาณจ่ายขาดเงินสะสมของทางเทศบาลตำบลท่าเสาทันที

" เรื่องน้ำประปาไม่พอเพียงมีปัญหามาเป็นเวลานานกว่า 10 ปีแล้ว จากการขาดแคลนน้ำจากเริ่มต้นต้องใช้รถดับเพลิงวิ่งส่งน้ำลงในพื้นที่เก็บกักแหล่งน้ำดิบหนองช้างเพรียง รวมถึงการซื้อน้ำประปาจากทางเทศบาลมาเป็นเวลากว่า 10 ปี เสียค่าใช้จ่ายตกปีละกว่า 10 ล้านบาท หากทั้ง 3 โครงการเสร็จสิ้น สามารถส่งน้ำประปาให้กับประชาชนใน 10 หมู่บ้านมีน้ำประปาใช้อย่างพอเพียง ทางสภาและฝ่ายบริหารเข้ามาทำงานเพื่อบริการพี่น้องประชาชน "เพื่อบำบัดทุกข์บำรุง สุข" เชื่อว่าทางสภาคงเข้าใจในเรื่องปัญหาดังกล่าวและคงให้ความร่วมมือในการสนับสนุนผ่านงบประมาณดังกล่าวเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ตำบลท่าเสาทุกคน" นางชุติมา กล่าว.

ด้าน ร.ท.ธรรมรัตน์ ปลัดเทศบาลตำบลท่าเสา กล่าวว่า เนื่องจากปัญหาของเทศบาลตำบลท่าเสา มีปัญหาเรื่องภัยแล้ง ช่วงหน้าแล้งน้ำจะแห้งขอด ไม่มีน้ำสำหรับผลิตน้ำประปาให้กับประชาชนกลุ่มผู้ใช้น้ำในหลายหมู่บ้าน นายกเทศมนตรีตำบลท่าเสาจึงมีนโยบายนำน้ำมาเติมแหล่งเก็กกักน้ำหนองช้างเพรียง โดยตั้งสถานีสูบน้ำจากแม่น้ำน่านมาที่หนองช้างเพรียง เพื่อดำเนินการผลิตน้ำประปาแล้วจ่ายต่อให้กับประชาชนในพื้นที่ 3 หมู่บ้าน หมู่5 ม่อนดินแดง หมู่8 บ้านดงตะขบ และ หมู่ 10 ม่อนดินแดง หากโครงการนี้สำเร็จทางเทศบาลตำบลท่าเสาจะมีน้ำดิบสำหรับผลิตน้ำประปาจ่ายให้กับประชาชนครบ 10 หมู่บ้าน มีน้ำใช้อย่างพอเพียง โดยไม่ต้องหาซื้อน้ำจากเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์อีกต่อไป

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว ฯ ได้มีการศึกษาด้านผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานราชการต่าง ๆ อาทิ พื้นที่ทหาร พื้นที่ถนนหลวง พื้นที่ทางรถไฟ ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์จากพล.ต.วิทยา แก้วพรม ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 35 , นายพิริยะ กองสังข์ เจ้าพนักงานตรวจท่าชำนาญการ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาแพร่ ขออนุญาตดันท่อประปาลอดใต้ทางรถไฟ ระหว่าง สถานีศิลาอาสน์-สถานีบ้านด่าน บริเวณทางรถไฟ หมู่ที่ 7 ตำบลท่าเสา จากแขวงบำรุงทางอุตรดิตถ์ และแขวงทางหลวงอุตรดิตถ์ที่1 อยู่ขั้นตอนการออกแบบประมาณการราคาและขั้นตอนการขออนุมัติจ่ายขาดเงินสะสมของทางเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ด้วยการผ่านสภาฯ.

[Mongwin]

บขส. เตรียมปิดพื้นที่ขาเข้า สถานีขนส่งหมอชิต 2 ทั้งหมด ให้รถโดยสารทุกคันใช้พื้นที่ขาออก รับ-ส่งผู้โดยสาร เริ่ม 1 มีนาคมนี้ หวังยกระดับการให้บริการ เน้นความปลอดภัย แก้ปัญหาวินเถื่อน
16-02-2024 16:05

นายอรรถวิท รักจำรูญ กรรมการฯ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการพัฒนาพื้นที่ของสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) หรือ หมอชิต 2 ว่า ตามที่รัฐบาลและกระทรวงคมนาคม มีนโยบายให้ บขส. พัฒนาและปรับปรุงสถานีขนส่งหมอชิต 2 ให้พร้อมบริการประชาชน ก่อนเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ บขส. จึงได้เดินหน้าพัฒนาสถานีขนส่งฯ โดยปรับปรุงและเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ร้านค้า ศูนย์อาหาร ห้องน้ำ ลิฟต์โดยสาร เก้าอี้พักคอย ไฟส่องสว่าง เป็นต้น ส่วนด้านความปลอดภัย บขส. ได้ทดลองปิดพื้นที่ขาเข้าในช่วงเวลา 20.00 - 04.00 น. ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา โดยกำหนดให้รถโดยสารทุกคันจอดส่งผู้โดยสารในพื้นที่ขาออก ซึ่งจากการทดลองเดินรถฯ พบว่าสามารถช่วยแก้ปัญหาวินผิดกฎหมาย และปัญหาอื่น ๆ บริเวณพื้นที่ขาเข้าได้ ซึ่งส่งผลดีกับผู้ใช้บริการ ดังนั้น เพื่อให้การพัฒนาสถานีขนส่งหมอชิต 2 มีประสิทธิภาพและยกระดับมาตรฐานการให้บริการ และความปลอดภัยในการเข้าใช้สถานีฯ บขส. จึงเตรียมปิดพื้นที่ขาเข้าทั้งหมดเป็นการถาวร และให้รถโดยสารประจำทางในเส้นทางหมวด 2 (กทม.- ต่างจังหวัด) ทั้งรถ บขส. และรถร่วมฯ ทุกคัน ใช้พื้นที่ขาออก จอดส่งผู้โดยสารบริเวณชานชาลาที่ 1 (ชานชาลาติดกับอาคารสถานีฯ) ช่องจอดที่ 112 - 130 ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป โดยพื้นที่ขาเข้าจะใช้เป็นพื้นที่สำรองวินสำหรับรถโดยสารเท่านั้น

นายอรรถวิท กล่าวเพิ่มเติมว่า บขส. ได้มีการบริหารจัดการพื้นที่ขาออก เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชน โดยได้จัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก ติดป้ายประชาสัมพันธ์ตามจุดต่าง ๆ และได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ผู้ประกอบการรถแท็กซี่ รถรับจ้าง จัดรถโดยสาร มาอำนวยความสะดวกประชาชนที่ต้องการจะเดินทางต่อ ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถเลือกเดินทางต่อรถเมล์ที่ด้านหน้า หรือที่อู่ ขสมก. ด้านทิศใต้ของสถานีขนส่งฯ รวมทั้งได้จัดจุดให้บริการรถแท็กซี่, รถรับจ้าง ที่บริเวณลานจอดรถชั้น 1 และยังคงจัดการเดินรถ Feeder ตามนโยบาย Quick Win โดยรถโดยสาร บขส. (ขาเข้า) ทุกคัน จะจอดส่งผู้โดยสารที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ก่อนที่จะเข้าสถานีขนส่งหมอชิต 2 ผู้โดยสารสามารถเชื่อมต่อการเดินทางด้วยรถไฟ รถไฟฟ้าสายสีแดง รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน รถเมล์ ขสมก. ได้สะดวกเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ ได้กำหนดให้ บขส. และรถร่วมฯ จำหน่ายตั๋ว 1 ที่นั่ง ต่อ 1 เลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือกรณีผู้โดยสารต่างชาติ ให้ใช้เลขหนังสือเดินทาง เพื่อสิทธิ์คุ้มครองประกันภัย และทำให้ผู้โดยสารได้รับบริการที่สะดวกยิ่งขึ้น รวมทั้งกำหนดให้รถโดยสารขาออก เข้าจอดรับผู้โดยสารก่อนเวลารถออกไม่เกิน 20 นาที และให้ออกตามเวลาที่กำหนด เพื่อช่วยลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 จึงขอความร่วมมือผู้โดยสารขึ้นรถตรงเวลาที่ระบุในตั๋ว สอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมได้ที่ บขส. Call Center 1490 หรือที่ผู้ประกอบการรถร่วมฯ โดยตรง

https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/79026
https://mgronline.com/business/detail/9670000014507
https://www.dailynews.co.th/news/3181678/

[Mongwin]

เริ่มแล้วปรับปรุงสถานีขนส่งฯ หมอชิต
วันที่ 28 ก.พ. 2567 | 05.18 น.
เช้าข่าว 7 สี

เช้าข่าว 7 สี - สภาพของ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) หรือเรียกว่า หมอชิต เริ่มไปต่อไม่ไหว ถึงคราวต้องปรับปรุงอย่างหนัก รัฐบาลขีดเส้น สงกรานต์นี้ต้องเห็นความเปลี่ยนแปลง

ทีมข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบสภาพ ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) หรือเรียกว่า หมอชิต ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย บริหารงานโดยบริษัท ขนส่ง จำกัด หรือ บขส. ถือว่าเป็นสถานีขนส่งผู้โดยสารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยในขณะนี้ ใช้งานมานานหลายสิบปี อย่างที่เห็น ฝ้าเพดานบางจุดชำรุดทรุดโทรม บันไดเลื่อนก็ยังคงใช้งานไม่ได้ ขณะนี้เริ่มมีการกั้นพื้นที่ เพื่อปรับปรุง

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เผยขณะนี้ได้นำบันไดเลื่อน ที่เชื่อมจากอาคารผู้โดยสารไปยังชานชาลาออก พร้อมปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยต่างๆ คาดว่าช่วงเดือนเมษายนนี้สภาพภายในจะดีขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงพื้นที่ หรือ รีโนเวท โดยจะว่าจ้างที่ปรึกษา คาดว่าจะภายใน 1 ปีครึ่ง จะจัดการได้เสร็จสิ้น

นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะย้ายหมอชิต และสถานีขนส่งภาคตะวันออกกรุงเทพฯ หรือ เอกมัย ไปรวมกันที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (สถานีกลางบางซื่อ) โดยจะสร้างเป็นตึกสูง และแต่ละชั้นจะแบ่งโซนภาคให้ชัดเจน รวมถึงจะทำศูนย์อาหารติดเครื่องปรับอากาศ บริเวณโถงกลาง ซึ่งการเดินทางไปยังสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ มีความสะดวก สามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ทั้งหมดนี้คือแผนที่จะดำเนินการต่อไป

[Mongwin]

ย้ายจุดจอดรถทัวร์หมอชิต 2 ราบรื่น บขส.จัด Shuttle Bus ฟรีถึงบีทีเอส ตี 4-6 โมงเช้า
Source - ผู้จัดการออนไลน์
Friday, March 01, 2024 15:29

บขส.แจงปิดชานชาลาขาเข้าหมอชิต 2 ส่งคนจากต่างจังหวัดที่อาคารสถานีฯ วันแรกราบรื่น แม้แท็กซี่ไม่พอขอแรงสองคลื่นวิทยุดัง สวพ.91 และ จส.100 ช่วยบอกอีกทาง อีกด้านมีเซอร์ไพร์สจัดชัทเทิลบัส ส่งถึงบีทีเอสหมอชิตฟรี ตี 4 ถึง 6 โมงเช้า ต่อรถไฟฟ้าสะดวก ขบวนแรก 05.15 น.ปลายทางเคหะ

วันนี้ (1 มี.ค.) ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) หรือหมอชิต 2 นายอรรถวิท รักจำรูญ กรรมการฯ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (1 มี.ค.) ได้ลงพื้นที่ตรวจการอำนวยความสะดวกประชาชน เดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ หลังจากที่ บขส. ได้มีการประกาศปิดพื้นที่ขาเข้า โดยให้รถโดยสารของ บขส. และรถร่วมฯ ทุกคัน เข้าจอดส่งผู้โดยสารที่บริเวณพื้นที่ชานชาลาขาออก ช่องที่ 112 – 130 ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พบว่า การเดินทางของประชาชนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

โดยในช่วงเวลา 04.00 - 06.00 น. มีรถโดยสาร เข้าใช้สถานีขนส่งฯ จำนวน 185 คัน มีผู้โดยสารใช้บริการ จำนวน 4,884 คน ส่งผลให้ในช่วงเวลาดังกล่าว รถแท็กซี่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้โดยสาร บขส. จึงได้มีการประชาสัมพันธ์ และขอความร่วมมือผู้ประกอบการรถแท็กซี่ นำรถมาให้บริการรับ-ส่งภายในสถานีฯ รวมทั้งได้ประสานไปยัง สถานีวิทยุ จส.100 และ สวพ.91 ให้ช่วยประชาสัมพันธ์อีกทางหนึ่งด้วย อย่างไรก็ตาม บขส. ได้จัดรถ Shuttle Bus อำนวยความสะดวกประชาชน เดินทางเชื่อมต่อไปยังสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส หมอชิต ซึ่งพบว่ามีผู้ใช้บริการ กว่า 300 คน

ทั้งนี้ บขส. อยู่ระหว่างการพัฒนาและปรับปรุงพื้นที่สถานีขนส่งฯ หมอชิต 2 เพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการแก่ประชาชน ตามนโยบายของนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม โดยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา บขส. ได้ปรับปรุงและเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ห้องน้ำ ลิฟต์โดยสาร เก้าอี้พักคอย ป้ายประชาสัมพันธ์ ไฟส่องสว่าง ร้านค้า และศูนย์อาหาร เป็นต้น นอกจากนี้ ได้บูรณาการกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จัดการเดินรถฟีดเดอร์ (Feeder) โดยรถโดยสาร บขส. (ขาเข้า) ทุกคัน จะจอดส่งผู้โดยสารที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ก่อนเข้าสถานีขนส่งหมอชิต 2

รวมทั้ง องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้จัดรถเมล์ 14 เส้นทาง ให้บริการที่อู่ ขสมก. และป้ายรถเมล์ด้านหน้าอาคารสถานีฯ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและเป็นทางเลือกในการใช้ขนส่งสาธารณะให้แก่ประชาชนอีกทางหนึ่งด้วย อย่างไรก็ตาม เพื่อความสะดวก ปลอดภัย บขส. ขอให้ผู้ใช้บริการเลือกใช้ขนส่งสาธารณะ ทั้งรถแท็กซี่ และรถเมล์ ในจุดที่กำหนด และโปรดอย่าหลงเชื่อบุคคลที่เข้ามาตีสนิท หรือชักชวนให้ไปขึ้นรถโดยสารที่นอกพื้นที่สถานีฯ เด็ดขาด และหากผู้โดยสารพบปัญหาในการเดินทางให้แจ้งเจ้าหน้าที่ได้ทันที สอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมได้ที่ บขส. Call Center โทร. 1490


รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า เมื่อเวลา 04.00 น. ผ่านมา บขส. ได้นำรถโดยสารปรับอากาศจอดที่บริเวณด้านหน้าอาคารสถานีฯ เพื่อรับส่งผู้โดยสารในรูปแบบ Shuttle Bus ไปยังสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส หมอชิต โดยให้บริการฟรี ตั้งแต่เวลา 04.00-06.00 น. หรือจนกว่ามีประกาศเปลี่ยนแปลง

ถึงกระนั้น สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปยังปลายทางสถานีเคหะ จ.สมุทรปราการ รถไฟฟ้าออกจากสถานีหมอชิตขบวนแรก เวลา 05.15 น. และผู้ที่จะเดินทางไปยังปลายทางสถานีคูคต จ.ปทุมธานี รถไฟฟ้าออกจากสถานีหมอชิตขบวนแรก เวลา 05.57 น. แต่ห้องจำหน่ายบัตรโดยสารเปิดเวลา 06.00 น. เพื่อความสะดวกแนะนำให้ใช้บัตรแรบบิทที่มีมูลค่าพอสำหรับเดินทาง หรือเตรียมเหรียญมาให้พร้อมสำหรับซื้อบัตรที่เครื่องจำหน่ายบัตรโดยสาร สำหรับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เอ็มอาร์ที (MRT) สถานีสวนจตุจักร ไปปลายทางหลักสอง (ผ่านสุขุมวิท สีลม หัวลำโพง) ขบวนแรกออกจากสถานี วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 05.55 น. วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 05.58 น. และไปปลายทางท่าพระ (ผ่านเตาปูน สิรินธร บางขุนนนท์) ขบวนแรกออกจากสถานี วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 05.55 น. วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 06.01 น.

[Mongwin]

8 มี.ค.นี้ เพิ่มป้ายรถเมล์รับ-ส่งประชาชน “หมอชิต 2”
เดลินิวส์ 6 มีนาคม 2567 10:39 น.
นวัตกรรมขนส่ง

8 มี.ค. นี้ บขส. ร่วมกับ ขสมก. เพิ่มป้ายรถเมล์ 14 เส้นทาง ในสถานีขนส่งหมอชิต 2 อำนวยความสะดวกประชาชนเดินทางเข้า-ออก สถานีขนส่งฯ

นายอรรถวิท รักจำรูญ กรรมการ และรักษาการแทนกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยว่า บขส. และ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เตรียมเพิ่มป้ายรถเมล์ 1 จุด ภายในบริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) หรือหมอชิต 2 ตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. 67 เป็นต้นไป โดยรถเมล์ ขสมก. ทั้งหมด จะหมุนเวียนเข้ารับผู้โดยสารที่ป้ายรถเมล์ดังกล่าวตลอดทั้งวัน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่จะเดินทางเข้า-ออก สถานีขนส่งฯ หมอชิต 2 ได้อย่างไร้รอยต่อ

ทั้งนี้ บขส. ได้ดำเนินการปิดพื้นที่ขาเข้าเดิม โดยให้รถโดยสารทุกคันเข้าจอดส่งผู้โดยสารที่บริเวณพื้นที่ขาออก ช่องชานชาลาที่ 112-130 ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา และได้ตั้งจุดให้บริการรถแท็กซี่ ด้านหน้าประตูทางออกที่ 4 รวมทั้งจัดรถชัตเติ้ลบัส (Shuttle Bus) เส้นทางหมอชิต 2-สถานีรถไฟฟ้า BTS หมอชิต ให้บริการประชาชนฟรี ตั้งแต่เวลา 04.00-07.00 น.

อย่างไรก็ตาม เพื่อความสะดวก ปลอดภัย บขส. ขอให้ผู้ใช้บริการเลือกใช้ขนส่งสาธารณะ ทั้งรถแท็กซี่ และรถเมล์ ในจุดที่กำหนด และโปรดอย่าหลงเชื่อบุคคลที่เข้ามาตีสนิท หรือชักชวนให้ไปขึ้นรถโดยสารนอกพื้นที่สถานีขนส่งฯ โดยเด็ดขาด หากพบปัญหาในระหว่างการเดินทางให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที สอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมได้ที่ บขส. Call Center 1490

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับรถเมล์ที่ให้บริการรับ-ส่งประชาชน ภายในสถานีขนส่งฯ หมอชิต 2 มีทั้งหมด 14 เส้นทาง ได้แก่
1.สาย 3 หมอชิต 2-คลองสาน
2.สาย 5 สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์-จักรวรรดิ
3.สาย 16 หมอชิต 2-สุรวงศ์
4.สาย 49 สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์-หมอชิต 2-หัวลำโพง
5.สาย 77 หมอชิต 2-สาธุประดิษฐ์
6.สาย 96 หมอชิต 2-สถานีรถไฟฟ้าสวนจตุจักร-มีนบุรี
7.สาย 134 หมอชิต 2-บัวทองเคหะ
8.สาย 136 หมอชิต 2-อู่คลองเตย
9.สาย 138 หมอชิต 2-ท่าน้ำพระประแดง
10.สาย 145 หมอชิต 2-สมุทรปราการ
11.สาย 204 หมอชิต 2-ท่าเรือราชวงศ์
12.สาย 509 หมอชิต 2-อู่บางแค 
13.สาย 536 หมอชิต 2-ปากน้ำ (ทางด่วน) และ
14.สาย A1 หมอชิต 2-ท่าอากาศยานดอนเมือง

[Wisarut]

[Mongwin]

รอดูสัญญาเช่าที่ดินรถไฟ ยังไม่รีโนเวตโรงแรมเซ็นทรัลลาดพร้าว
Source - ไทยรัฐ
Thursday, March 14, 2024 05:04

เซ็นทาราเผยยังไม่มีแผนปรับปรุงโรงแรมเซ็นทรัล ลาดพร้าว รอดูทิศทางว่าทางกลุ่มเซ็นทรัลจะทำสัญญาเช่าใหม่ที่เหลืออีก 5 ปีหรือไม่ แต่คาดว่าจะไม่ทิ้งทำเลทอง เผยธุรกิจโรงแรมพลิกกลับมามีกำไรปีที่ผ่านมาและมีแนวโน้มดี วางแผนลงทุน 3 ปี 1.3 หมื่นล้าน ขยายธุรกิจสู่ 1 ใน 100 แบรนด์ระดับโลก

นายธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ และนายกันย์ ศรีสมพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ร่วมกันเปิดเผยว่า ทางบริษัทยังไม่มีแผนการปรับปรุงโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัล ลาดพร้าว เพราะเป็นผู้เช่าช่วงจากบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด(มหาชน)โดยสัญญาเหลืออยู่ 5 ปี ขณะที่สภาพโรงแรมยังดีอยู่เพราะรีโนเวตไปช่วงต่อสัญญารอบสองผ่านไปแล้วเกือบ 20 ปีค่อนข้างเร็วมาก

ส่วนการที่จะต่อสัญญาเช่ากับที่ดินกับทางการรถไฟแห่งประเทศไทยต่อไปรอบ3 อยู่หรือไม่ตนคิดว่าทางเซ็นทรัลกรุ๊ปคงไม่ทิ้งทำเลเซ็นทรัลลาดพร้าวอย่างแน่นอน เพราะจากการต่อสัญญามา2รอบ ระยะเวลาเช่า 50 ปี จากการบุกเบิกในสมัยที่ดินยังเป็นบริเวณที่ทิ้งขยะ ไม่มีความเจริญจนเซ็นทรัลกรุ๊ปเข้ามาพัฒนา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อปลายปีที่ผ่านมาทางเซ็นทรัลพัฒนาได้ชำระค่าเช่าที่ดินสำหรับบี 2567 เป็นมูลค่ากว่า 1,387 ล้านบาท ภายใต้สัญญาการใช้สิทธิประโยชน์ศูนย์การค้าบริเวณสามเหลี่ยมย่านพหลโยธิน (ปากทางลาดพร้าว)จำนวนพื้นที่ 47.22 ไร่ และเหลือสัญญาเช่าอีก 5 ปี ซึ่งเป็นที่จับตามองกันว่าทางเซ็นทรัลกรุ๊ปจะทำสัญญาเช่าฉบับใหม่ออกไปหรือไม่ เพราะทางเซ็นทรัลพัฒนากำลังก่อสร้างโครงการเซ็นทรัล พหลโยธินบนที่ดิน 48 ไร่ ตรงข้ามแดนเนรมิตเดิม ห่างจากเซ็นทรัล ลาดพร้าว เพียงแค่ 500 เมตร เท่านั้นนับเป็นการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสมีทั้งศูนย์การค้า โรงแรมอาคารสำนักงานและที่อยู่อาศัยครบครันเป็นเมกะโปรเจกต์มูลค่าลงทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาท

สำหรับทิศทางธุรกิจโรงแรมเซ็นทาราในปีที่ผ่านมานับเป็นปีแรกที่กลับมามีกำไรหลังจากได้รับผลกระทบโควิด-19 มีรายได้รวม 9,932 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรก่อนหักค่าใช้จ่าย 3,284 ล้านบาท เติบโต 83% นับเป็นธุรกิจที่เริ่มกลับมามีแนวโน้มที่ดีมาก

นายธีระยุทธ กล่าวว่า สำหรับในปีนี้ที่รัฐบาลไทยตั้งเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติไว้ที่ 35 ล้านคน จากตัวเลขสองเดือนแรกที่ผ่านมาคิดว่าน่าจะทำได้แต่มีการบ้านที่รัฐบาลจะต้องผลักดันอย่างเต็มที่เพราะมาตรการฟรีวีซ่าช่วยดึงนักท่องเที่ยวจีน อินเดีย และรัสเซียเข้ามาก

อย่างไรก็ตามมาตรการฟรีวีซ่าทำให้พฤติกรรมนักท่องเที่ยวต่างชาติเปลี่ยนไป จากเดิมที่วางแผนระยะยาวเพื่อท่องเที่ยวกลับใช้เวลาสั้นๆ เพียงสองสัปดาห์ซื้อตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรมเดินทางได้ทันทีทางเซ็นทาราจะต้องคาดหมายตลาดดีๆเพื่อไม่ให้พลาดกับโอกาสทางการตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปที่ผ่านมา 2 เดือนแรกนับว่าดีมากๆทั้งในกรุงเทพฯ ภูเก็ต สมุย และกระบี่

ทางด้านการลงทุนภายใน 3 ปี นับจากนี้ตั้งงบประมาณลงทุนไว้ที่ 13,000 ล้านบาท ทั้งในธุรกิจโรงแรมปีนี้เปิดให้บริการโรงแรมทั้งในและต่างประเทศเพิ่มทั้งหมด 6 แห่ง โดยแบ่งเป็น 3 แห่ง ในไทย, 2 แห่ง ในสปป.ลาว และ 1 แห่งในมัลดีฟส์ ซึ่งในมัลดีฟส์จะเปิดปีหน้าอีก 1 แห่งด้วย ส่วนโรงแรมเซ็นทารา หัวหิน หลังจากต่อสัญญากับทางการรถไฟเรียบร้อยเตรียมปรับปรุงในปีหน้าคาดว่าจะใช้งบประมาณ 1,700-2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณการสร้างโรงแรมใหม่ขนาด 3 ดาว ในหัวหินเพิ่มเติมด้วยคาดว่าจะใช้เวลา 3-4 ปีแล้วเสร็จ

นายธีระยุทธ กล่าวทิ้งท้ายว่าทางเซ็นทาราตั้งเป้าเป็น 1 ใน 100 แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลกภายใน พ.ศ.2570 ปีที่แล้วได้ก้าวจากอันดับที่ 150 มาอยู่ที่อันดับที่ 111 ในปีนี้พร้อมเดินหน้าเพื่อสร้างความเติบโตให้แข็งแกร่งต่อไป.

ที่มา: นสพ.ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 14 มี.ค. 2567

[Wisarut]

[Mongwin]

เซ็นทารา ทุ่ม 2 พันล้านพลิกโฉม "เซ็นทารา แกรนด์ หัวหิน" หลังต่อสัญญาอีก 30 ปี
Source - เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ
Thursday, March 14, 2024 16:38

"เซ็นทารา" ทุ่ม 2 พันล้านปรับใหญ่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ หัวหิน หลังได้ต่อสัญญาจากการรถไฟฯ อีก 30 ปี เผยมีแผนเพิ่มแบรนด์วิลล่า-แบรนด์ 3 ดาว หวังจับตลาดตั้งแต่ระดับ 3 ดาว ยันกลุ่มไฮเอนด์ คาดเปิดให้บริการได้ในปี 2571

วันที่ 14 มีนาคม 2567 นายธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา เปิดเผยว่า กลุ่มเซ็นทารามีแผนลงทุนต่อเนื่องในปี 2567-2569 รวมประมาณ 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนปี 2567 ประมาณ 6,500-7,000 ล้านบาท และในปี 2568-2569 อีกประมาณ 6,000 ล้านบาท

ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์

โดยในแผนการลงทุนดังกล่าวนี้บริษัทจะใช้ประมาณ 1,700-2,000 ล้านบาท สำหรับรีโนเวตครั้งใหญ่โรงแรม "เซ็นทารา แกรนด์ หัวหิน บีช รีสอร์ท" หลังได้ต่อสัญญาเช่าที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) อีก 30 ปีเรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนเริ่มดำเนินการรีโนเวตตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป คาดว่าใช้เวลาดำเนินการปรับปรุงประมาณ 2-3 ปี และเปิดให้บริการได้ภายในปี 2571 โดยจะปรับส่วนที่เป็นบังกะโลให้เป็นวิลลา รวมถึงทำการศึกษาลงทุนโรงแรมระดับ 3 ดาวในพื้นที่ดังกล่าวด้วย

"ตอนนี้เรากำลังทำแผนเสนอให้ ร.ฟ.ท.พิจารณา ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าในพื้นที่ 70-80 ไร่ ของโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ หัวหิน บีช รีสอร์ท นั้น ในอนาคตอาจมีถึง 3 แบรนด์เพื่อจับตลาดตั้งแต่ระดับ 3 ดาวไปจนถึงระดับไฮเอ็น" นายธีระยุทธกล่าวและว่า

สำหรับโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ หัวหิน บีช รีสอร์ท นั้นครบรอบ 100 ปีในการดำเนินธุรกิจโรงแรมอันทรงคุณค่าแห่งประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่เปิดให้บริการในนามโรงแรมรถไฟหัวหินในปี 2566 ที่ผ่านมา