View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
rodfaithai
1st Class Pass (Air)
Joined: 10/07/2006 Posts: 1346
|
Posted: 13/07/2009 11:13 am Post subject: |
|
|
Mongwin wrote: |
ดูตามแผนที่ปี 2478 แล้ว ก็ระบุอาคารแห่งนี้ไว้โดยไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรเพิ่มเติม
ทำให้เข้าใจว่าเป็นของการรถไฟ ไม่ใช่ของหน่วยราชการอื่น
พื้นที่ตรงนี้ ปัจจุบันกลายเป็นวิทยาลัยพยาบาล สงขลาไปแล้วครับ ตั้งแต่ พ.ศ.2509
แต่ก่อนหน้านั้นเป็นพื้นที่การรถไฟ หรือใช้ในกิจการอย่างใด
ยังหาหลักฐานเพิ่มเติมไม่ได้เลยครับ |
การยกที่ให้หน่วยราชการอื่นน่าจะมีหลักฐานอะไรบ้างนะครับ เช่น มติ ครม หรืออื่นๆ
เดิมที่รถไฟสงขลา มาจากการจัดซื้อที่ดินของกรมรถไฟหลวงสายใต้ มีการตั้งคณะกรรมการมากมายหลายท่าน แลเปลี่ยนตัวกันไปมาตามกาลเวลา
การจะยกที่ๆ เราซื้อมา ให้คนอื่นๆ ฟรีๆ นั้นมันก็น่าจะไม่ง่ายนัก น่าจะมีกระบวนการอะไรสักอย่าง |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44917
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 13/07/2009 12:09 pm Post subject: |
|
|
ในหนังสือมรดกเมืองสงขลา มหาวชิราวุธ หน้า ๑๒๒ มีรูปเครื่องบินปีกสองชั้นจอดที่สงขลา พร้อมคำบรรยายซึ่งคัดมาจากหลังภาพว่า
"รูปที่เห็นในภาพนี้คือแสนยานุภาพทางอากาศของสยาม เครื่องบินตรวจการแบบ "แอโร่" ประจำสถานีการบินที่ ๔ ประจวบคีรีขันธ์ เครื่องบินแบบนี้และรูปนี้ โรงงานการต่อเครื่องบินของสยาม "ดอนเมือง" ได้สร้างขั้น ทำขึ้นได้ หมายความว่าสยามทำเครื่องบินใช้ได้บ้างแล้ว ยังจะได้เห็นรูปพันสัณฐานจากภาพนี้
ภาพนี้ถ่ายเมือฝูงบิน ๓ เครื่องนี้ได้บินมาให้ประชาชนชมและโดยสารเที่ยวดูเมืองสงขลาเมื่อกลางงานปีใหม่จังหวัดสงขลา พ.ศ. ๒๔๗๘
๑๐/เมษา/๗๘ เวียน ปัญจะสุวรรณ"
คุณพ่อของคุณพรเลิศ ละออสุวรรณ คงจะขึ้นโดยสารเครื่องบินในคราวเดียวกันนี้ แล้วถ่ายภาพมาครับ
สนามบินสงขลา เดิม คือบริเวณที่เป็นสนามกีฬาติณสูลานนท์ในปัจจุบันนั่นเองครับ
(หลักฐานจากแผนที่ปี 2478) |
|
Back to top |
|
|
rodfaithai
1st Class Pass (Air)
Joined: 10/07/2006 Posts: 1346
|
Posted: 13/07/2009 3:00 pm Post subject: |
|
|
Mongwin wrote: | ในหนังสือมรดกเมืองสงขลา มหาวชิราวุธ หน้า ๑๒๒ มีรูปเครื่องบินปีกสองชั้นจอดที่สงขลา พร้อมคำบรรยายซึ่งคัดมาจากหลังภาพว่า
"รูปที่เห็นในภาพนี้คือแสนยานุภาพทางอากาศของสยาม เครื่องบินตรวจการแบบ "แอโร่" ประจำสถานีการบินที่ ๔ ประจวบคีรีขันธ์ เครื่องบินแบบนี้และรูปนี้ โรงงานการต่อเครื่องบินของสยาม "ดอนเมือง" ได้สร้างขั้น ทำขึ้นได้ หมายความว่าสยามทำเครื่องบินใช้ได้บ้างแล้ว ยังจะได้เห็นรูปพันสัณฐานจากภาพนี้
ภาพนี้ถ่ายเมือฝูงบิน ๓ เครื่องนี้ได้บินมาให้ประชาชนชมและโดยสารเที่ยวดูเมืองสงขลาเมื่อกลางงานปีใหม่จังหวัดสงขลา พ.ศ. ๒๔๗๘
๑๐/เมษา/๗๘ เวียน ปัญจะสุวรรณ"
คุณพ่อของคุณพรเลิศ ละออสุวรรณ คงจะขึ้นโดยสารเครื่องบินในคราวเดียวกันนี้ แล้วถ่ายภาพมาครับ
สนามบินสงขลา เดิม คือบริเวณที่เป็นสนามกีฬาติณสูลานนท์ในปัจจุบันนั่นเองครับ
(หลักฐานจากแผนที่ปี 2478) |
สยาม ทำเครื่องบินใช้เองได้ แต่ผ่านมาหลายสิบปีประเทศไทยยังต้องซื้ออยู่ แม้แต่เครื่องเล็กๆ อย่างอุลตราไลท์ ไมโครไลท์ ก็ พารามอเตอร์ ดูเหมือนว่ายังต้องนำเข้า |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42796
Location: NECTEC
|
Posted: 13/07/2009 4:11 pm Post subject: |
|
|
^^^
เพราะอิทธิฤทธิ์สงคราสมมหาเอเซียบูรพา กองทัพอเมริกันและอังกฤษต้องกานกำลังเหมือนกับการกานเปลือกไม้ก่อนโค่นต้นไม้โดยไม่ยอมให้สร้างเครื่องบินใช้เอง (ผ่านไลเซนส์) นั้นแล |
|
Back to top |
|
|
heerchai
1st Class Pass (Air)
Joined: 29/07/2006 Posts: 7730
Location: อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
|
Posted: 13/07/2009 4:17 pm Post subject: |
|
|
rodfaithai wrote: |
สยาม ทำเครื่องบินใช้เองได้ แต่ผ่านมาหลายสิบปีประเทศไทยยังต้องซื้ออยู่ แม้แต่เครื่องเล็กๆ อย่างอุลตราไลท์ ไมโครไลท์ ก็ พารามอเตอร์ ดูเหมือนว่ายังต้องนำเข้า |
ผมว่าพอๆกับเด็กไทยชนะเป็นแชมป์หุ่นยนต์เป็นสมัยที่ 5 ติดต่อกันมา จนญี่ปุ่นยอมรับความสามารถของเด็กไทย แต่รู้ไหมว่าเด็กกลุ่มนี้จบมา เมืองไทยไม่ค่อยมีอาชีพที่รองรับได้เลย งานนี้สมองไหลไปอยู่ต่างประเทศแน่นอน ภายข้างหน้าเมืองไทยต้องฃื้อเทคโนโลยีจากเด็กกลุ่มนี้โดยผ่านทางบริษัทต่างชาติ คิดแล้วเศร้าสำหรับเมืองไทยนะ ครับ |
|
Back to top |
|
|
BanPong1
1st Class Pass (Air)
Joined: 07/12/2006 Posts: 2733
Location: กม.37 สายเหนือ, กม.68 สายกาญจนบุรี
|
Posted: 13/07/2009 10:14 pm Post subject: |
|
|
^^
ก็คงจะต้องว่ากล่าวเรื่องนี้กันอีกหลายยกครับเฮียใช้
เรามีนักการเมืองส่วนใหญ่ที่ไม่เคยคิดถึง Road Map
เขาเหล่านั้นอาจจะไม่ใจเย็นพอที่จะสร้างคน สร้างงาน สร้างของ ในเวลานานๆ
คิดแต่ว่าซื้อของ ซื้อเทคโนโลยีเอาเร็วกว่าครับ ได้ผลประโยชน์อย่างอื่นอีก
แพทย์ วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ นักออกแบบ เก่งๆเรียนจบ ก็ไปอยู่เมืองนอกหมด
เพราะรายได้ดีกว่าหลายเท่า อยู่แถวๆประเทศใกล้ๆเราก็เยอะครับ ประเทศนี้ก็จะแซงเราในทุกด้านอยู่แล้ว _________________
|
|
Back to top |
|
|
Patiew
1st Class Pass (Air)
Joined: 02/04/2008 Posts: 1058
Location: กำแพงแสน
|
Posted: 13/07/2009 11:48 pm Post subject: |
|
|
Mongwin wrote: | ในรายงานประจำปี 2469 บอกว่าจุรถจักรได้ 5 คันครับ
แต่ผมก็มองเห็นปล่องระบายควันแค่ 4 หัวอย่างที่พี่นพว่าครับ
|
^
^
จากภาพนี้ ป้าพยายามมองมาหลายวันแล้วก็ยังเห็นปล่องระบายควันถึง 5 หัว อยู่เหมือนเดิมค่ะ แต่ไม่รู้จริงๆ ว่ามีกี่หัวกันแน่ เนื่องจากป้าเห็นว่าลักษณะวงกลมนูนๆ 5 จุดที่มองเห็น ถ้าไม่ใช่ปล่องระบายควันทั้งหมด แล้วอีกจุดนึงจะหมายถึงอะไรแน่ ซึ่งถ้าเป็นปล่องระบายควันทั้ง 5 จุด ก็แสดงว่า ณ ที่สถานีแห่งนี้ มีศึกยภาพรองรับการซ่อมบำรุงและการพักรถจักรได้ถึง 5 หัวในเวลาเดียวกันเชียวล่ะ
และสะพานแห่งนี้ (ตรงลูกศรสีแดง) วันที่ลงสำรวจป้ามองเห็นตัวอักษร ร.ศ. อยู่บนแท่นปูนจุดนี้ด้วย ลองให้ อ.เอก และ คุณเจฟ เพ่งดูเพื่อความชัวร์แล้วปรากฎว่ามองเห็นเป็นตัวอักษรเดียวกัน ไม่รู้ว่ามีความหมายอย่างไรนะคะ
|
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44917
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 14/07/2009 7:52 am Post subject: |
|
|
ในรายงานประจำปี 2469 นั้นระบุว่าจุรถจักรได้ 5 คัน
แต่จากการวัดระยะด้วยภาพถ่ายทางอากาศปี 2517 และปี 2520
ทำให้ทราบว่า ซากโรงรถจักรสงขลานั้น
มีความยาวส่วนโค้งของประตูทางเข้าประมาณ 16 เมตร
(ปกติประตูทางเข้า roundhouse 1 ช่องจะมีส่วนโค้งยาวประมาณ 4 เมตร)
ดังนั้นน่าจะจุรถจักรได้เพียง 4 คันครับ
ป้าติ๋วลองดูภาพถ่ายทางอากาศของซากโรงรถจักรในปี 2517 นะครับ
จะเห็นร่องรอยของรางภายในโรงรถจักร เป็นเส้นตรงดำๆ รวม 4 เส้น
(ไม่รวมเส้นขอบโรงรถจักรนะครับ)
เปรียบเทียบกับภาพข้างล่างนี้ ซึ่งเป็นวงเวียนกลับรถจักรที่อุบลราชธานีครับ
|
|
Back to top |
|
|
AONZON
3rd Class Pass
Joined: 06/12/2006 Posts: 221
Location: กรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ
|
Posted: 14/07/2009 9:24 am Post subject: |
|
|
Mongwin wrote: | ในหนังสือมรดกเมืองสงขลา มหาวชิราวุธ หน้า ๑๒๒ มีรูปเครื่องบินปีกสองชั้นจอดที่สงขลา พร้อมคำบรรยายซึ่งคัดมาจากหลังภาพว่า
"รูปที่เห็นในภาพนี้คือแสนยานุภาพทางอากาศของสยาม เครื่องบินตรวจการแบบ "แอโร่" ประจำสถานีการบินที่ ๔ ประจวบคีรีขันธ์ เครื่องบินแบบนี้และรูปนี้ โรงงานการต่อเครื่องบินของสยาม "ดอนเมือง" ได้สร้างขั้น ทำขึ้นได้ หมายความว่าสยามทำเครื่องบินใช้ได้บ้างแล้ว ยังจะได้เห็นรูปพันสัณฐานจากภาพนี้
ภาพนี้ถ่ายเมือฝูงบิน ๓ เครื่องนี้ได้บินมาให้ประชาชนชมและโดยสารเที่ยวดูเมืองสงขลาเมื่อกลางงานปีใหม่จังหวัดสงขลา พ.ศ. ๒๔๗๘
๑๐/เมษา/๗๘ เวียน ปัญจะสุวรรณ"
คุณพ่อของคุณพรเลิศ ละออสุวรรณ คงจะขึ้นโดยสารเครื่องบินในคราวเดียวกันนี้ แล้วถ่ายภาพมาครับ
สนามบินสงขลา เดิม คือบริเวณที่เป็นสนามกีฬาติณสูลานนท์ในปัจจุบันนั่นเองครับ
(หลักฐานจากแผนที่ปี 2478) |
"""เดิมนั้น ทอ.มีสนามบินอยู่ที่สงขลา ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของกองทัพเรือครับ เครื่องบินที่เห็นคือ AVRO 504N เป็นเครื่องบินที่ ทอ.สร้างเองจากสิทธิบัตรของอังกฤษ
ประเทศไทยออกแบบสร้างเครื่องบินขึ้นใช้งานเองมานานแล้วครับ....ครั้งแรกเมื่อราวปี 2465 ในช่วงปีที่มีการสร้างสนามบินทั่วประเทศ อย่างน้อยจังหวัดละ ๑ แห่ง การสร้างเครื่องบินแบบจำยอมเริ่มมาจากการที่เครื่องบินฝึกที่ดอนเมืองได้รับความเสียหาย...จึงมีการซ่อมและสร้างใหม่..โดยการหาวัสดุในประเทศเอง ทั้งผ้าใบ และไม้ที่มีความแข็งแต่เบา...ปัญหาหนึ่งคือน้ำยาทาผ้าใบ..ปรากฏว่าน้ำยาที่ซื้อมาใส่ถังเหล็กพออยู่เมืองไทยร้อนและเสียกว่าจะซื้อใหม่ก็ต้องลงเรือมาจากยุโรป...สมัยนั้นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมา(ปัจจุบันคือกรมวิทยาศาสตร์ทหารบก) จึงคิดน้ำยาจากพันธุ์พืชในบ้านเรา..เพื่อมาทางพื้นผิวผ้าใบ (เครื่องบินสมัยก่อนเป็นโครงไม้ขึงลวดและบุผ้าใบ) น้ำยาที่ว่าพัฒนามาเป็นน้ำยากรอบรูปวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน .....จากนั้น บุพการีทหารอากาศ (พันเอกพระเฉลิมอากาศ) ท่านคิดว่า เครื่องบินที่ซื้อจากฝรั่งเศสมานี่..เกิดวันหนึ่งฝรั่งเศสไม่ขายเครื่องยนต์หรืออะไหล่ให้ หรือโก่งราคา จะทำอย่างไร ในสมัยนั้นการบินของยุโรปก้าวหน้ากว่าอเมริกามากหลายเท่าตัว พอมาถึงยุคสงครามโลก อเมริกาจึงพัฒนาการบินของตนในขณะที่ชาติยุโรปมัวแต่ทำสงคราม อเมริกาจึงมีเทคโนโลยีดีกว่าใคร..เพราะหวังสร้างขายให้ชาติอื่นไปทำสงคราม ครับ.....ด้วยดำริของบุพการี...จึงมีการออกแบบเครื่องบินฝรั่งเศสแล้วเลือกใช้เครื่องยนต์เยอรมันและอังกฤษ เรียกชื่อว่า "บริพัตร" นับเป็นก้าวแรกของโลกที่เครื่องบินสามารถเลือกเครื่องยนต์ได้..พัฒนาเป็นเครื่องบินโดยสารทุกวันนี้ที่ผู้ใช้เลือกเครื่องยนต์จากต่ายนั้นค่ายนี้ได้ครับ.....บริพัตร ถูกสร้างออกมาไม่มาก กำหนดชื่อเรียกว่า เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบที่ ๒ ใช้บินไปอวดธงชาติไทยที่อินเดีย สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับอังกฤษ..แล้วยังบินไปเวียดนาม เพื่อวางพวงมาลาทหารสงครามโลกครั้งที่ ๑ ร่วมกับฝรั่งเศส..มีเครื่องบินที่ทำการซื้อสิทธิบัตรมาสร้างเองเป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรกก็คือ AVRO 504 (อ่านว่าแอฟโร่) จำนวน หลายสิบเครื่องเพื่อใช้เป็นเครื่องบินฝึก...ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประจวบและโคราช..ต่อมา บุพการี หวังจะรวบรวมเงินที่มี สร้างโรงงานสร้างเครื่องบินที่หลังสถานีรถไฟบ้านม้า อยุธยา แต่ครั้นเกิดเหตุการณ์กบฎบวรเดช ทำให้ กำลังทางอากาศถูกยึดเงินและปลดนายทหารนักบิน...คงเหลือแต่ช่างกับนักบินเด็กๆ แต่ครั้นปี ๒๔๘๐ จอมพล ป. ท่านคิดว่า ฝรั่งเศสจะเป็นภัยกับเราในอนาคต จึงส่งเสริมและเปลี่ยนกองบินทหารบก ยกฐานะเป็นกรมทหารอากาศ และเป็นกองทัพอากาศ ในวันที่ ๙ เมษายน ๒๔๘๐ เมื่อเกิดกองทัพอากาศ จึงมีการซื้อเครื่องบินจำนวนมาก..และซื้อสิทธิบัตรเครื่องบินมาสร้างแบบ คอร์แซร์ นับร้อย พอๆกับแบบ ฮอว์ค ๓ แต่ทั้งสองแบบเป็นเครื่องบินปีกสองชั้นแม้จะบุโลหะแล้วก็ตาม....ในปี ๒๔๘๓ ทอ.จึงซื้อเครื่องบินขับไล่แบบ NA-68 และเครื่องบินโจมตี NA-69 ที่เป็นเครื่องบินลูกสูบดาวปีกชั้นเดียวมาแบบละ ๖ และ ๑๐ เครื่องตามลำดับ...พร้อมสิทธิบัตรสร้างกว่าร้อยเครื่อง (ทอ.สหรัฐฯ สมัยนั้นคือกองทัพบก ไม่นิยมเครื่องบินลูกสูบดาว เพราะโบราณไม่น่าเกรงขามและเชื่องช้า..แต่พอสหรัฐฯเข้าสงครามพบว่า เครื่องบินญี่ปุ่นที่เป็นเครื่องยนต์ลูกสูบดาวสังหารเครื่องบินอเมริกันแบบเพียวลมได้จำนวนมากจึงเปลี่ยนแนวคิดมาชอบลูกสูบดาว) แต่ด้วยเหตุที่อเมริกันคาดการณ์ว่าญี่ปุ่นจะยกพลบุกไทยในอนาคตและเกรงว่าเครื่องบินเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อญี่ปุ่นจึงยึดเครื่องบินเหล่านี้ไว้ที่ฮาวายและฟิลิปินส์ ขณะลงเรือมาไทยแล้ว ทั้งๆ ที่ติดธงชาติไทย ....ไทยจึงมิได้สร้างเครื่องบินแบบนี้เข้าสงคราม...แต่อาจจะเป็นความโชคดี..เพราะถ้าสร้าง..เราคงพัฒนาอีกหลายรุ่น และเราคงจะโดนระเปิดปรมณูไปด้วยเพราะเป็นผู้เข้าร่วมสงครามเต็มตัว......จากนั้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทอ.ไทยซื้อสิทธิบัตรสร้างเครื่องบิน T-6 จากอเมริกา พร้อมซื้อเครื่องบินมาจำนวน ๑๒ เครื่อง..มีแผนที่จะสร้าง T-6 มากกว่าร้อยเครื่อง...แต่อยู่ๆ อเมริกาบอกจะมอบเครื่องบินฝึกโจมตีแบบ T-6 ให้ ๒๐๐ เครื่อง (ทะยอยให้) และแบร์แคท จำนวนหนึ่ง (๒๐๔ เครื่อง) โครงการสร้างเลยยุติตั้งแต่นั้นมา (ได้ฟรีเลยไม่คิดสร้าง และฟรีจนเคยตัวมาถึงยุคสงครามเวียดนาม) เครื่องบินแบบสุดท้ายที่สร้างเครื่องประจำการคือ "จันทรา" จำนวน ๑๔ เครื่อง แบบล่าสุดที่กำลังอยู่ในการสร้างคือ "บ.ชอ.๒" และ "บ.ทอ.๖" โดยการเอาเครื่อง SF-260 ของอิตาลี่ มาถอดทุกชิ้นส่วนก็อปปี้ เอาดื้อๆเลยครับ...แต่ถ้าจะสร้างเครื่องบินไอพ่นคงต้องอีก ๑๐ ปีเป็นอย่างน้อยครับ....ยกเว้นแต่ บริษัทอุตสาหกรรมการบิน จำกัด TAI บริษัท ซ่อมสร้างเครื่องบินของรัฐบาล ที่สร้างมาตามความคิดอดีตนายกทักษิณที่ต้องการให้เครื่องบินทางราชการซ่อมในประเทศไทยด้วยช่างคนไทย (ที่ผ่านมาส่งไปซ่อมสิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยช่างไทยและคนชาตินั้นๆ ทำไมเงินทองต้องออกนอกประเทศ) ปัจจุบัน TAI ซ่อม F-16 C-130 G-222 BOEING 737 PC-9 UH-1H AVRO748 ฯลฯ อนาคตอาจจะพัฒนาไปสู่การสร้างเครื่องบินครับ _________________ ภาพถ่ายในวันนี้..คือประวัติศาสตร์ในวันพรุ่งนี้ |
|
Back to top |
|
|
rodfaithai
1st Class Pass (Air)
Joined: 10/07/2006 Posts: 1346
|
Posted: 14/07/2009 9:45 am Post subject: |
|
|
Mongwin wrote: | ในรายงานประจำปี 2469 นั้นระบุว่าจุรถจักรได้ 5 คัน
แต่จากการวัดระยะด้วยภาพถ่ายทางอากาศปี 2517 และปี 2520
ทำให้ทราบว่า ซากโรงรถจักรสงขลานั้น
มีความยาวส่วนโค้งของประตูทางเข้าประมาณ 16 เมตร
(ปกติประตูทางเข้า roundhouse 1 ช่องจะมีส่วนโค้งยาวประมาณ 4 เมตร)
ดังนั้นน่าจะจุรถจักรได้เพียง 4 คันครับ
|
เยี่ยมจริงๆ ครับ ตามหลักกาลามสูตรเลย
ว่าแต่ว่ารายงานเค้าพิมพ์ผิด หรือว่ายังไงดีละครับ
Mongwin wrote: |
เปรียบเทียบกับภาพข้างล่างนี้ ซึ่งเป็นวงเวียนกลับรถจักรที่อุบลราชธานีครับ
|
วา...ว Round house locomotive shed ของจริง
ภาพนี้ถ่ายเมื่อไหร่ครับ |
|
Back to top |
|
|
|