View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 43425
Location: NECTEC
|
Posted: 18/11/2020 9:24 pm Post subject: |
|
|
Wisarut wrote: | จากรายงาน ประจำปี ร.ศ 123
4) วันที่ 18 พฤศจิกายน 1904 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ เสด็จบางปะอินเวลาเช้า กลับสถานีสามเสนเวลาบ่ายของวันเดียวกัน
11) พระเจ้าอยู่หัวเสด็จบางปะอินด้วยรถไฟพิเศษ เมื่อ วันที่ 1 ธันวาคม 1904 แล้วเสด็จกลับพระนคร วันที่ 7 ธันวาคม 1904
12) เจ้าชายอาดาลเบิร์ต (HRH Prince Adalbert) แห่งราชวงศ์โฮเฮนซอลเลอร์ จักรวรรดิปรัสเซียเสด็จจากพระนครไปเข้าเฝ้าในหลวงที่บางปะอินเมื่อ วันที่ 4 ธันวาคม 1904 จากนั้นจึงเสด็จฯกรุงเก่าด้วยรถไฟพิเศษเพื่อชมโบราณสถานเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม 1904 จากนั้นจึงเสด็จกลับพระนครเมื่อ วันที่ 6 ธันวาคม 1904 ด้วยรถไฟพิเศษ
|
จาก จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน-ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว-จุลศักราช-๑๒๖๕
วัน ศุกร์ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะโรง ๑๒๖๖
วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน รัตนโกสินทร ศก ๑๒๓
เวลาบ่ายราว ๕ โมงทรงรถออโตโมบิลเสด็จประพาศในถนนสวนดุสิต
อนึ่งวันนี้เวลาเช้าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชแลสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสงขลานครินทรได้เสด็จขึ้นไปทอดพระกฐินพระราชทานที่บางปอิน แลที่กรุงเก่า แลเสด็จกลับวันนี้
วันพฤหัสบดี แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะโรง ๑๒๖๖
วันที่ ๑ ธันวาคม รัตนโกสินทร๓๗ศก ๑๒๓
เวลาเช้าเจ้าเสด็จไปทอดพระเนตรโรงเรียนนายร้อยทหารบก เสวยกลางวันที่วังสราญรมย์ เสวยค่ำที่กระทรวงการต่างประเทศ
อนึ่งวันนี้เปนวันกำหนดที่จะเสด็จประทับแรมพระราชวังบางปอินในการรับเจ้า [เจ้าอาคาลเบิคแห่งกรุงปรุสเซีย] เวลาบ่าย ๓ โมงเสด็จจากสวนดุสิตขึ้นรถไฟพิเศษที่สเตชั่นสามเสนถึงบางปอินบ่าย ๔ โมงเสศ ทอดพระเนตรการทำพระเมรุที่วัดนิเวศแล้วเสด็จขึ้นที่ท่าน่าพระที่นั่งวโรภาศ ทอดพระเนตรการทำพระเมรุที่พระที่นั่งไอสวรริย ย่ำค่ำเสศเสด็จขึ้น
วันเสาร์ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะโรง ๑๒๖๖
วันที่ ๓ ธันวาคม รัตนโกสินทร ศก ๑๒๓
เวลาบ่ายเจ้า[เจ้าอาคาลเบิคแห่งกรุงปรุสเซีย]เสด็จขึ้นไปพระราชวังบางปอินโดยทางรถไฟ
เวลาบ่าย ๔ โมงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกรับเจ้าที่ตะพานน้ำน่าพระที่นั่งวโรภาศแล้วทรงฉายพระบรมรูปพร้อมด้วยเจ้า[เจ้าอาคาลเบิคแห่งกรุงปรุสเซีย]ที่เฉลียงน่าพระที่นั่งวโรภาศนั้น แล้วทอดพระเนตรแข่งเรือ เจ้าพักที่พระที่นั่งอุทยาน
เวลา ๑ ทุ่มโปรดให้มีการเลี้ยงเจ้า[เจ้าอาคาลเบิคแห่งกรุงปรุสเซีย]ที่พระที่นั่งเวหาศ มีแคนทหารมหาดเล็ก ๕ ทุ่มเสศเสด็จขึ้น
วันจันทร์ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะโรง ๑๒๖๖
วันที่ ๕ ธันวาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๓
เช้าเจ้า[เจ้าอาคาลเบิคแห่งกรุงปรุสเซีย]เสด็จประพาศกรุงเก่าแลได้ทรงช้างประพาศเสวยกลางวันที่ที่พักข้าหลวงเทศาภิบาลแล้วเสด็จกลับ
เวลาค่ำโปรดให้มีการเลี้ยงที่พระที่นั่งวโรภาศเปนการส่งเสด็จเจ้า[เจ้าอาคาลเบิคแห่งกรุงปรุสเซีย]
วัน อังคาร แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะโรง ๑๒๖๖
วันที่ ๖ ธันวาคม รัตนโกสินทร ศก ๑๒๓
เช้า ๒ โมงเจ้า[เจ้าอาคาลเบิคแห่งกรุงปรุสเซีย]กราบถวายบังคมลากลับ เสด็จส่งถึงสเตชั่นรถไฟ เจ้า[เจ้าอาคาลเบิคแห่งกรุงปรุสเซีย]กลับถึงกรุงเทพฯ เสวยเข้าที่กรมรถไฟ แล้วเสด็จไปขึ้นรถไฟสายปากน้ำ เมื่อเจ้า[เจ้าอาคาลเบิคแห่งกรุงปรุสเซีย]ถึงเมืองสมุทรปราการเรือพาลีได้รับเจ้าไปส่งยังเรือชื่อเฮอทา ซึ่งเปนเรือเจ้าเสด็จมานั้น แล้วเปนเสร็จการรับเจ้า[เจ้าอาคาลเบิคแห่งกรุงปรุสเซีย]
วัน พุธแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ ปีมะโรง ๑๒๖๖
วันที่ ๗ ธันวาคม รัตนโกสินทร ศก ๑๒๓
มีการพระราชกุศลสัตมวารในการพระศพกรมขุนสุพรรณภาควดีที่พระที่นั่งสุทไธสวรรย์เป็นครั้งที่ ๖
เวลาเช้า ๔ โมงเสด็จขึ้นรถไฟที่บางปอินลงที่สเตชั่นกรุงเก่าทรงเรือพายของกรมทหารเรือเข้าคลองหมู่บ้านกะบังทอดพระเนตรวัดกุฎีดาว วัดเดิม (ศรีอโยทธยา) ทรงทำเครื่องต้นเสวยกลางวันที่วัดนี้ เสวยแล้วเสด็จกลับมาเข้าคลองไผ่ลิงทอดพระเนตรวัดใหญ่ แล้วกลับออกทางคลองสวนพลูขึ้นเรือไฟชลยุทธที่ปากคลองมาถึงบางปอินย่ำค่ำเสศ |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 43425
Location: NECTEC
|
Posted: 18/11/2020 9:49 pm Post subject: |
|
|
สมัยปราบเงี้ยว จาก รายงานปราบเงี้ยว นั้น ทางรถไฟไปไม่ไกลมากนัก ทำให้ เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีสามารถเดินทางด้วยทางรถไฟจากบ้านพักศาลาแดง ไปรายงานการปราบเงี้ยวให้ รัชกาลที่ ๕ ได้รับทราบที่บางปะอิน เมื่อ ๖ สิงหาคม ร.ศ. ๑๒๑ จากนั้น จึงเดินทางขึ้นเหนือทางเรือไปพิษณุโลก เพื่อสืบการในแนวหน้า
Last edited by Wisarut on 23/01/2022 10:57 pm; edited 1 time in total |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 43425
Location: NECTEC
|
Posted: 17/05/2021 4:22 pm Post subject: |
|
|
การเสด็จประพาสเมืองเพชรบุรีของดยุคโยฮันอัลเบิร์ต ผู้สำเร็จราชการเมืองบรันซวิก และดัชเชสอลิสซาเบธ สโตลเบิร์ก รอตซาลา พระชายา มีรายละเอียดอยู่ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๒๖ วันที่ ๖ มีนาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๘ เรื่อง การรับดุ๊กโยฮันอัลเบรกต์ ผู้สำเร็จราชการ
เมืองบรันซวิก ดังนี้
.
การรับดุ๊กโยฮันอัลเบรกต์
ผู้สำเร็จราชการเมืองบรันซวิก
..................................................................
ดุ๊กโยฮันอัลเบรกต์เมืองเมกเคลนเบิกชเวริน ซึ่งเปนพระอาว์ของ
แกรนดุ๊กเมกเคลนเบิกชเวรินองค์ประจุบันนี้ เคยเข้ามาเฝ้าที่กรุงเทพฯประมาณ ๒๗ ปีมาแล้ว ครั้นเมื่อเสด็จพระราชดำเนิรประพาศยุโรปครั้งแรก ได้เปนริเยนต์ผู้สำเร็จราชการเมืองชเวริน ในเวลาที่แกรนดุ๊กพระหลานยังเยาว์ ได้เชิญเสด้จพระราชดำเนิรเยี่ยมเมืองชเวริน เสด็จประทับอยู่ใน
พระราชวังเมืองชเวรินเปนหลายราตรี ได้จัดการรับเสด็จโดยความจงรักภักดีเปนอันมาก ครั้นเมื่อเสด็จพระราชดำเนิรประพาศยุโรปครั้งนี้ประจวบเวลาซึ่งดุ๊กโยฮันอัลเบรกต์ได้รับตำแหน่งเปนริเยนต์ผู้สำเร็จราชการเมืองบรันซวิก เชิญเสด็จพระราชดำเนิรไปประทับในพระราชวังเมืองบรันซวิกหลายราตรี ได้จัดการรับเสด็จโดยความจงรักภักดีอีกครั้งหนึ่ง ได้ทรงสนิทคุ้นเคยกับดุ๊กทั้งสามคราวที่ได้เฝ้าแลประทับอยู่ด้วยนั้น ดุ๊กโยฮันอัลเบรกต์แลดัชเชสอิลิซาเบตพระชายาซึ่งได้ทรงคุ้นเคยเหมือนพระสามี ได้กำหนดว่าจะเข้ามาเฝ้าเยี่ยมตอบถึงกรุงเทพฯ ในระหว่างที่เสด็จพระราชดำเนิรประพาศครั้งแรกกับครั้งหลัง ถึงสองคราว แต่ผเอิญดัชเชสพระชายาประชวรมากทั้งสองคราวไม่เปนปรกติ จนเลยสิ้นพระชนม์เสียเมื่อปีกลายนี้ บัดนี้ดุ๊กโยฮันอัลเบรกต์เห็นเปนช่องที่จะเข้ามาเฝ้าเยี่ยมตอบถึงกรุงเทพฯ ได้ จึงกำหนดจะออกจากเมืองเยนัววันที่ ๓๐ เดือนธันวาคมตรงมายังกรุงเทพฯ และจะพาปรินเซสอลิซาเบตสโตลเบิกรอซซะลา ซึ่งทรงกระทำอาวาหมงคลใหม่มาเยี่ยมกรุงสยามเปนเมืองแรกด้วย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการรับรองอย่างพระราชสัมพันธมิตร์อันได้คุ้นเคยกันนั้น กำหนดดุ๊กจะถึงกรุงเทพฯ วันที่ ๒๖ มกราคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๘..."
วันที่ ๓๑ มกราคม รัตนโกสินทร ศก ๑๒๘
"...วันที่ ๓๑ มกราคม เวลาเช้า ๕ โมงครึ่ง (๑๑:๓๐ น.) เจ้าเสด็จโดยรถยนตร์ไปเสด็จลงเรือยนตร์ที่ท่าวาสุกรี นายพลตรีพระยาสุรเสนา กับพระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร ตามเสด็จไปส่งเจ้าที่สถานีบางกอกน้อย เสด็จขึ้นรถไฟไปประพาศเมืองเพ็ชร์บุรี ถึงเมืองเพ็ขร์บุรีเวลาบ่าย ๔ โมง (๑๖:๐๐ น.) พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสด็จล่วงน่ามาคอยรับเจ้าเสด็จโดยรถยนตร์ไปเสด็จขึ้นเก้าอี้หาม ขึ้นพักบนพระที่นั่งเพ็ชรภูมิ์ไพโรจน์บนพระนครคีรี
เวลา ๒ ทุ่ม (๒๐:๐๐ น.) เสวยบนพระที่นั่งเพ็ชรภูมิ์ไพโรจน์ เวลา ๔ ทุ่ม (๒๒:๐๐ น.) ทอดพระเนตร์การจุดดอกไม้เพลิง แล้วเสด็จขึ้น
วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทร ศก ๑๒๘
วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ เวลาเช้าโมงเศษ เสด็จออกจากพระนครคีรีโดยรถยนตร์ ผ่านตลาดในเมือง เสด็จขึ้นรถไฟที่สถานี รถไฟออกจากสถานีเมืองเพ็ชร์บุรีเวลาเช้า ๒ โมง (๐๘:๐๐ น.) เสวยอาหารเช้าในรถไฟ เวลาเที่ยง (๑๒:๐๐ น.) ถึงสถานีบางกอกน้อย เสด็จประทับเรือยนตร์มาเสด็จขึ้นรถพระที่นั่งกลับพระราชวังดุสิต...
https://www.facebook.com/phranakhonkhiri/posts/3820221934754750 |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 43425
Location: NECTEC
|
Posted: 23/01/2022 10:56 pm Post subject: |
|
|
Wisarut wrote: | Wisarut wrote: | ส่วนการเสด็จฯเปิดรรถไฟสายแปดริ้วและการเสด็จเมืองฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 24 มกราคม รศ. 126 ( นับอย่างใหม่ต้องปี 2451 ) นั้น ได้เขียนไว้แล้ว ค้นดูก็จะเจอ เพราะผมดูดมาที่นี่ด้วย |
นี่ครับ จดหมายเหตุ เรื่อง เปิดรถไฟสายตะวันออกและสายเหนือ และ เสด็จพระราชดำเนินประพาสเมืองฉะเชิงเทรา - ซึ่งเป็น บันทึกเหตุการณ์การเสด็จพระราชดำเนินเปิดรถไฟสายตะวันออก(ถึง ฉะเชิงเทรา)และสายเหนือ(ถึงพิษณุโลก) ณ พลับพลาพระราชพิธีสถานีรถไฟกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 24 มกราคม ร.ศ. 126 เวลาเช้า 3 โมงเศษ แล้วเสด็จพระราชดำเนินด้วยรถไฟพิเศษสายตะวันออกผ่านสถานีบางกระสัน (มักกะสัน) คลองแสนแสบ (คลองตัน) บ้านหัวหมาก บ้านทับช้าง สถานีที่ 2 (สถานีคลองสอง - ปัจจุบันคือสถานีลาดกระบัง) หัวตะเข้ คลองหลวงแพ่ง คลองพระยาเดโช (สถานีเปรง) ถึงสถานีฉะเชิงเทรา เวลาเช้า 5 โมงเศษ เสด็จลงจากรถไฟพระที่นั่งแล้วเสด็จลงเรือประทับล่องไปตามลำน้ำบางปะกงถึง ที่ว่าการมณฑล เสด็จประทับห้องประชุม พระราชทานพระแสงราชศัสตราประจำเมือง แล้วจึงเสด็จประทับเรือพระที่นั่ง ประทับแรม ณ ตำหนักพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นมรุพงศ์ศิริพัฒน์เพื่อประพาสเมืองฉะเชิงเทรา
วันที่ 30 มกราคม ร.ศ. 126 เวลาเช้า 2 โมงเศษ เสด็จพระราชดำเนินกลับพระนคร โดยเสด็จประทับในเรือพระที่นั่งแจวขึ้นไปตาม แม่น้ำบางปะกง เข้าลองท่าไข คลองนครเนื่องเขตร เวลาค่ำประทับแรมที่วัดปากบึงในคลองนั้น รุ่งเช้าเสด็จพระราชดำเนินเข้าคลองแสนแสบ เวลาค่ำประทับแรมที่เมืองมีนบุรี ที่ทำให้มีการตั้งชื่อสุเหร่าที่มุสลิมกำลังสร้างว่า สุเหร่าทรายกองดิน เวลาเช้าเสด็จพระราชดำเนินจากเมืองมีนบุรีมาตามคลองแสนแสบ ถึงประตูน้ำ ปทุมวัน เสด็จฯ มาตามคลองมหานาค เลี้ยวไปตามคลองผดุงกรุงเกษม เลี้ยวเข้าคลองเม่งเสง ไปเสด็จขึ้น ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เวลาบ่าย 5 โมงเศษ |
ตอนนี้ ที่จุฬาก็มีเล่มนี้ให้อ่านออนไลน์ด้วยครับ: จดหมายเหตุ เรื่องเปิดรถไฟสายตะวันออกและสายเหนือ และเสด็จพระราชดำเนินประพาสเมืองฉะเชิงเทรา
https://www.facebook.com/Chula.RareBooksCollection/photos/pcb.489806015732654/489802839066305/ |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 43425
Location: NECTEC
|
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 43425
Location: NECTEC
|
Posted: 13/03/2022 12:17 am Post subject: |
|
|
แคมป์เบลกับมอเรล สองวิศวกรเมืองผู้ดี ผู้วางรากฐานกิจการรถไฟในตะวันออกไกล (สยามและญี่ปุ่น)
12 มีนาคม 2564 เวลา 12:22 น.
ในช่วงคริสตทศวรรษ 1860 รัฐบาลอังกฤษได้ส่งวิศวกรรถไฟหนุ่มสองคนมาปฏิบัติหน้าที่ราชการในดินแดนอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษในตะวันออกไกล (ทวีปเอเชียและออสเตรเลีย)
คนหนึ่งคือ จอร์จ เมอร์เรย์ แคมป์เบล (George Murray Campbell ค.ศ.1845-1922) ชาวสก็อต ถูกส่งมาประจำการอยู่ที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่บริติชราช หรือรัฐบาลอาณานิคมอังกฤษประจำอินเดียเมื่อปี ค.ศ.1869 กับภารกิจในการควบคุมงานก่อสร้างทางรถไฟในอินเดียและซีลอน (ศรีลังกา)
ก่อนหน้านั้น แคมป์เบลเคยมีประสบการณ์ในการรับราชการอยู่ในกรมรถไฟที่สก็อตแลนด์ บ้านเกิดของเขามาชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่รัฐบาลอังกฤษจะส่งเขามารับราชการในอาณานิคมที่อินเดียนี้
อีกคนหนึ่งคือ เอ็ดมันด์ มอเรล (Edmund Morel ค.ศ.1840-1871) ชาวกรุงลอนดอน อดีตบัณฑิตด้านวิศวกรรมโยธาจาก King's College London ได้ถูกส่งมารับราชการเป็นวิศวกรควบคุมงานก่อสร้างทางรถไฟอยู่ที่นิวซีแลนด์ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลอาณานิคมอังกฤษที่ออสเตรเลีย เมื่อปี ค.ศ.1862 จนกระทั่งปี ค.ศ.1867 มอเรลถูกย้ายไปช่วยงานบริษัทเหมืองแร่ถ่านหินลาบวน (Labuan Coal Company) ของอังกฤษในการสร้างทางรถไฟขนส่งถ่านหิน ที่เกาะบอร์เนียว
ในทศวรรษต่อมา วิศวกรหนุ่มอังกฤษทั้งสองคนนี้จะกลายมาเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในรัฐบาลของชาติตะวันออกไกลสองชาติ คือสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และญี่ปุ่นในรัชสมัยของจักรพรรดิเมจิ ในการวางรากฐานระบบการขนส่งทางราง (รถไฟ) อันเป็นโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่ที่สำคัญต่อการปฏิรูปประเทศและการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ของสยามและญี่ปุ่น
โดยเอ็ดมันด์ มอเรล ได้รับการทาบทามจากรัฐบาลญี่ปุ่น ผ่านทางเซอร์แฮรี่ ปาร์ก(Sir Harry Parkes) ทูตอังกฤษประจำกรุงโตเกียว (ในขณะนั้น) เนื่องจากญี่ปุ่นในเวลานั้นเพิ่งโค่นล้มระบอบโชกุน เข้าสู่ยุคการปกครองใหม่ภายใต้รัฐบาลเมจิ ต้องการที่ปรึกษายุโรปที่มีความรู้ในวิชาการต่างๆ โดยเฉพาะด้านวิศวกรรมสมัยใหม่ ทูตปาร์กจึงนึกถึงมอเรล และเสนอชื่อของมอเรลให้แก่อิโต ฮิโรบุมิ (伊藤博文) เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย (民部大蔵) ในขณะนั้นพิจารณา (ภายหลังอิโต ฮิโรบุมิ ได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก และเป็นรัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในยุคการปฏิรูปเมจิของญี่ปุ่น) อิโตเห็นชอบด้วย มอเรลจึงได้รับการว่าจ้างให้เป็นที่ปรึกษาและวิศวกรใหญ่ประจำกรมโยธาธิการ กระทรวงมหาดไทยของญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1870
โดยภารกิจแรกที่มอเรลได้รับมอบหมาย คือการออกแบบและควบคุมงานก่อสร้างทางรถไฟเชื่อมระหว่างสถานีรถไฟชิมบาชิในกรุงโตเกียว กับสถานีรถไฟโยโกฮามา (新橋駅-横浜駅) หรือที่รู้จักในชื่อ "ทางรถไฟสายโตเกียว-โยโกฮามา" ซึ่งถือเป็น "ทางรถไฟหลวง" หรือทางรถไฟของรัฐบาลญี่ปุ่นสายแรก (日本の鉄道開業) โดยมอเรลได้ออกแบบก่อสร้างทางรถไฟสายนี้โดยใช้ขนาดความกว้างราง (gauge) อยู่ที่ 1,067 มิลลิเมตร หรือ 1.067 เมตร ซึ่งในเวลาต่อมาขนาดความกว้างรางดังกล่าวได้กลายเป็นขนาดความกว้างรางรถไฟมาตรฐานของญี่ปุ่น (Japan's standard gauge) ตราบจนถึงทุกวันนี้
น่าเสียดาย ด้วยสภาพอากาศอันหนาวเหน็บอย่างทารุณของญี่ปุ่น บวกกับโรคประจำตัวอย่างวัณโรค ซึ่งสมัยนั้นถือเป็นโรคร้ายที่ยากจะรักษา จึงทำให้มอเรลที่ทุ่มเททำงานกับการออกแบบและควบคุมงานก่อสร้างทางรถไฟสายโตเกียว-โยโกฮามาอย่างหนัก พร้อมๆ กับการถ่ายทอดองค์ความรู้และฝึกสอนนายช่างญี่ปุ่นไปด้วย จึงล้มป่วยลงเพราะวัณโรคกำเริบหนัก ทำให้ไม่สามารถออกไปทำงานภาคสนามได้ ได้แต่เพียงวางแผน ประชุมงานและสั่งงานต่างๆ กับเหล่าช่างภายในที่พัก มอเรลจึงจำต้องขอลาออกจากรัฐบาลเมจิเพื่อจะไปพักรักษาตัวที่อินเดีย แต่น่าเสียดายที่เขาได้ถึงแก่กรรมลงในวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ.1871 ก่อนหน้าที่เขาจะได้เดินทางไปอินเดีย และก่อนที่ทางรถไฟสายโตเกียว - โยโกฮามา อันเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงเพียงชิ้นเดียวที่เขาฝากไว้ในแผ่นดินหมู่เกาะญี่ปุ่นกำลังจะเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการไม่กี่เดือนเท่านั้น
จักรพรรดิเมจิได้เสด็จมาเปิดทางรถไฟสายโตเกียว - โยโกฮามาอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ.1872 ถือเป็นการเริ่มต้นกิจการรถไฟของรัฐบาลญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ และญี่ปุ่นได้ถือเอาวันที่ 14 ตุลาคม เป็น "วันแห่งรถไฟ" (鉄道の日 เท็ตสึโด โนะ ฮิ) สืบมาจนถึงทุกวันนี้
ทางด้านสยาม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้จัดทำโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพ - นครราชสีมา เมื่อปี พ.ศ.2434 (ค.ศ.1891) ซึ่งทางรถไฟสายนี้ถือเป็นทางรถไฟหลวง หรือทางรถไฟของรัฐบาลสยาม/ไทยสายแรก โดยรัฐบาลสยามได้ว่าจ้างจอร์จ เมอร์เรย์ แคมป์เบล เป็นวิศวกรควบคุมงานก่อสร้างทางรถไฟสายนี้ และเริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ.1892 (ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้เสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธีตักดินเริ่มการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง) ทางรถไฟสายนี้เมื่อแรกก่อสร้างใช้ความกว้างรางแบบมาตรฐานยุโรป คือ 1.435 เมตร แต่ทว่าแคมป์เบลก็ไม่สามารถปฏิบัติภารกิจการก่อสร้างทางรถไฟสายนี้ให้สำเร็จดังประสงค์ได้ ท้ายสุดรัฐบาลสยามจึงยกเลิกสัญญาจ้างแคมป์เบลในปี ค.ศ.1896 และดำเนินโครงการนี้ต่อไปโดยอาศัยวิศวกรชาวปรัสเซีย(เยอรมัน) ในการออกแบบและควบคุมงานก่อสร้างต่อไป จนสามารถเปิดการเดินรถในช่วงกรุงเทพ - อยุธยาได้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ.1897 โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดการเดินรถ และรัฐบาลสยาม/ไทยได้ถือเอาวันที่ 26 มีนาคม เป็นวันสถาปนากิจการรถไฟไทยตราบจนถึงทุกวันนี้
นี่คือเรื่องราวโดยสังเขปของสองวิศวกรอังกฤษผู้มีบทบาทสำคัญต่อการบุกเบิกและวางรากฐานกิจการรถไฟในประเทศสยาม/ไทย และญี่ปุ่น ในยุคการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยของทั้งสองชาติตะวันออกไกลแห่งนี้ครับ |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 43425
Location: NECTEC
|
Posted: 01/06/2022 2:09 pm Post subject: |
|
|
แจ้งความกระทรวงโยธาธิการ แพนกกรมรถไฟ
นับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน รศ. 125 จะไม่ยอมให้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้าที่ชานสำหรับขึ้นรถไฟตามบรรดาสเตชั่นใหญ่ๆ โดยไม่มีตั๋วสำหรับที่จะเข้าไปในที่นั้น สำหรับผู้ที่ไม่ใช่ผู้โดยสาร ให้ซื้อตั๋วสำหรับขึ้นไปที่ชานสำหรับขึ้นรถไฟ ได้ ณ ที่ช่องขายตั๋ว ราคาใบละ 2 อัฐ (ประมาณ 3 สตางค์)
แจ้งความมา ณ วันที่ 28 พฤษภาคม
รัตนโกสินทร์ศก 125
โดยพระยาเสถียร ฐาปนกิตย์
ปลัดทูลฉลองกระทรวงโยธาธิการ
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=5249477465110739&id=222323771159492 |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 43425
Location: NECTEC
|
Posted: 19/09/2022 1:29 pm Post subject: |
|
|
แผนที่เส้นทางรถไฟจีน-พม่า-สยาม
เริ่มปูทางไว้โดยอังกฤษก่อนปีพุทธศักราช 2429 ศึกษาเส้นทางเดินรถไฟจากจีนลงมาออกทะเลที่เมืองมะละแหม่ง กับ ปากน้ำสมุทรปราการ ในการนี้วิศวกรชาวอังกฤษได้เข้าไปเจรจายังท่านหลี่หงจาง ข้าราชการมือขวาของจักรพรรดิและพระนางซูสีไทเฮา ดำรงตำแหน่งว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และวิศวกรอีกสายหนึ่งเดินทางมายังสยาม เข้าเฝ้าในหลวงรัชกาลที่ 5 เพื่อถวายรายงานการก่อสร้างเส้นทางสายสำคัญนี้
โดยเส้นทางจากยูนานเข้ารัฐฉาน ผ่านเชียงตุง และใช้ Hub ใหญ่ที่เมืองระแหง แยกไปเมืองมะละแหม่ง กับ แยกลงกรุงเทพ ที่มะละแหม่งจะมีเส้นทางรถไฟเชื่อมไปยังเมืองมัณฑเลย์ขึ้นไปตอนเหนือถึงเมืองซาดีวาเพื่อต่อเส้นทางไปยังเมืองดาจิหลิง ไปยังไร่ใบชาได้
จะเห็นว่าเส้นทางทั้งหมดใช้เส้นทางการค้าโบราณเป็นหลักใหญ่ เป็นนโยบายของทางอังกฤษที่รุกคืบเข้ามาเปิดเส้นทางการค้ากับจีน ในขณะที่อีกซีกแผ่นดินโคชินจีนและโตคิน เป็นของฝรั่งเศสก็พยายามใช้แม่น้ำโขงเจาะเข้าตอนใต้ของจีนเช่นกัน
เบื้องต้นทราบว่าหลังการเจรจาเรื่องการเดินเส้นทางรถไฟกับสยามแล้ว สยามไม่เห็นด้วยและสยามก็เริ่มใช้วิศวกรอังกฤษเข้ามาปูทางสร้างทางรถไฟในประเทศสยามเอง
https://www.facebook.com/noomrattana/posts/2460524427422789 |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 43425
Location: NECTEC
|
Posted: 15/11/2022 9:19 pm Post subject: |
|
|
Wisarut wrote: | แผนที่เส้นทางรถไฟจีน-พม่า-สยาม
เริ่มปูทางไว้โดยอังกฤษก่อนปีพุทธศักราช 2429 ศึกษาเส้นทางเดินรถไฟจากจีนลงมาออกทะเลที่เมืองมะละแหม่ง กับ ปากน้ำสมุทรปราการ ในการนี้วิศวกรชาวอังกฤษได้เข้าไปเจรจายังท่านหลี่หงจาง ข้าราชการมือขวาของจักรพรรดิและพระนางซูสีไทเฮา ดำรงตำแหน่งว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และวิศวกรอีกสายหนึ่งเดินทางมายังสยาม เข้าเฝ้าในหลวงรัชกาลที่ 5 เพื่อถวายรายงานการก่อสร้างเส้นทางสายสำคัญนี้
โดยเส้นทางจากยูนานเข้ารัฐฉาน ผ่านเชียงตุง และใช้ Hub ใหญ่ที่เมืองระแหง แยกไปเมืองมะละแหม่ง กับ แยกลงกรุงเทพ ที่มะละแหม่งจะมีเส้นทางรถไฟเชื่อมไปยังเมืองมัณฑเลย์ขึ้นไปตอนเหนือถึงเมืองซาดีวาเพื่อต่อเส้นทางไปยังเมืองดาจิหลิง ไปยังไร่ใบชาได้
จะเห็นว่าเส้นทางทั้งหมดใช้เส้นทางการค้าโบราณเป็นหลักใหญ่ เป็นนโยบายของทางอังกฤษที่รุกคืบเข้ามาเปิดเส้นทางการค้ากับจีน ในขณะที่อีกซีกแผ่นดินโคชินจีนและโตคิน เป็นของฝรั่งเศสก็พยายามใช้แม่น้ำโขงเจาะเข้าตอนใต้ของจีนเช่นกัน
เบื้องต้นทราบว่าหลังการเจรจาเรื่องการเดินเส้นทางรถไฟกับสยามแล้ว สยามไม่เห็นด้วยและสยามก็เริ่มใช้วิศวกรอังกฤษเข้ามาปูทางสร้างทางรถไฟในประเทศสยามเอง
https://www.facebook.com/noomrattana/posts/2460524427422789 |
ดูแผนการทำทางรถไฟเชื่อมพม่าจีนสยามของนาย Hallet เมื่อป 1886 - 1888
1. มะละแหม่ง - ตาก - ลำปาง - เชียงราย - เชียงแสน
2. มะละแหม่ง - แม่สะเรียง - ฮอด - เชียงใหม่ - เชียงราย - เชียงแสน
http://bytelife.altervista.org/elephant.htm |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 43425
Location: NECTEC
|
Posted: 21/12/2022 6:18 pm Post subject: |
|
|
#ผาเสด็จ
.
สถานที่แห่งหนึ่งที่มีความสำคัญมากทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดสระบุรี จังหวัดที่มีสถานที่ทางประวัติศาสตร์หลายแห่งด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ทางพุทธศาสนา หรือ ประวัติศาสตร์การพัฒนาของชาติไทย
ผาเสด็จ คือ หน้าผาชง่อนหินที่แทบจะยื่นเข้าไปในบริเวณทางรถไฟ อยู่ที่หมู่ 5 ตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ในด้านการคมนาคม โดยเฉพาะสำหรับกิจการการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นทางผ่านของเส้นทางรถไฟที่ใช้เดินทางมุ่งเข้าสู่ภาคอีสาน ซึ่งเป็นทางรถไฟสายแรกของประเทศไทย คือ ทางรถไฟสายพระมหานคร-นครราชสีมา ซึ่งก่อสร้างโดยพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ 5
.
ตำนานของผาเสด็จ
เมื่อปี พ.ศ. 2433 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ตั้งกรมรถไฟขึ้นในสยามประเทศ หลังจากที่ตั้งกรมรถไฟขึ้นมาแล้ว ปี พ.ศ. 2434 ได้มีการดำเนินการสร้างทางรถไฟจากกรุงเทพถึงอยุธยา ระยะทาง 71 กิโลเมตร ต่อมาในปี พ.ศ. 2439 ก็ได้ให้มีการดำเนินการก่อสร้างเส้นทางรถไฟต่อไปยังจังหวัดนครราชสีมา
เส้นทางดังกล่าวนี้จะต้องผ่านจังหวัดสระบุรี ซึ่งในสมัยก่อนเส้นทางจากสระบุรีไปอำเภอแก่งคอยต้องใช้เวลานานมากเพราะถนนหนทาง เช่น ถนนมิตรภาพยังไม่มี มีเพียงเส้นทางโบราณเป็นถนนลูกรัง ซึ่งมีลักษณะเป็นหลุมเป็นบ่อแทบตลอดทางแถมยังคดเคี้ยวไปมาจากระยะทางจริง 12 กิโลเมตร กลายเป็น 16 กิโลเมตร เส้นทางคมนาคมอีกทางหนึ่งคือทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ สายแก่งคอย-มวกเหล็ก ซึ่งตัดผ่านเข้าดงพญาเย็นไปทะลุทางภาคอีสาน ซึ่งมีเทือกเขาอยู่หลายแห่งขวางเส้นทางที่จะต้องดำเนินงาน และภูเขาแห่งนี้มีเงื้อมชะโงกหินยื่นออกมาเป็นก้อนโตมหึมา ความจริงจะตัดหรือระเบิดอ้อมไปด้านข้างเคียงก็พอจะทำได้ แต่เส้นทางจะคดเคี้ยวเลี้ยวลดดูไม่สวยงาม จึงต้องทำการระเบิดภูเขาแห่งนั้น
วิศวกรชาวฝรั่งเศส พยายามจะระเบิดทำลายเพื่อจะทำทางรถไฟผ่านอยู่หลายครั้งหลายคราแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เป็นความหนักใจให้แก่บรรดานายช่างเป็นอย่างยิ่ง เกือบจะพากันหมดอาลัยล้มเลิกความตั้งใจเสียแล้ว จึงปรึกษากันว่าควรทำอย่างไรดี ขณะนั้นมีท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งแนะนำในทางไสยศาสตร์ว่า สถานที่แห่งนี้ คงมีผีเจ้าป่าหรือเจ้าที่เจ้าทาง ควรทำบัตรพลีเซ่นสรวง บนบานศาลกล่าวให้องค์เทพารักษ์อนุญาตตามประเพณีไทยแต่โบราณ แต่ไม่มีใครเห็นด้วยเพราะนายช่างเป็นคนหัวใหม่ ปรากฏว่าการระเบิดภูเขาก็ไม่เป็นผลสำเร็จอยู่ดี ชาวบ้านแห่งนั้นบอกว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เคยแสดงมหิทธิฤทธิ์ปรากฏแก่ชาวบ้านและพรานให้เห็นมาแล้วหลายครั้ง เช่น ถ้ามีคนตัดไม้ทำลายป่าบริเวณนั้น หรือ ปัสสาวะบริเวณโคนไม้ใหญ่ ก็จะมีอันเป็นไป คือ ล้มป่วย เจ็บเนื้อเจ็บตัว ปวดหัว เป็นไข้ หรือเป็นลมชักน้ำลายฟูมปาก ตาเหลือก ต้องหาคนไปทำกระทงบัตรพลีเซ่นสรวงขอขมา ถ้าใครไม่เชื่อล้มเจ็บถึงตายก็มี
ความทราบถึงพระเนตรพระกรรณของพระพุทธเจ้าหลวง (รัชกาลที่ 5) พระองค์จึงโปรดให้นำตราแผ่นดินไปประทับตรงโคนต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้นเป็นการเอาเคล็ด เล่ากันว่า พอต้นไม้ใหญ่แห่งนั้นถูกตราแผ่นดินพระราชทานตีประทับลงที่โคนแล้ว ก็ให้มีอันกิ่งใบแห้งเหี่ยวยืนต้นตายไป และมีพระราชกระแสรับสั่งให้นายช่างระเบิดหินต่อไป แต่ก็มีการเล่ากันว่าชาวบ้านบางคนกลัวไม่กล้าระเบิดต่อ เนื่องจากมีนายช่างและคนงานบางคนเป็นไข้ป่าเจ็บหนักจนถึงเสียชีวิต พระพุทธเจ้าหลวง (รัชกาลที่ 5) จึงโปรดเกล้าให้สร้างศาลเพียงตาขึ้นที่ใกล้เงื้อมผา การระเบิดทำทางรถไฟ จึงดำเนินต่อไปโดยไร้อุปสรรค
ต่อมาเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2439 (ร.ศ.๑๑๕) พระองค์จึงเสด็จประพาสต้นมาพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี ตามลำน้ำป่าสักและเสด็จขึ้นบก เสด็จฯ ต่อโดยรถไฟจากที่ประทับแรมเข้าในดงถึงที่สุดทางรถไฟในเวลานั้น (ตำบลหินลับ) เวลาบ่าย 3 โมงเศษ เสด็จลงจากรถไฟเสด็จพระราชดำเนินต่อไปตามทางที่ยังไม่ได้วางเหล็กรางข้ามห้วยสองแห่ง เสด็จต่อมาถึงศิลาใหญ่ ณ ผาแห่งนี้ เวลาบ่าย 5 โมง ทรงได้โปรดให้มีการจารึกพระปรมาภิไธยย่อ จ.ป.ร. หมายถึง พระปรมาภิไธยของพระองค์ , ส.ผ. หมายถึงพระนามของสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ และเลข ๑๑๕ หมายถึงปีที่เสด็จมา และพระราชทานนามศิลาตำบลนี้ว่า ผาเสด็จพัก ติดไว้บนชะง่อนหินแห่งนั้น พอเวลาจวนค่ำ ก็เสด็จกลับมาประทับยังที่พักรถไฟ เสด็จขึ้นรถไฟกลับมาถึงพลับพลาที่ประทับเวลาทุ่มเศษ เมื่อประชาชนทราบข่าวว่า พระพุทธเจ้าหลวง (รัชกาลที่ 5) ได้เสด็จมาถึงผาแห่งนี้ก็พากันชื่นชม และผู้คนต่างพากันเรียกเงื้อมผาแห่งนี้ในเวลาต่อมาว่า ผาเสด็จ ซึ่งประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะพนักงานรถไฟ ได้ให้ความเคารพบูชาเป็นอย่างสูง ตลอดมาถึงทุกวันนี้
จากตำนานที่กล่าวมา นับได้ว่า ผาเสด็จ ได้เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของประเทศไทย หากได้เดินทางมายังภาคอีสานโดยทางรถไฟแล้ว จะต้องผ่าน ผาเสด็จ แห่งนี้แน่นอน
ในปัจจุบัน สถานีรถไฟผาเสด็จ เป็นสถานีรถไฟชั้น 3 อยู่ห่างจากสถานีรถไฟกรุงเทพเป็นระยะทาง 138 กิโลเมตร ทางจังหวัดสระบุรี ได้ทำการบูรณะ และปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบบริเวณสถานีรถไฟ เพื่อให้เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่ง ของจังหวัดสระบุรี นักท่องเที่ยวท่านใดสนใจผ่านมาเที่ยวชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์แห่งนี้ สามารถเดินทางมาได้โดยทางรถไฟ และทางรถยนต์ โดยผาเสด็จนั้น ตั้งอยู่ริมทางรถไฟ ตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 30 กิโลเมตร ไปตามถนนมิตรภาพ (ทางหลวงหมายเลข 2) ประมาณ 25 กิโลเมตร ระหว่าง กม.ที่ 132-133 หากไปจากสระบุรีเลี้ยวซ้ายตรงบริเวณโรงเรียนบ้านซับบอนไปประมาณ 3 กิโลเมตร ผาเสด็จอยู่เลยจากสถานีรถไฟไปประมาณ 50 เมตร
https://www.facebook.com/groups/132481274010271/posts/1196823757576012 |
|
Back to top |
|
|
|