นายไพรัช โรจน์เจริญงาม ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์และบริการท่องเที่ยว การรถไฟฯ แจ้งว่า ตามที่การรถไฟฯ ได้จัดเดินขบวนรถจักรไอน้ำ นำเที่ยวอยุธยาเมืองมรดกโลก และเปิดโอกาสให้ลูกพาแม่ไปด้วย โดยไม่ต้องเสียค่าตั๋วรถไฟนั้น ขณะนี้ตั๋วรถไฟจำนวนที่นั่งทั้งหมด 9 ตู้ หรือประมาณเกือบ 650 ที่นั่ง ได้ถูกซื้อจนหมดแล้ว สำหรับการจัดเดิน ขบวนรถจักรไอน้ำ ในวันแม่แห่งชาตินี้ การรถไฟฯ จัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างให้เยาวชน รู้จักมีความกตัญญู อันเป็นเอกลักษณ์ อันโดดเด่นของสังคมไทย

     ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์และบริการท่องเที่ยว ยังกล่าวต่อไปอีกว่า หากนักท่องเที่ยวที่สนใจ นั่งรถจักรไอน้ำรำลึกถึงอดีต ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้พระราชทานกำเนิดกิจการรถไฟไทย เมื่อ 111 ปีที่แล้ว และพลาดโอกาสในวันที่ 12 สิงหาคมนี้ การรถไฟฯ ยังจัดเดินขบวนรถจักรไอน้ำอีก ในวันที่ 23 ตุลาคม วันปิยมหาราช, วันที่ 5 ธันวาคม วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

     ผู้สนใจ สามารถสอบถาม รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ www.railway.co.th

ที่มา : ศูนย์ประชาสัมพันธ์ฯ การรถไฟแห่งประเทศไทย
วันที่ : 01/08/2551

     นายไพรัช โรจน์เจริญงาม ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์และบริการท่องเที่ยว การรถไฟฯ ชี้แจงกรณีขึ้นรถไฟฟรี หนึ่งในหกมาตรการ ของรัฐบาลว่า การรถไฟฯ ได้ข้อสรุปจะให้ขึ้นฟรี โดยไม่ต้องขอออกตั๋วโดยสาร เพื่อลดต้นทุนและผู้ใช้บริการไม่ต้องเสียเวลาเข้าคิว ขอออกตั๋วอีก โดยจะให้เจ้าหน้าที่รถไฟ ไปดูแลและจัดระเบียบผู้โดยสารแทน

     สิ่งที่การรถไฟฯเป็นห่วงคือ สภาพการโดยสารที่หนาแน่น ซึ่งจะส่งผลต่อสวัสดิภาพ และความปลอดภัยของผู้โดยสาร โดยเฉพาะช่วงที่คาบเกี่ยว กับเทศกาลปีใหม่ จึงต้องขอความร่วมมือผู้โดยสารรถไฟ ให้ระมัดระวังทรัพย์สินมีค่า รวมทั้งไม่โดยสาร ในที่ที่ไม่ได้จัดไว้ให้โดยสาร เช่น บันได ข้อต่อระหว่างตู้ และหลังคารถ ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่ออันตราย และยังผิดกฎหมาย อีกด้วย อย่างไรก็ดี การรถไฟฯ จะพยายามเร่งซ่อมรถ ออกมาให้บริการเพิ่ม และหากเป็นไปได้ อาจใช้วิธีวิ่งวน เพื่อเพิ่มเที่ยวให้มากขึ้น เป็นที่น่าเสียดาย ที่ทุกวันนี้ การรถไฟฯ มีรถโดยสารพร้อมที่จะให้บริการ ตามมาตรการนี้ เพียง 380 ตู้ (รถโดยสารชั้น 3 ไม่ปรับอากาศ) โดยจัดเป็นขบวนรถชานเมือง, รถธรรมดา, รถท้องถิ่น และรถรวม ได้วันละ 164 ขบวน ทั่วประเทศ เท่านั้น

     ที่ห่วงใยอีกเรื่องหนึ่ง คือ เกรงว่าผู้โดยสารจะขึ้นโดยสารผิดขบวน จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ทราบอีกครั้งว่า รถไฟฟรี จะติดป้ายสีเขียวข้างตู้โดยสารทุกตู้ มีตัวอักษรสีขาวว่า "รถไฟฟรี เพื่อประชาชน" ในขบวนจะพ่วงด้วยรถชั้น 3 ล้วน ซึ่งการรถไฟฯ ได้สั่งการให้สถานีรถไฟประกาศทางเครื่องกระจายเสียงทุกครั้ง ที่มีขบวนรถไฟฟรี จอดบริการที่สถานีด้วย นอกจากนี้ท่านที่จะใช้บริการ ยังสามารถตรวจสอบจากป้ายประกาศของสถานี หรือจาก Web site ของการรถไฟฯ http://www.railway.co.th หรือโทรศัพท์สายด่วน 1690 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง.

รายละเอียดของขบวนรถที่ให้ประชาชนทั่วไปโดยสารฟรี
ตามมาตรการ 6 เดือน ของรัฐบาล สำหรับรถบริการสังคม จำนวน 164 ขบวน

     นายไพรัช โรจน์เจริญงาม ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ และบริการท่องเที่ยว ชี้แจงเพิ่มเติมกรณีที่การรถไฟฯ เปิดให้ประชาชนขึ้นโดยสารรถไฟชั้น 3 โดยรัฐบาล จ่ายชดเชยรายได้ให้แก่ การรถไฟฯว่า ยังเป็นเรื่อง ที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อน จึงขอทำความเข้าใจ ดังนี้

1. ขบวนรถที่การรถไฟฯ เปิดให้ประชาชนขึ้นโดยสารได้ คือ ขบวนรถบริการเชิงสังคม ประกอบด้วย ขบวนรถชานเมือง, ขบวนรถธรรมดา, ขบวนรถท้องถิ่น และขบวนรถรวม ซึ่งมีเดินบริการ ทั่วประเทศวันละ 164 ขบวน (เป็นขบวนรถที่พ่วงด้วยตู้โดยสารชั้น 3 ทั้งขบวน)
2. ระยะเวลาเริ่มและสิ้นสุด คือ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2551 สิ้นสุดวันที่ 31 มกราคม 2552 เป็นเวลา 6 เดือน
3. วิธีปฏิบัติก่อนขึ้นโดยสาร ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับการซื้อตั๋ว จากสถานีรถไฟตามปกติ เพียงแต่ไม่ต้องจ่ายเงินค่าตั๋ว (เพื่อให้เจ้าหน้าที่ออกตั๋วคุ้มครองการเดินทางให้)
4. ผู้โดยสารที่ขึ้นโดยสาร ณ ที่หยุดรถและป้ายหยุดรถ ต้องขอให้เจ้าหน้าที่บนขบวนรถ ออกตั๋วคุ้มครองการเดินทางให้เช่นเดียวกัน
5. สำหรับผู้ที่ซื้อตั๋วเดือนไว้ และมีอายุการใช้งานได้ถึง หลังวันที่ 1 สิงหาคม 2551 ไม่สามารถขอคืนเงินค่าโดยสารใดๆได้
6. ขบวนรถที่ต้องเสียค่าโดยสารตามปกติ คือ ขบวนรถเชิงพาณิชย์ประกอบด้วย ขบวนรถด่วนพิเศษ, ขบวนรถด่วน และขบวนรถเร็ว ทั่วประเทศ ซึ่งมีวันละ 74 ขบวน (รวมถึงขบวนรถท่องเที่ยว)

     อนึ่ง การรถไฟฯ ยังเปิดโอกาสให้ผู้โดยสาร ขึ้นโดยสารขบวนรถด่วน, รถเร็ว ที่มีตู้โดยสารชั้น 3 พ่วง ในช่วงกรุงเทพ-แก่งคอย, กรุงเทพ-ลพบุรี และกรุงเทพ-ราชบุรี หรือในทางกลับกันได้ โดยคิดค่าบริการพิเศษ (ค่าโดยสาร+ค่าธรรมเนียม) คนละ 20 – 50 บาท ตามระยะทาง และการรถไฟฯ ยังลดค่าธรรมเนียมรถเร็ว ให้แก่ผู้โดยสารทั่วประเทศ จากค่าธรรมเนียมปกติที่เก็บคนละ 110 บาท เป็นเก็บตามระยะทาง กล่าวคือระยะทางไม่เกิน 50 กิโลเมตรเก็บคนละ 20 บาท, ระยะทางตั้งแต่ 51-150 กิโลเมตรคนละ 30 บาท, ระยะทาง 151-300 กิโลเมตรคนละ 50 บาท และระยะทางตั้งแต่ 301 กิโลเมตรขึ้นไปเก็บตามปกติ ทั้งนี้ท่าน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์สายด่วน 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง

ที่มา : กองประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย
วันที่ : 16/07/2551

     นายไพรัช โรจน์เจริญงาม ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์และบริการท่องเที่ยว การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึง มาตรการ การปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 เรื่อง การลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟ ว่า การรถไฟฯ จะให้ประชาชนขึ้นโดยสาร กับขบวนรถบริการเชิงสังคม (รถโดยสารชั้น 3) ได้ทั่วประเทศ ประกอบด้วย ขบวนรถชานเมือง ขบวนรถธรรมดา ขบวนรถท้องถิ่น และขบวนรถรวม ซึ่งมีทั้งสิ้น 164 ขบวน ในแต่ละวัน โดยจะเริ่มมาตรการนี้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2551 เป็นต้นไป สิ้นสุดวันที่ 31 มกราคม 2552 รวมระยะเวลา 6 เดือน (ยกเว้นรถโดยสารชั้น 3 ของขบวนรถด่วนพิเศษ, ขบวนรถด่วน และรถเร็ว ซึ่งเป็นขบวนรถ ที่ต้องเสียค่าธรรมเนียม) โดยรัฐบาลจะชดเชยรายได้ในส่วนที่ขาดหายไปให้แก่การรถไฟฯ

     สำหรับการขึ้นโดยสารฟรีนั้น ผู้โดยสารต้องขอรับตั๋ว จากสถานีที่เดินทาง ส่วนผู้โดยสารที่ขึ้นโดยสาร ณ ที่หยุดรถ และป้ายหยุดรถ ก็ต้องแจ้งพนักงาน บนขบวนรถ เพื่อขอรับตั๋วคุ้มครอง ด้วยเช่นกัน และกรณีที่ผู้ซื้อตั๋วเดือนไว้ และมีอายุการใช้หลังวันที่ 1 สิงหาคม 2551 ไม่สามารถขอคืนเงินค่าโดยสารใด ๆ ได้

ที่มา : กองประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย
วันที่ : 15/07/2551

     นายไพรัช โรจน์เจริญงาม หัวหน้ากองประชาสัมพันธ์ การรถไฟฯ แจ้งว่าใน โอกาสวันแม่แห่งชาติ วันที่ 12 สิงหาคม 2551 นี้ การรถไฟฯ จะเปิดโอกาสให้เยาวชนที่ซื้อตั๋วรถไฟไอน้ำ ไปเที่ยวอยุธยา สามารถพาแม่นั่งรถไฟไปด้วย โดยไม่ต้องเสียค่าตั๋ว ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างเสริม ให้เยาวชนมีความกตัญญู อันเป็นเอกลักษณ์ของสังคมไทย โดยขบวนรถจักรไอน้ำ จะออกจากสถานีกรุงเทพเวลา 08.00 น. จอดรับนักท่องเที่ยวที่สถานีสามเสน, ชุมทางบางซื่อ 1, สถานีบางเขน, สถานีหลักสี่, สถานีดอนเมือง และสถานี บางปะอิน ถึงสถานีอยุธยาเวลา 10.10 น. และกลับจากอยุธยาเวลา 17.25 น. ถึงกรุงเทพ 19.20 น. ค่าตั๋วโดยสารราคาเดียวไป-กลับ 120 บาท

     สำหรับสถานที่ท่องเที่ยว ล้วนเป็นแหล่งความรู้ และมีสถาปัตยกรรมที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของ ราชธานีไทยในอดีต ซึ่งมีทั้งโบราณสถาน โบราณวัตถุ รวมถึงวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี และวิถีชีวิตของชาวเมืองอยุธยา พร้อมซื้อของฝากของที่ระลึก อาทิ วัดไชยวัฒนาราม, วัดหลวงที่มีสถาปัตยกรรมผสมผสาน ระหว่างนครวัดของเขมร และสถาปัตยกรรมของไทยได้อย่างลงตัว ซึ่งสร้างโดยพระเจ้าปราสาททอง และฝั่งตรงข้ามเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ, วัดพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งเคยเป็นพระราชวังหลวง ต่อมาถูกสถาปนาเป็นพระอารามหลวง และเป็นต้นแบบ ของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จากนั้น แวะวิหารมงคลบพิตร นมัสการหลวงพ่อมงคลบพิตร พระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยผสม อู่ทอง และเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และวัดใหญ่ชัยมงคล ชมอนุสาวรีย์ แห่งชัยชนะ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ทรงทำสงครามยุทธหัตถี ชนะพระมหาอุปราชาแห่งพม่า แห่งพม่า นอกจากนี้ยังจะได้ศึกษาวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และวิถีชีวิตของชาวเมืองอยุธยา พร้อมซื้อของฝากของที่ระลึก โดยนักท่องเที่ยว ที่ต้องการความสะดวกในการเที่ยว ทางการท่องเที่ยวจังหวัดอยุธยา ได้จัดรถยนต์มาอำนวยความสะดวกให้ โดยคิดค่ารถยนต์นำเที่ยวพร้อมมัคคุเทศก์ รถธรรมดาคนละ 180 บาท รถปรับอากาศคนละ 300 บาท

     อนึ่งผู้ที่ต้องการพาแม่เที่ยวขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ เพื่อขอสำรองที่นั่งขณะซื้อตั๋วด้วย ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถาม รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์สายด่วน 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ ที่ http://www.railway.co.th และ http://www.thailandrailway.com