View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
nOo-Neung
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 1013
Location: ARL ลาดกระบัง
|
Posted: 11/02/2009 2:21 pm Post subject: |
|
|
มีแฟนอยู่เชียงใหม่ แต่ผมอู้ไม่เป็นซักคำเลย _________________ www.bluetrain-shop.com |
|
Back to top |
|
|
black_express
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
|
Posted: 11/02/2009 2:21 pm Post subject: |
|
|
"น้ำปู๋" ถ้าใครเข้าไปดูในครัวเวลาเขากำลังเคี่ยวอยู่นั้น จะรู้เองว่ากลิ่นรุนแรงขนาดไหน จนนึกรสชาติไม่ออกว่า อร่อย "ลำ" ได้อย่างไร ?
ส่วนตัวผม ชอบน้ำพริกอ่อง แก๋งแค แก๋งฮังเล แก๋งกระด้าง ลาบคั่ว จิ๊นปิ้ง ไส้อั่ว จิ๊นส้ม ยำหน่อไม้ มากกว่า
ยังมี "กั๋บข้าว ของกิ๋นเมือง" แถมซับป๊ะ ยกมาเล่าแทบไม่หวาดไหวล่ะครับ แค่น้องเชรี่ ยกตัวอย่างมาให้ลองชิม ก็พุงอืดแล้ว
.................
ซับป๊ะ = สารพัด |
|
Back to top |
|
|
nathapong
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 3515
Location: Ayuthaya - Lamlukka - Navanakhon - Silom
|
Posted: 11/02/2009 3:33 pm Post subject: |
|
|
Mongwin wrote: | วงเวียนกลับรถจักรที่สถานีเชียงใหม่ แบบใช้มือหมุน
มีขนาด 18.00 ม. (60 ฟุต) ครับ
ลักษณะคล้ายกับวงเวียนที่สถานีอุบลราชธานีครับ
มีข้อสังเกตว่า ในเว็บไซต์ของสำนักหอสมุด มช. นั้น
ภาพสถานีเชียงใหม่ชุดที่ถ่ายจาก ฮ. ระบุว่าถ่ายในปี 2496
ส่วนชุดที่ถ่ายจากถังน้ำ ตอนน้ำท่วมนั้น ถ่ายในปี 2495 ครับ |
ไม่ได้ป่วนกระทู้ หรือมาจับผิด นะครับ
ภาพนี้น่าจะถ่ายหลังปี 2518 หรือไม่..... เพราะทรงของรถโดยสารรุ่นนี้
เป็นรุ่นที่สร้างที่โรงงานมักกะสัน ช่วงปี 2518 -2522 ใช่หรือเปล่า |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44786
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 11/02/2009 3:40 pm Post subject: |
|
|
ภาพนี้ อ.บ้านโป่ง1 ก็มีข้อคิดเห็นว่าดังนี้ครับ
BanPong1 wrote: | ภาพนี้คงไม่ได้ถ่ายในช่วง 249x กระมังครับ
เพราะตัวอาคารสถานีมีการก่อสร้างเพิ่มเป็น 2 อาคารแล้ว
ส่วนที่เพิ่มคือส่วนที่เป็นโถงพักคอยในปัจจุบัน
และสังเกตจากตัวโบกี้รถโดยสารจะเป็นรุ่นที่ยังใช้อยู่ในปัจจบัน |
|
|
Back to top |
|
|
black_express
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
|
Posted: 11/02/2009 4:05 pm Post subject: |
|
|
nathapong wrote: | ภาพนี้น่าจะถ่ายหลังปี 2518 หรือไม่..... เพราะทรงของรถโดยสารรุ่นนี้
เป็นรุ่นที่สร้างที่โรงงานมักกะสัน ช่วงปี 2518 -2522 ใช่หรือเปล่า |
ดูจากแถบสีตรงหน้าอุด ก็พอเดาปี พ.ศ.ได้ครับป๋า เพราะช่วงปี 2518 หน้าอุดจะเป็นสีเดียวทั้งหมด คือสีแดงน้ำหมากครับ
ช่วงที่ผมเริ่มทำงานเมื่อปี 2527 เริ่มเปลี่ยนสีหน้าอุดเป็นครึ่งครีม-แดง และครีม-น้ำเงินตามลำดับ แต่ภาพที่เห็นนี้พอมองได้ว่าเป็น สีเหลือง-ครีม
ดูจากทรง บนท.สเตนเลส ที่จอดใกล้ๆ กันเป็นแนวพิจารณาประกอบก็ได้ครับ
พอสรุปได้ว่า เป็นภาพที่ทำเป็นขาว-ดำ ช่วงระยะเวลาการถ่ายภาพไม่น่าจะนานขนาดนั้น...และลายเซ็นของลุงบุญเสริม ผมยังคิดว่านำมาลงแปะในภาพทีหลังด้วยกรรมวิธีของ Photoshop เพราะตวัดเหมือนกันทุกภาพเลย |
|
Back to top |
|
|
boyboy4119
3rd Class Pass
Joined: 04/02/2009 Posts: 206
Location: To train the rest of life. : ที่นี่สถานีเชียงใหม่
|
Posted: 12/02/2009 12:33 pm Post subject: |
|
|
จากเรื่องของอาหารเหนือ ทำให้ผมรู้ว่า พี่เชหน้าตาออกฝรั่งจ๋า ดูเป็นสาวสมัยใหม่ มั่นใจ แต่กินอาหารเหนือเก่งมาก ค้านกับตัว เหลือเชื่อครับ หุหุ |
|
Back to top |
|
|
tong_sanam
1st Class Pass (Air)
Joined: 15/05/2007 Posts: 1550
Location: พิกัดที่ 385.593
|
Posted: 12/02/2009 1:23 pm Post subject: Re: เล่าด้วยภาพข้างฝา : เมืองเชียงใหม่ |
|
|
Aishwarya wrote: | *-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
ได้เวลา menu เมืองเหนือ "เวียงเจียงใหม่" อันดับ ๑ ของ Cherie แล้วนะคะ นั่นคือ ...
"น้ำพริกน้ำปู๋" เจ้า ...
menu นี้ถือเป็นของโปรดที่สุดของ Cherie เลยค่ะ Cherie ถึงยกให้เป็นอันดับ ๑ ค่ะ เชื่อมั๊ยคะ ทุกคน สมมุติว่าถ้าไม่มีอะไรทาน Cherie สามารถอยู่กับ "น้ำพริกน้ำปู๋" ได้ทั้ง ๗ วัน โดยไม่มีเบื่อ ไม่บ่นซักคำเลยล่ะค่ะ ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ว่าทำไมถึงชอบทาน "น้ำปู๋" นัก ...
ตอนแรกๆ ที่ Cherie รู้จักกับ "น้ำปู๋" รู้สึกตกใจ แหยงๆ หน่อยๆ เพราะมันสีออกดำๆ ไม่แน่ทานเลยค่ะ หลายคนบอกว่ามันเหม็นมาก แต่แปลกนะคะ Cherie กลับรู้สึกว่ามันหอมมากๆ ๆๆ เวลานำไปปรุงอาหารนอกจาก "น้ำพริกน้ำปู๋" แล้ว เรายังสามารถเอา "น้ำปู๋" เนี๊ยะประกอบอาหารอย่างอื่นได้อีก เช่น "ต๋ำบะโอใส่น้ำปู๋ (ตำส้มโอ)" "ต๋ำบะตื๋น (ตำกระท้อน)" รึว่า "ยำหน่อใส่น้ำปู๋" ... ลำแต้ลำว่าเจ้า.
ก่อนจะไปดูวิธีการทำ "น้ำพริกน้ำปู๋" เรามารู้จักหน้าค่าตาของ "น้ำปู๋" กันก่อนนะคะ.
"น้ำปู๋" ตามการออกเสียงแบบ "กำเมือง" ก็คือ "น้ำปู" ในสำเนียงภาษาไทยกลางน่ะเองค่ะ ถือเป็นอาหารดั้งเดิมของชาวล้านนาเลยทีเดียว ใช้เป็นเครื่องปรุงรสอาหารหลายหลาก menu ดังที่ Cherie กล่าวไว้ข้างต้นนะคะ ... พูดกันง่ายๆ คือ "คนไทย" (ใน sense ของชาวเหนือ ผู้คนที่อยู่ใต้ล้านนาลงไป จะถูกเรียกว่า "คนไทย" ทั้งสิ้น ส่วนชาวล้านนาจะเรียกตนเองว่า "คนเมือง") มี "กะปิ" เป็นเรื่องปรุงรสอาหาร "คนเมือง" ก็มี "น้ำปู๋" นี่แหล่ะค่ะ เป็นสัญญลักษณ์หมายแทนกันได้ ส่วนมากแล้ว เค้าจะทำน้ำปู๋กันในช่วงฤดูฝน หรือฤดูทำนากันค่ะ เพราะจับปูนาได้มากในฤดูดังกล่าวค่ะ.
เราจะโขลกใบขมิ้นและใบตะไคร้เข้าด้วยกันจนละเอียด จากนั้นล้างปูนาราว ๓ kg. ให้สะอาด แล้วเอาไปโขลกรวมกันให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกันค่ะ เมื่อได้ปูที่โขลกแล้ว จึงทำการละลายกับน้ำ กรองเอาแต่น้ำปู ท้ายที่สุด เราจะเคี่ยวน้ำปู๋โดยใช้ไฟอ่อนๆ ถึงประมาณ ๘ ชั่วโมง จะได้น้ำปูข้นเหนียว เป็นสีดำ แล้วรอพักให้เย็น จริงบรรจุใส่ตลับไว้ปรุงอาหารค่ะ. ... มีเคล็ดลับในการปรุงการเคี่ยวน้ำปู๋ตรงที่ว่า ไม่ควรใช้ไฟแรงเด็ดขาดเลยค่ะ เพราะจะทำให้น้ำปู๋มีกลิ่นคาวนะคะ.
คราวนี้ได้น้ำปูแล้ว เรามาทำ "น้ำพริกน้ำปู๋" menu อันดับ ๑ นี้กันนะคะ ... ขั้นตอนไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลยค่ะ เพียงแต่ว่าเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ หาผักเครื่องเคียงมาทานด้วยแยะๆ โดยผักทั้งหลายเอาไปนึ่งจะเยี่ยมมากเลยค่ะ ผักเครื่องเคียงที่มักจะทานกับ "น้ำพริกน้ำปู๋" คือ หน่อไม้นึ่ง และกะหล่ำปลีนึ่งค่ะ ... ขั้นตอนแรกเราจะโขลกเกลือ ตะไคร้ กระเทียม และหอมแดง รวมกันให้ละเอียด จากนั้นโขลกพริกขี้หนูตาม รวมกันเข้าไป แล้วก็ใช้ช้อนควักน้ำปูจากกระปุกใส่เติมลงไปในครก คลุกเคล้าให้เข้ากัน จัดใส่ถ้วยสวยๆ โรยหน้าด้วยพริกขี้หนูสด ทานกับข้าวเหนียวร้อนๆ ... นี่ล่ะค่ะ "menu#1" ของ Cherie.
เวียงพิงค์ยังมีเสน่ห์ในเรื่องของอาหารการกินอีกแยะ มากมายก่ายกองเลยทีเดียว ถ้าเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ สนใจแล้วล่ะก็ ต้องไม่พลาดค่ะ ... และที่สำคัญ "โครงการสถานีรถไฟอัจฉริยะ ปลายทางสู่ "พิงคนคร สมนามกรนครเชียงใหม่" ของ RFT ของเรา Cherie ยังรออยู่ พร้อมจะร่วมด้วยทุกเมื่อ งานนี้จะพาไป "กิ๋นกับข้าวเมือง" ลำๆ ด้วยค่ะ จัดมาได้เลยนะคะ จัดมา. |
เมนูนี้ขอคอนเฟิร์มว่า "ลำขนาด" เพราะไปแอ่วบ้านแม้อุ๊ยตี้เจียงใหม่ยามใด๋
ถ้าบะได้กิ๋นน้ำพริกน้ำปู๋ มันบะเหมือนได้ไปแอ่วเจียงใหม่
ส่วนเมนูอาหารที่ปี้เชอรี่กล่าวมา ลำทุกเมนูเจ้า (กิ๋นมาเมิดละ)
เพิ่มเติม*** น้ำปู๋กินสดๆ บะต้องแป๋ง กะลำขนาดเน่อ
คลุกข้าวร้อนๆ หยำกิ๋น โอ๊ย ลำขนาด
ขออนุญาตแก้ไข เนื่องจาก บุคคลที่ถุกท่านกล่าวถึง ขอให้แก้ไข แก้ไข โดย MayyaM _________________
"ที่นี่สถานีชุมทางสนามชัยเขต
ท่านที่จะเดินทางไป จันทบุรี ตราด
โปรดข้ามไปรอการโดยสารในชานชาลาที่ 2"
|
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42784
Location: NECTEC
|
Posted: 12/02/2009 1:36 pm Post subject: |
|
|
หนูเชอรี่, แล้วกระบองที่ทำจากฟักทอง ของกินที่ขึ้นชื่อไม่น่อยในภาคพายัพ หนะ มันมีหน้าตาอย่างไรหละ? |
|
Back to top |
|
|
Aishwarya
1st Class Pass (Air)
Joined: 11/01/2007 Posts: 1721
Location: นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่
|
Posted: 12/02/2009 2:42 pm Post subject: |
|
|
Wisarut wrote: | หนูเชรี่ แล้วกระบองที่ทำจากฟักทอง ของกินที่ขึ้นชื่อไม่น่อยในภาคพายัพ หนะ มันมีหน้าตาอย่างไรหละ? |
ตามนี้เลยค่ะ พี่ Wissie ขา ... ในเมื่อโลกตะวันตกมี French Fries เอามันฝรั่ง (potato) หรือที่เรียกในหมู่ภาษาย่าน Latin ทั้งหลายว่า "Soil Apple" หรือ "Apple ดิน" มาหั่นๆ ซอยๆ เป็นแท่ง แล้วลงทอดกับน้ำมันร้อน ... ทางเมืองเหนือ โดยเฉพาะเชียงใหม่ ก็ไม่น้อยหน้าค่ะ ...
"กระบอง" เป็น snack (ของทานเล่นยามว่าง) ชนิดนึงนะคะ นิยมใช้ฟักทองเอามาปรุงค่ะ นอกจากฟักทองแล้ว เราอาจใช้หัวปลี มะละกอ น้ำเต้าอ่อน ปลาตัวเล็กตัวน้อย หรือกุ้งฝอย มาทอดก็ได้นะคะ ... พูดไปพูดมา คล้ายๆ กับ tempura ของทางญี่ปุ่นเหมือนกัน เราจะเอาสิ่งที่ Cherie กล่าวมาข้างต้นนั้น ลงชุบน้ำแป้งข้าวเจ้า ซึ่งผสมกับกะทิ น้ำตาล เกลือ และมะพร้าวขูดอย่างดีค่ะ ... ถ้าเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ต้องการให้กระบองมีรสชาติจัดจ้านซักหน่อย ก็ใส่น้ำพริกแกงเผ็ดลงไปนิดนึงได้ค่ะ อร่อยอีกแบบ.
snack ทำนองนี้ มีที่มา พื้นเพจากชนเผ่า "ไทใหญ่" หรือว่า "เงี้ยว" นั่นเองค่ะ โดยที่พวกเค้าจะเรียก "กระบอง" ว่า "ข่างปอง" ... พวกเค้านิยมนำเอาผักหลายชนิด เช่น มะละกอดิบ หอม หัวปลี หั่น แล้วคลุกเคล้ากับกะปิ พริกป่น ตะไคร้ เกลือ และแป้ง แล้วนำไปทอดกรอบค่ะ.
คราวนี้ลองมาดูสูตรสมัยใหม่ของ "กระบอง" กันนะคะ ... ขั้นแรกเลย เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ลองหั่นฟักทองเป็นแผ่นบางๆ แล้วซอยให้เป็นเส้นๆ เหมือนประหนึ่งว่ามันคือ French Fries นั่นล่ะค่ะ จากนั้นหั่นนวดแป้งข้าวเจ้ากับน้ำกะทินะคะ แต่ขอให้ค่อยๆ หยอดน้ำกะทิทีละนืดนะคะ นวดจนแป้งกับกะทิเข้ากัน ตามด้วยใส่มะพร้าวขูดขาว ใส่น้ำพริกแกงเผ็ดซักหน่อย เติมน้ำตาลทรายซัก ๑ ช้อนโต๊ะ เกลือป่นซัก ๑ ช้อนชา คนให้เข้ากัน จากนั้นเราจะใส่ฟักทองที่เราซอยๆ ไว้ ลงคลุกกับส่วนผสมดังกล่าวค่ะ ... เมื่อได้ที่แล้ว เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ก็จัดการตั้งกะทะ ใส่น้ำมัน พอร้อน ก็ตักส่วนผสมซัก ๑ ช้อน ลงทอด ให้มันกระจายเป็นแพสวยๆ นะคะ พอเหลืองทองอร่าม ก็ใช้ตระแกรงตักขึ้น ให้สะเด็ดน้ำมันค่ะ.
แต่ทีนี้ ในโลกตะวันตก เค้าทาน French Fries คลุกเกลือป่นปะแล่มๆ ละจิ้มกับ ketchup ใช่มั๊ยคะ ... กระบองแบบ "เมืองๆ" ก็ไม่น้อยหน้าค่ะ ก็ต้องทานกับน้ำจิ้มเหมือนกัน ลองมารู้จักกับน้ำจิ้มสูตรนี้ดูนะคะ บางที Cherie ก็ทำทานเองเล่นๆ สนุกดีค่ะ ชวนเพื่อนๆ มาทอดเล่นทานกันที่บ้าน สนุกดีนะคะ ... เราเริ่มจากการผสมน้ำส้มสายชู น้ำตาลซัก ๑ ถ้วย เกลือป่นซักช้อนชานึง ตามด้วยพริกชี้ฟ้าแดงโขลก เอาลงรวมในหม้อนะคะ ทีนี้นำเอาส่วนผสมนี้ไปตั้งไฟให้ละลาย เคี่ยวต่อไปเรื่อยๆ จนงวดพอดี ก็ใช้ได้แล้วค่ะ ... มีเคล็ดนิดนึงนะคะ บางคนจะนำฟักทอง ก่อนจะเอาลงชุบกับแป้งเนี๊ยะ ไปแช่กับน้ำปูนใสก่อน่ะค่ะ เพราะต้องการให้ฟักทองมันกรอบกรุบๆ เนื้อไม่เละ ก็เป็นเรื่องดีนะคะ แต่การเลือกผลฟักทองนำมาทำ menu นี้ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ควรจะเลือกฟักทองที่แก่จัดนะคะ เพราะเนื้อจะหวาน มัน และมะพร้าวขูดที่เลือกเอามาผสมกับน้ำแป้งคลุก ก็ควรจะเป็นมะพร้าวใหม่ๆ สดๆ ด้วยค่ะ.
ลองพิจารณาไปเลือกทำ และรับประทานกันยามว่างนะคะ |
|
Back to top |
|
|
tong_sanam
1st Class Pass (Air)
Joined: 15/05/2007 Posts: 1550
Location: พิกัดที่ 385.593
|
Posted: 12/02/2009 2:52 pm Post subject: |
|
|
snack ทำนองนี้ มีที่มา พื้นเพจากชนเผ่า "ไทใหญ่" หรือว่า "เงี้ยว" นั่นเองค่ะ โดยที่พวกเค้าจะเรียก "กระบอง" ว่า "ข่างปอง" ... พวกเค้านิยมนำเอาผักหลายชนิด เช่น มะละกอดิบ หอม หัวปลี หั่น แล้วคลุกเคล้ากับกะปิ พริกป่น ตะไคร้ เกลือ และแป้ง แล้วนำไปทอดกรอบค่ะ.
นึกภาพตามแล้วน้ำลายไหล คงเผ็ดๆ เค็ม ปะแล่มๆ _________________
"ที่นี่สถานีชุมทางสนามชัยเขต
ท่านที่จะเดินทางไป จันทบุรี ตราด
โปรดข้ามไปรอการโดยสารในชานชาลาที่ 2"
|
|
Back to top |
|
|
|