View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 45139
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 25/04/2012 6:51 am Post subject: |
|
|
เปิดแผนก่อสร้างไฮสปีดเทรน "จารุพงศ์" เตรียมชง "ปู" เคาะตั้ง บ.รถไฟฟ้าฯ จก. ดูแลครบวงจร
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 เมษายน 2555 00:34 น.
คมนาคม เปิดแผนก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง เบื้องต้นกำหนด 4 เส้นทาง เตรียมเสนอนายกฯ เคาะตั้งบริษัท รถไฟความเร็วสูงแห่งชาติ จำกัด เพื่อเข้ามารับผิดชอบดำเนินการครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบ จัดหาที่ดิน ประกวดราคา จัดหาระบบรถไฟฟ้า ตลอดจนกำกับดูแลสัญญาเดินรถ ลั่นต้องเกิดขึ้นแน่ ยุคที่พรรค พท. บริหารประเทศ
นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยผลการประชุมร่วมกับคณะผู้บริหารของกระทรวงคมนาคม วานนี้ โดยระบุว่า ที่ประชุมได้ข้อสรุปให้มีการจัดตั้ง บริษัท รถไฟความเร็วสูงแห่งชาติ จำกัด เพื่อรับผิดชอบดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงในระยะแรก เช่นในขั้นตอนการศึกษาและออกแบบ จัดหาที่ดิน ประกวดราคา จัดหาระบบรถไฟฟ้า ตลอดจนกำกับดูแลสัญญาเดินรถอย่างครบวงจร ซึ่งในเร็วๆ นี้ เตรียมเสนอให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พิจารณาเห็นชอบ
ทั้งนี้ โครงการรถไฟความเร็วสูง เตรียมดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล เบื้องต้นกำหนดไว้จำนวน 4 สายทาง โดยให้ปรับระยะทางการก่อสร้างให้สั้นลง เพื่อให้สามารถผลักดันโครงการที่พรรคเพื่อไทย (พท.) หาเสียงไว้ให้มีผลงานเกิดเป็นรูปธรรมได้เร็วขึ้น และให้เป็นจริงมากที่สุดภายใน 4-5 ปีนี้ ตามกรอบระยะเวลาที่รัฐบาลบริหารประเทศ
"ภายหลังจากที่เดินทางเยือนจีนและญี่ปุ่น ร่วมกับคณะของนายกฯ รัฐมนตรี ซึ่งทั้ง 2 ประเทศเสนอที่จะเข้ามาพัฒนาและศึกษารายละเอียดโครงการ ในการพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงพร้อมกันทั้ง 4 เส้นทาง คาดว่าเริ่มก่อสร้างภายใน 1-2 ปีข้างหน้า"
สำหรับการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าใน 4 เส้นทาง ได้แก่
1.เส้นทางสายเหนือจากกรุงเทพฯ-พิษณุโลก
2.สายตะวันออกเฉียงเหนือ กรุงเทพฯ-นครราชสีมา
3.สายใต้ เส้นทางกรุงเทพฯ-หัวหิน และ
4.สายตะวันออก กรุงเทพฯ-ระยอง
ระยะเวลาก่อสร้างตั้งแต่ปี 2557 และเสร็จภายในปี 2562 โดยเบื้องต้น ยังไม่มีการสรุปว่า โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงนั้นจะเริ่มก่อสร้างในเส้นทางใดก่อน
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เรื่องการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงนั้น ไม่ใช่เป็นแค่นโยบายของรัฐบาลเท่านั้น แต่ถือว่าเป็นอนาคตของประเทศไทย ซึ่งเบื้องต้นมองว่า เส้นทางไปสู่ภาคใต้นั้น เป็นเส้นทางที่ได้มีประชาชนเดินทางมากที่สุด แต่ในการก่อสร้างนั้น ต้องประกอบด้วยข้อมูลหลายอย่างที่จะต้องนำมาเป็นปัจจัยในการพิจารณาการก่อสร้าง อาทิ จำนวนประชากร กำลังทรัพย์ของประชาชนที่จะใช้ในการเดินทาง เป็นต้น
ส่วนการก่อสร้างในเส้นทางสายเหนือนั้น อาจจะต้องใช้ระยะเวลานานกว่าเส้นทางสายอื่น เนื่องจากภูมิประเทศ มีภูเขามาก และสำหรับเส้นทางสายภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเส้นทางเหมาะกับการก่อสร้าง เนื่องจากเป็นทางตรง สะดวกต่อการก่อสร้าง ซึ่งจากการที่ดูในภาพรวมนั้น เส้นทางสู่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีความเป็นไปได้มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า มั่นใจว่าใน 4 ปี จะต้องมีรถไฟความเร็วสูง เกิดขึ้นให้ได้อย่างน้อย 1 เส้นทาง ซึ่งการพัฒนารถไฟความเร็วสูงนั้น จะสามารถช่วยให้ประเทศไทยพัฒนาไปได้อย่างก้าวกระโดด |
|
Back to top |
|
|
Saijuk
3rd Class Pass
Joined: 04/01/2012 Posts: 7
|
Posted: 25/04/2012 8:37 am Post subject: |
|
|
นโยบายขายฝันครับ ถ้าทำแล้วค่าโดยสารแพงจะทำยังไง ดูอย่างรถไฟฟ้าสุวรรณภูมิรถด่วน
90 บาท แค่วิ่งจากกรุงเทพไปแค่สมุทรปราการ ถ้าไปนครราชสีมาหรือจา
งหวัดอื่นจะเท่าไร
สู้เอางบมาพัฒนาระบบรางในปัจจุบันให้ได้มาตรฐาน และทำรางคู่ไม่ง่ายกว่าหรอครับ ลองคิดดูถ้าเราทำรางคู่ได้ทั้งหมดจะทำให้รถเสียเวลาน้อยลง แล้วพัฒนารางให้ได้มาตรฐาน
ในปัจจุบัน ไม่ต้องทำความเร็วเหมือนที่ญี่ปุ่นก็ได้ แค่ได้มากกว่าทุกวันนี้ก็ดีแล้ว ไหนจะหัวรถจักรอีกจัดซื้อทีกี่นาน แล้วทางตัดเครื่องกั้นให้มีครบทุกทีครับ ง่ายกว่าไหม
สรุปว่าของเดิมมีอยู่แล้วไม่พัฒนาแล้วก็
จะทิ้งรถไฟแบบเดิมหรอครับ
ผมอยากให้ลอลคิดดูนะครับ |
|
Back to top |
|
|
daewoo2525
3rd Class Pass
Joined: 04/01/2011 Posts: 23
|
Posted: 25/04/2012 9:24 am Post subject: |
|
|
ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ เท่าที่ทราบระบบรถไฟความเร็วสูงของจีนนั้น ยังไม่เสถียรและมีประสิทธิภาพเหมือนระบบชิงกังเซ็นของญี่ปุ่น ที่ประเทศญี่ปุ่นระบบการเดินรถไฟชิงกันเซ็นเป็นมาตรฐานและยังไม่เคยเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงอย่างเช่นที่เคยเกิดขึ้นในประเทศจีน อย่างมากก็แค่ไฟดับเนื่องจากแผ่นดินไหวหรือซึนามิเท่านั้นเอง
การที่ประเทศไทยจะจับมือลงทุนรถไฟความเร็วสูงจากประเทศจีนนั้น ในส่วนตัวผมเอง ผมว่ามันแฝงความน่ากลัวของความไม่เสถียรในระบบของจีนที่หลายๆคนรู้สึกอยู่ ทั้งตัวรถเอง ระบบอานัติสัญญาน ระบบราง ฯลฯ และยิ่งเป็นไฮสปีดเทรนแล้ว ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา มันน่าจะร้ายแรงมากกว่ารถไฟรางเมตรเดียว
ก่อนหน้านี้ที่เวียดนามเคยคิดจะทำรถไฟความเร็วสูง รัฐบาลเวียดนามก็มีท่าทีที่จะเลือก "ญี่ปุ่น" มากกว่าจีน ผมเองไม่ทราบว่าเพราะอะไร รัฐบาลเขาถึงเลือก "ญี่ปุ่น" แต่ที่แน่ๆมันตรงกับความรู้สึกของผมลึกๆว่า รัฐบาลเวียดนามคงอยากใช้ของที่มีคุณภาพมากกว่าของถูกกระมัง |
|
Back to top |
|
|
nutsiwat
2nd Class Pass
Joined: 03/03/2011 Posts: 684
Location: สถานีเรณูนคร
|
Posted: 25/04/2012 10:58 am Post subject: |
|
|
daewoo2525 wrote: | ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ เท่าที่ทราบระบบรถไฟความเร็วสูงของจีนนั้น ยังไม่เสถียรและมีประสิทธิภาพเหมือนระบบชิงกังเซ็นของญี่ปุ่น ที่ประเทศญี่ปุ่นระบบการเดินรถไฟชิงกันเซ็นเป็นมาตรฐานและยังไม่เคยเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงอย่างเช่นที่เคยเกิดขึ้นในประเทศจีน อย่างมากก็แค่ไฟดับเนื่องจากแผ่นดินไหวหรือซึนามิเท่านั้นเอง
การที่ประเทศไทยจะจับมือลงทุนรถไฟความเร็วสูงจากประเทศจีนนั้น ในส่วนตัวผมเอง ผมว่ามันแฝงความน่ากลัวของความไม่เสถียรในระบบของจีนที่หลายๆคนรู้สึกอยู่ ทั้งตัวรถเอง ระบบอานัติสัญญาน ระบบราง ฯลฯ และยิ่งเป็นไฮสปีดเทรนแล้ว ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา มันน่าจะร้ายแรงมากกว่ารถไฟรางเมตรเดียว
ก่อนหน้านี้ที่เวียดนามเคยคิดจะทำรถไฟความเร็วสูง รัฐบาลเวียดนามก็มีท่าทีที่จะเลือก "ญี่ปุ่น" มากกว่าจีน ผมเองไม่ทราบว่าเพราะอะไร รัฐบาลเขาถึงเลือก "ญี่ปุ่น" แต่ที่แน่ๆมันตรงกับความรู้สึกของผมลึกๆว่า รัฐบาลเวียดนามคงอยากใช้ของที่มีคุณภาพมากกว่าของถูกกระมัง |
ในมุมมองของผม ผมสนใจรถไฟความเร็วสูงของประเทศญี่ปุ่นมากกว่า เนื่องจากเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงมีความก้าวล้ำและมีความทันสมัยสูง แต่สำหรับประเทศจีน จะมีศักยภาพในด้านการลงทุนและการพัฒนาเส้นทางรถไฟความเร็วสูงได้มาก หากประเทศไทยจะมองถึงการก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงครอบคลุมทั่วประเทศแล้ว ในด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยผมขอยกให้ประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศแรก ๆ ที่ประเทศไทยน่าสนใจให้ประเทศญี่ปุ่นมาลงทุนในบ้านเรา ทั้งระบบราง ตัวรถ หัวรถจักร และในเรื่องของอุบัติเหตุเกี่ยวกับรถไฟความเร็วสูงของประเทศญี่ปุ่น ไม่ค่อยพบได้บ่อย นอกจากอุบัติเหตุที่เกิดจากภัยธรรมชาติเท่านั้น ส่วนประเทศจีน ค่อนข้างจะเกิดอุบัติเหตุรถไฟความเร็วสูงอยู่บ่อยครั้ง ในภูมิภาคเอเชียผมขอให้ญี่ปุ่นเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยี คือไม่ต้องพูดถึงประเทศแถบยุโรปที่จะมาลงทุนในการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงในบ้านเรา ค่อนข้างทีึ่จะใช้งบประมาณค่อนข้างสูงมาก หากจะมีการลงทุนก่อสร้างจริงอย่างน้อย ๆ เราน่าจะให้ความสนใจไปที่ประเทศญี่ปุ่นนะครับ หากจะมีการลงทุนก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง และที่สำคัญประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นก็มีความสัมพันธ์มาช้านานเช่นกัน ไม่ต่างกับประเทศจีน อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่า ต้องการให้ประเทศใดมาลงทุนก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงในประเทศของเรา ว่าต้องการของถูกหรือว่าต้องการของดีนะครับ |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42839
Location: NECTEC
|
Posted: 26/04/2012 4:40 am Post subject: |
|
|
กลับจากจีน"ปู"สั่งเร่งรถไฟความเร็วสูง นำร่องสายเหนือ"กรุงเทพฯ-พิษณุโลก"
ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555 เวลา 10:57:32 น.
"ปู" เครื่องร้อน สั่งเร่งโครงการไฮสปีดเทรน คมนาคมเด้งรับ รื้อแผนลงทุน 4 สายใหม่ หด 2 เส้นทางสายเหนือ-ตะวันออก เปิดหวูดจากกรุงเทพฯถึงพิษณุโลก-พัทยา ระยะทางสั้นลงกว่า 400 กม. เงินลงทุนลดลง 1.2 แสนล้าน ฟันธงเส้นนำร่องสาย "กรุงเทพฯ-พิษณุโลก"
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคมเปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ทางฝ่ายการเมืองได้มอบนโยบายให้ผู้บริหารของกระทรวงคมนาคมปรับแผนการลงทุนก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูง จำนวน 4 สายทาง ตามนโยบายของรัฐบาลใหม่อีกรอบ โดยให้ปรับระยะทางการก่อสร้างให้สั้นลง เพื่อให้สามารถผลักดันโครงการที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้ให้มีผลงานเกิดเป็นรูปธรรมได้เร็วขึ้น และให้เป็นจริงมากที่สุดภายใน 4-5 ปีนี้ ตามกรอบระยะเวลาที่รัฐบาลบริหารประเทศ
โดยทั้ง 4 สายทางที่ทบทวนใหม่มีระยะทางรวมเหลือ 996 กิโลเมตร ใช้เงินลงทุนประมาณ 359,006 ล้านบาท ปรับลดจากแผนงานเดิมที่มีระยะทางรวม 1,447 กิโลเมตร เงินลงทุน 481,066 ล้านบาท โดยจะมีเพียง 2 สายทางที่ปรับลดระยะทางและเงินลงทุนลงคือ
สายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ เหลือแค่กรุงเทพฯ-พิษณุโลก และ
สายกรุงเทพฯ-ระยอง ปรับลดเหลือกรุงเทพฯ-พัทยา
รายละเอียดแผนและเส้นทาง 4 สายทาง มีดังนี้
1) สายกรุงเทพฯ-พิษณุโลก ระยะทาง 328 กิโลเมตร เงินลงทุน 121,014 ล้านบาท ปรับลดระยะทางจากเดิม 745 กิโลเมตร เงินลงทุนเดิม 229,809 ล้านบาท
2) สายกรุงเทพฯ-พัทยา ระยะทาง 187 กิโลเมตร เงินลงทุน 59,000 ล้านบาท ปรับลดระยะทางจากเดิมเป็นสายกรุงเทพฯ-ระยอง ซึ่งระยะทางรวม 221 กิโลเมตร เงินลงทุนเดิม 72,265 ล้านบาท
อีก 2 สายทางที่เหลือจะใช้แผนระยะทางและเงินลงทุนเท่าเดิมคือ
3) สายกรุงเทพฯ-โคราช ระยะทาง 256 กิโลเมตร เงินลงทุน 96,826 ล้านบาท และ
4) สายกรุงเทพฯ-หัวหิน ระยะทาง 225 กิโลเมตร เงินลงทุน 82,166 ล้านบาท
"ที่ต้องปรับสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ให้สั้นลง เพราะแนวเส้นทางส่วนใหญ่จะพาดผ่านภูเขา ทำให้การก่อสร้างอาจจะค่อนข้างยากเพราะจะต้องเจาะภูเขา ขณะที่สายกรุงเทพฯ-ระยองสร้างแค่พัทยา เพราะดูแล้วจะคุ้มค่ากว่าเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวและอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ซึ่งเส้นทางนี้จะใช้วิธีต่อขยายจากรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ไป"
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า ทั้งนี้จาก 4 สายทาง นโยบายของฝ่ายการเมืองให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการก่อสร้างสายกรุงเทพฯ-พิษณุโลกก่อนเป็นลำดับแรก เนื่องจากสายนี้ทางประเทศจีนมีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนทั้งก่อสร้างและขายระบบรถไฟฟ้า รวมทั้งมีประเทศญี่ปุ่นที่แสดงความสนใจจะเข้าลงทุนด้วยเช่นกัน
"หลังจากที่นายกฯ (ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) กลับจากประเทศจีน แผนการลงทุนรถไฟความเร็วสูงน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งเรื่องการลงทุน แผนโครงการที่ชัดเจนขึ้น หลังจากเมื่อปลายปีที่แล้วทั้ง 2 รัฐบาลได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือร่วมกัน เพื่อผลักดันให้โครงการสามารถแจ้งเกิดได้เร็วที่สุด"
สำหรับความคืบหน้าของโครงการปัจจุบัน ทางสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) อยู่ระหว่างศึกษาความเหมาะสมของโครงการให้แล้วเสร็จในปี 2555 และมีแผนจะเปิดประมูลและก่อสร้างตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไป โดยจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4 ปีครึ่ง คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2561
"ฝ่ายการเมืองพยายามเร่งรัดโครงการมาก ตอนแรกอยากจะให้เสร็จใน 3 ปี เท่ากับเวลาที่รัฐบาลบริหารประเทศ แต่ความเป็นไปได้นั้นยาก เพราะการลงทุนรถไฟความเร็วสูงเป็นครั้งแรกของประเทศไทยและใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง แม้แต่ล่าสุดขณะนี้รูปแบบการลงทุนก็ยังไม่สรุปว่าจะเป็นรูปแบบไหน ทางรัฐบาลให้กระทรวงการคลังไปศึกษารวมถึงแหล่งเงินที่จะนำมาลงทุนด้วย"
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงคมนาคมได้ศึกษารูปแบบการลงทุนเบื้องต้นไว้บ้างแล้ว โดยจะให้การรถไฟฯตั้งบริษัทลูกขึ้นมาเหมือนกับโครงการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ โดยจะใช้ชื่อว่า บริษัท รถไฟความเร็วสูงแห่งประเทศไทย จำกัด ขึ้นมารับผิดชอบโครงการ
ทั้งนี้ คาดว่าตามขั้นตอน สนข.จะต้องนำเสนอให้นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณา เพื่อเสนอตามขั้นตอนขึ้นไปสู่วาระที่ประชุมคณะรัฐมนตรีตัดสินใจได้ในเร็ว ๆ นี้
คมนาคมเดินหน้าก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง หลังจีนและญี่ปุ่นให้ความสนใจร่วมลงทุน
วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555 เวลา 21:49:08 น.
นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยหลังการประชุมโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ว่า จีนและญี่ปุ่นสนใจที่จะร่วมลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงของไทย ที่ประชุมในวันนี้จึงได้หารือถึงรูปแบบองค์กร รูปแบบการดำเนินการการสำรวจออกแบบ การลงทุน ซึ่งทั้งหมดจะต้องสรุปและรายงานต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พิจารณา จากนั้นจะต้องตั้งคณะกรรมการกำกับพัฒนารถไฟความเร็วสูง โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งจะกำกับดูแล 5 ข้อ ประกอบด้วย
1 คณะกรรมการร่างกรอบความต้องการของประเทศเพื่อดำเนินงานระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูง
2 ด้านเทคนิควิศวกรรม
3 ด้านการเงินการลงทุน
4 การเพิ่มมูลค่าโครงการ และ
5 คณะกรรมการด้านบริหารการเดินรถ
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นจะดำเนินการรถไฟฟ้าความเร็วสูง 4 เส้นทาง จากทั้งหมด 5 เส้นทาง คือ
1.กรุงเทพ-เชียงใหม่ ระยะทาง 745 กิโลเมตร มูลค่า 229,000 ล้านบาท โดยระยะแรกจะดำเนินการจากกรุงเทพ-พิษณุโลก ก่อน ระยะที่สอง จึงจะขยายไปถึงเชียงใหม่
2.กรุงเทพ-หนองคาย ระยะทาง 615 กิโลเมตร มูลค่า 201,449 ล้านบาท ระยะแรกจะดำเนินการจากกรุงเทพ-นครราชสีมา ก่อน ระยะสองจึงจะขยายต่อไปถึงหนองคาย
3.กรุงเทพ-ระยอง ระยะทาง 221 กิโลเมตร มูลค่า 72,265 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยระยะแรกจะดำเนินการถึงพัทยา ระยะสองจึงจะขยายไปถึงระยอง และ
4.กรุงเทพ-หัวหิน |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 45139
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 26/04/2012 1:39 pm Post subject: |
|
|
สวัสดีเศรษฐกิจ : สัญญาณทางเศรษฐกิจ : การอ่านว่ายังดีขึ้น-เลวลงแบบง่ายๆ
โดย...สุรพล โอภาสเสถียร
คมชัดลึก 26 เม.ย. 55
เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องปากท้อง เรื่องการกิน การอยู่ ล้วนเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องและส่งผลกระทบต่อผู้คนในระบบเศรษฐกิจหรือในสังคมนั้นๆ และเพราะเรื่องเศรษฐกิจนี่แหละที่เป็นปัจจัยนำไปสู่เรื่องของสังคม เรื่องของการบ้านการเมืองในที่สุด เป้าหมายสุดท้ายของระบบเศรษฐกิจที่ทุกฝ่ายมุ่งจะไปสู่คือ ไม่มีการว่างงานหรือที่ภาษาทางการกล่าวว่า อัตราการว่างงานในช่วงเวลาใดๆ เป็นศูนย์
เป้าหมายต่อมาคือ อัตราเงินเฟ้อต่ำหรือที่ชาวบ้านเข้าใจก็คือ ข้าวของทั้งของกิน-ของใช้ไม่แพงเพิ่มขึ้น ประการสุดท้ายคือบ้านเมืองมีการเจริญเติบโต มีความก้าวหน้า หากอะไรที่ต่างประเทศมีแล้วดีต่อคนในประเทศ เราก็ควรจะมีอย่างเขา เช่น เขามีระบบรถไฟที่ทันสมัย ปลอดภัย รวดเร็ว สะดวกสบาย ประเทศไทยของเราก็ควรมีอย่างเขาบ้างตามฐานานุรูป ไม่มากไม่น้อยเกินไป
สุดท้ายของสุดท้าย คนที่ร่ำรวยกับคนที่ยากจนก็ไม่ควรจะมีความห่างกันเป็นสิบๆ เท่า อย่าให้ต้องเป็นแบบว่าเกิดมาก็รู้เลยว่าตอนสิ้นลมจะไม่มีอะไรทั้งที่อยู่คือบ้านก็ไม่เคยมีกับเขา อาหารการกินก็อดๆ อยากๆ ไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าที่ควรจะมี และสุดท้ายป่วยไข้ก็ต้องอดต้องทน ไม่มีที่พึ่งเพราะจ่ายค่ารักษาไม่ได้ เราๆ ท่านๆ ได้อ่านได้เห็นในข่าวจากประเทศที่กำลังมีปัญหาเศรษฐกิจ เช่น อิตาลี กรีซ ว่ามีคนตัดสินใจฆ่าตัวตายเพราะไม่รู้จะอยู่ต่อไปได้อย่างไร...เหล่านี้ไม่ควรเกิดและจะต้องไม่เกิดบนแผ่นดินซึ่งได้ชื่อว่ามีความอุดมสมบูรณ์ เช่นประเทศไทย
เป้าหมายสุดท้ายของระบบเศรษฐกิจและสังคมไทยภาษาบ้านๆ คือ "ร่มเย็นเป็นสุข" ไม่ใช่ความสุขนั้นกระจุก ความทุกข์นั้นกระจาย.
ในระดับชาวบ้าน คนทำงาน มนุษย์เงินเดือน พนักงานโรงงาน ช่างเทคนิค พ่อค้าแม่ขาย อาเฮีย-อาซ้อ เถ้าแก่-หลงจู๊ ที่ไม่ใช่นักวิชาการนั้น บางครั้งเขาก็พยายามจะฟังเรื่องที่มีการสื่อสารออกมาจากท่านผู้รู้ ท่านกูรู หรือกระทั่งท่านกูรู้ทั้งหลาย แต่จะตกม้าตายเรื่องที่จะทำให้เกิดความเข้าใจแถวๆ อุปสงค์ อุปทาน อัตราเงินเฟ้อทั่วไป อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ดุลการค้า ดุลบริการหรืออะไรที่เป็นภาษาแบบที่ยากแก่การจะเข้าใจเช่น ควรจะสนทนาสุนทรี หรือเสวนาสุนทรี ทั้งที่ภาษาชาวบ้านคือ พูดจากันดีๆ ได้มั้ย อย่ากวน...กัน
ท่านผู้อ่านทราบหรือไม่ว่าเรื่องทางเศรษฐกิจนั้น ผู้ที่ขับเคลื่อนนโยบายในอดีตที่เป็นถึงระดับดอกเตอร์นั้นเขาใช้ สัญญาณทางเศรษฐกิจ : การอ่านว่ายังดีขึ้น-เลวลงแบบบ้านๆ และเข้าใจง่ายๆ เพื่อการติดตามประเมินผลสิ่งที่ได้ดำเนินการไปคือ
1.อัตราการเติบโตของยอดขายบะหมี่สำเร็จรูป ว่ามีการเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา ไตรมาสที่ผ่านมา หรือเทียบเดือนนี้ ไตรมาสนี้ กับเดือนหรือไตรมาสเดียวกันของปีก่อนว่าเป็นอย่างไร หากเพิ่มขึ้นเกินกว่า 15-20% แล้วก็ถือว่าเป็นสัญญาณในทางลบ เพราะบะหมี่สำเร็จรูปจะเป็นอาหารในยามเศรษฐกิจไม่ค่อยดี หรือในยามที่ต้องประหยัด หรือในยามที่มีรายได้จำกัด ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ดัชนีมาม่า
2.ปริมาณธุรกิจซื้อขายขยะ หากคึกคักมีการค้าขายกันมาก ขยะเยอะ ของไม่ทันไรก็ทิ้งอย่างนี้สะท้อนเศรษฐกิจดี เพราะใช้จ่ายกันสะพัด แต่หากมากไป เกินไปก็เข้าข่าย บริโภคเกินความจำเป็น อย่างนี้อันตราย
3.รายได้ของคนขับรถแท็กซี่ เป็นอย่างไร มีการสำรวจจากคนขับแล้วมีเงินเหลือหลังการทำงานหรือไม่ หากบ่นกันร้อยทั้งร้อยว่าทำงานขับกันทั้งวันเหลือไม่ถึง 100-200 บาท อันนี้บอกได้ว่าน่าเป็นห่วง
ข่าวสาร ข้อมูลจะออกมากรอกหู กรอกตาอย่างไรก็ตาม บ้านๆ อย่างผม อย่างใครหลายคนก็รู้ได้ ไม่มีใครหลอกใครได้แน่ในเวลานี้ครับ...ขอบคุณทุกท่านในวันอากาศร้อน 39-40 องศา อีกครั้งครับ |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42839
Location: NECTEC
|
Posted: 30/04/2012 5:13 am Post subject: |
|
|
ความรู้ต่ำแต่การอยากทำสูง
โดย เปลว สีเงิน
ไทยโพสตฺ์
30 เมษายน 2555
พรรคเพื่อไทย ที่ลูกพรรคเป็นนายกฯ หัวหน้าพรรคเป็นเจว็ด ตอนหาเสียงบอกชาวบ้านว่า "พรรคเพื่อไทยทำได้แน่" เช่น จะกระชากค่าครองชีพลงมา ลดทันที "น้ำมัน" ลิตรละ ๗ บาท ค่าน้ำ-ค่าไฟ-ค่ารถ จะทำให้ลดลงหมด แต่ค่าแรงจะเพิ่มขึ้นเป็นวันละ ๓๐๐ บาท ปริญญาตรี ๑๕,๐๐๐ บาททันที ให้กู้ซื้อรถคันแรก-บ้านหลังแรก ข้าวเปลือกเกวียนละ ๑๕,๐๐๐ บาท แจกบัตรรูดปรื๊ดเกษตรกร จะสร้างเขื่อน-ถมทะเลสร้างเมืองใหม่ เบี้ยสูงอายุจะเพิ่มเป็น ๖๐๐-๗๐๐-๘๐๐-๑,๐๐๐ บาท เงินกองทุนเพียบ รวมๆ ที่ "สัญญาว่าจะให้" ราวๆ ๒๐ รายการ
แต่ ๑๐ เดือนผ่านไป ที่โม้ว่าทำได้ "กลับตรงข้ามหมด" คือที่ว่าจะลด-ก็เพิ่ม, ที่ว่าจะเพิ่ม-ก็ลด, ที่ว่าจะให้-ก็ไม่ให้ และที่ว่าจะทำ ก็ทำไม่ได้ (ซักอย่าง) ประชาชนทั้งที่เลือกและไม่เลือกเพื่อไทย ต่างรับผล "ทักษิณคิด-ยิ่งลักษณ์ทำ" จนหน้าแห้ง-แดงห้อ ถ้วนทั่วทุกตัวคน!
ยกเว้นพวก ส.ส. ผู้ช่วย ส.ส. พวกเหลือบอิทธิพลในพรรค และพวกแกนนำเสื้อแดงแต่ละสาย "ระบอบทักษิณ" จับยัดลงตำแหน่ง "ข้าราชการการเมือง" เป็นกุรุส จนทุกซอกหลืบในทำเนียบฯ-ในกระทรวง ยั้วเยี้ยไปหมด
ก็เป็นเทคนิค "เบียดบังชาติ" เขาไง ตอดเอามันทุกเม็ด "จ้างเผาประเทศให้-แต่จ่ายด้วยเงินหลวง" จะจ่ายให้ทุกคนมันก็มากมายเป็นแสนๆ คน ก็ใช้วิชาเซลส์แมนง่ายๆ เก็บพวกแกนนำมาเลี้ยงเป็นสินค้าตัวอย่าง เพื่อโชว์พวกไพร่ราบพลเลว ทำนอง "เห็นมั้ย..."
"ชั่วเพื่อนายแล้วได้ดีทุกตัว"!
แต่เจ้าร้อยเหลี่ยมไม่ควักเองซักบาท อังคารทีก็สั่งน้องสาว-สมุนให้ใช้มติ ครม.เป็นตีนกวาดพวกหัวหน้าแก๊งแต่ละสายใส่เข่ง ตั้งเป็นที่ปรึกษาบ้าง เป็นเลขาฯ เป็นรอง รัฐมนตรีนั้น รัฐมนตรีนี้บ้าง เพ่นพ่านอยู่ตามทำเนียบฯ บ้าง จับยัดเป็นบอร์ดตามองค์กรและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจต่างๆ บ้าง
ไพร่ใส่สูท ยัดทานเงินหลวงกันเพลิดเพลิน สนุกสนาน ส่วนไอ้พวกขาใหญ่ก็หากินคำใหญ่ขึ้นไปตามลายเกล็ด ตั้งบริษัทออร์แกไนซ์ แล้วตอนเงินหลวงเป็นงบจ้างจัดอีเวนต์โน่น-นี่ ล่อกันทีเป็นสิบ-เป็นร้อยล้านบ้าง รับวิ่งเต้นเอางบลงพื้นที่บ้าง วิ่งเต้นประมูลบ้าง
เฉพาะด้านเงินเดือน เฮงๆ ซวยๆ แต่ละคน แค่นั่งดมกลิ่นส้วมทำเนียบฯ ก็ไม่หนี ๒๐,๐๐๐ อัพ แล้วสูงสุดจะเท่าไหร่ ไม่ต้องถาม!?
ยุคทักษิณพูดกันอื้ออึงด้วยจำนวนเปอร์เซ็นต์ ๒๕-๓๐ แต่ยุคน้องสาวทักษิณ ในวงการเขาพูดกันด้วยตัวเลขอะไร ท่านรู้มั้ย?
๖๐-๔๐ ครับ!
โอ้โฮ..กันเลย แต่อย่าเพิ่ง ตอบก่อนซิว่า ๖๐-๔๐ ท่านเข้าใจยังไง เอา ๔๐ จาก ๑๐๐% งั้นใช่มั้ย?
ผิดถนัด เอา....๖๐ เว้ย...เฮ้ย!?
เอ้า...ช็อกซีเนมากันใหญ่ ประเทศไทยยุค "ทักษิณคิด-ยิ่งลักษณ์ทำ" ตัวเลขรายได้ "ไพร่ใส่สูท" บางคน คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ พุ่งกระฉูดขึ้นไปถึงขนาดนั้นแล้วครับ
แล้วว่างๆ จะเอาหนังตัวอย่างมาฉายให้ดู ทุกบอร์ดรัฐวิสาหกิจที่ทำเงิน ตอนนี้ป่วนไปหมด ครั้งเพื่อไทยป่วนเมือง ประดิษฐ์ศัพท์ "มือที่มองไม่เห็น" เข้ามาล้วงลูก แต่ตอนนี้เพื่อไทยมีอำนาจครองเมืองแล้ว ต้องพูดว่า "มีพวกกระสือ-พวกปิศาจหิวโหย"
เที่ยวล้วงลูกแต่ละบอร์ดให้เอากรรมการคนนั้น-คนนี้ออก แล้วเอาวงศ์วานว่านกระสือเข้าไปนั่งล้วงดาก-ล้วงไส้หวังกะซวกกันซ้วบซ้าบ!
ไพร่กเฬวรากรุ่นเล็ก "ปากเล็ก" ก็กินคำเล็กกันไป พวกไพร่กเฬวรากรุ่นเดอะ "ปากใหญ่" ก็หาแดกคำใหญ่กันไป จนถึงพวกไพร่กเฬวรากรุ่นซูเปอร์ รุ่นเดอะ ไอ้นี่พูดกันด้วยโปรเจ็กต์ระดับหมื่น-ระดับแสนล้าน
เมื่อ "แพง(ฉิบหาย)ทั้งประเทศ" ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่สยามแล้ว ตอนนี้จะเห็นว่า รัฐบาลเพื่อไทยจะพับเก็บประชานิยมที่ "สัญญาว่าจะทำ-จะให้" ตอนหาเสียงไว้ก่อน เพราะยิ่งทำยิ่งเป็นผลงานระยำประจานหน้าตัวเองหนักขึ้น แต่เขาชำชาญกลยุทธ์ทางการตลาด
รู้ว่า คนไทย-โลว์ควอลิตี แต่รสนิยมในการบริโภคสูง จะเห็นว่าวิทยาการอะไรใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในโลก ไทยจะอยู่ในแถวต้นๆ ที่เห่อก่อน-ตามก่อน
แล้วก็ "ล้มเหลว" ด้วยเละเทะน่าทุเรศก่อนเพื่อน!
เมื่อโลกมีโทรทัศน์ เราก็มีก่อนเป็นประเทศต้นๆ เมื่อพวกอาเซียนนิยมเป็นเสือ ฝรั่งมันก็ยกให้ไทยเป็นเสือตัวแรก เมื่อเป็นเสือไทยก็เริ่มทำ "สนามบินทันสมัย" ก่อน แต่เสร็จทีหลังอีกร่วมครึ่งศตวรรษ คือสนามบินหนองงูเห่า
สรุปว่า ไทยชอบเห่อนำก่อน แล้วก็คว่ำก่อน ที่ไม่คว่ำก็เสร็จตามหลังประเทศที่เขาคิดทำทีหลังเราแทบทั้งนั้น อย่างตอนนี้เห่อ ๓ จี แต่ลองทำแบบสำรวจดูซิ คนไทย ๖๖ ล้านคน มีกี่คนที่รู้ว่า ๓ จีคืออะไร
และนาทีนี้ คนไทยหายใจเป็น high-speed rail "รถไฟความเร็วสูง" ไม่สนใจรถไฟรางเดี่ยว-รางคู่ หรือขยายขนาดรางจาก ๑ เมตร เป็นรางมาตรฐาน ๑.๔๓๕ เมตร ที่แต่ละรัฐบาลผลาญด้วยเพ้อพกตามจินตนาการที่ขาดความรู้-ความเข้าใจกันแล้ว!
นี่คือคนไทย ซึ่งสะท้อนความเป็นคนไทยเป็นรูปธรรมผ่านรัฐบาล ผ่านคณะรัฐมนตรี และผ่านท่านผู้ทรงเกียรติ ส.ส.-ส.ว.วันนี้ ทุกคน!
ผมไม่เถียงว่า เราต้องมีระบบ ๓ จี ๔ จีใช้ และอนาคต ในระบบขนส่งมวลชนและสินค้า เราต้องมีรถไฟความเร็วสูงใช้ ควบคู่กับการก้าวสู่"เส้นทางสายใหม่"สังคมโลก-สังคมไทย แต่สิ่งที่ผมอยากให้คิด และควรคิดกันให้มาก"เป็นสิ่งแรก"ก่อนตัดสินใจลงมือทำอะไรก็คือ
ทั้งภาครัฐ-ภาคประชาชน ต้องศึกษาให้รู้ ให้เข้าใจในเรื่องนั้นให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ เพราะทุกอย่างมันมีมากกว่า ๒ ด้าน ถ้าสักแต่ว่าใช้อำนาจรัฐบาลทำโน่น-ทำนี่ในโครงการที่ทั้งนายกฯ ทั้งรัฐมนตรี ทั้งข้าราชการยังขาดความรู้-ความเข้าใจจริงๆ หรือรู้แบบ "สักแต่ว่ารู้" ตามเขาบอกว่าดี มันโก้ มันทันสมัย เขาจะให้นั่น-ช่วยนี่ ก็ตะครุบเอา
มันจะเข้าตำรา "หลวมตัวก็เสียตูด" จะบอกให้รู้!
และประเทศเราก็มักเป็นอย่างนี้ซะด้วย ตอนเป็นคน เห็นโง่-เซ่อๆ ตามประสาคน แต่พอไม่ใช่คน "เป็นอำมาตย์" มันปราดเปรื่อง "รู้-ฉลาด" เจนจบทุกเรื่องขึ้นมาทันที-ทันใด
อย่างเรื่องรถไฟความเร็วสูงนี่ ผมเห็นตั้งแต่ผู้ออกแบบอนาคตประเทศไทย "นายวีรพงษ์ รามางกูร" เรื่อยลงมาถึงนายกฯ ถึงรองนายกฯ ถึงรัฐมนตรีทุกคนในความเป็น "คณะรัฐมนตรี" ดูรู้เรื่อง-เข้าใจกันทุกคน ขมีขมันจะร่วมมือทำกับจีน วันนี้-วันพรุ่ง แต่ผมท้าได้ทุกคน
อย่างเก่งก็เคยนั่ง high-speed rail เหมือนวัว-ควายที่บรรทุกในตู้คอกรถไฟธรรมดา ก็แค่รู้เท่านั้นว่า...นี่...รถไฟ ใช่ว่านั่งปุ๊บ ทุกอย่างมันจะออสโมซิสเป็นความรู้จริง รู้แจ้ง รู้กระจ่างถึงกระบวนการสู่ความเป็นรถไฟความเร็วสูง!
ที่นายโกร่งพูดก็ดี รัฐมนตรีคมนาคมพูดก็ดี นายกฯ พูดก็ดี "ตาบอดคลำช้าง" ทั้งนั้น ผมสังเกตพอพูดคำว่ารถไฟความเร็วสูง ทุกคนจินตนาการถึงความเร็ว ความสะดวก ความทันสมัย แล้วก็จินตนาการซ้อนเข้าถากถางกิจการรถไฟไทย อันมีสถานีหัวลำโพงเป็นรูปธรรม
อย่าพูดแต่ "ด้านดี-ด้านสะดวก" สนับสนุนความอยากทำในรัฐบาลตนให้ชาวบ้านเคลิบเคลิ้มตามไปด้านเดียวเลยครับ ไปศึกษาความพร้อมด้านการใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดก่อน เพราะบ้านเรา "ชุมชน" อยู่กันคนละที่-ละทาง เรียกว่าหมู่บ้าน ชุมชนเกิดจากบ้านจัดสรร จากอิทธิพลถิ่น และธรรมชาติที่เส้นทางสัญจรหลักคือแม่น้ำ-ลำคลอง
รถไฟความเร็วสูงนั้น ใช่ว่ารับคนต้นทางกรุงเทพฯ วิ่งจู๊ดสู่ปลายทางถึงเชียงใหม่ ตลอดเส้นทางที่วิ่งไป ชุมชนตลอดรายทางถือเป็นดีมานด์สำคัญมาก แล้วบ้านเราเป็นอย่างเกาหลี-ญี่ปุ่น-จีน-ฝรั่ง-ไต้หวันเค้ามั้ย ของเขาตามรายทางรถไฟความเร็วจะเป็นหมู่บ้าน ชุมชน เขตการค้า และจุดรับส่งสินค้าต้นทาง-ปลายทาง
นั่นคือ "ลูกค้า" ที่จะให้รถไฟความเร็วสูงอยู่ได้ โดยไม่ขาดทุนถึงขนาด "รีบทำ-รีบเจ๊ง"!
รูปการณ์ใช้ประโยชน์ที่ดินบ้านเราเวลานี้ ต่อให้วิ่งเร็ว ๕๐๐/ช.ม.ด้วย ก็ไร้ความหมาย เพราะเร็วจากต้นทางก็เท่านั้น พอจะไปสู่จุดหมายปลายทาง โน่น...ลงจากสถานีแล้ว ต้องนั่งตุ๊กตุ๊ก สามล้อ แท็กซี่ ขี่ควาย จากสถานีไปสู่ชุมชนทอดหนึ่ง และจากชุมชนก็ควานหารถต่อไปสู่จุดหมาย
"ติดแหง็ก" บนทางด่วน หรือในตลาดตัวเมืองรายทางอีกชั่วโมง!
ปรัชญา high-speed rail เร็วนั้น ลงปุ๊บ-ถึงจุดหมายปั๊บ หรือเดิน ๕ ก้าว ๑๐ ก้าวก็ถึงจุดต่อจุด สนองตอบการเดินทางที่มีเวลาเป็นตัวกำหนด โดยเฉพาะมนุษย์ "เวลาเป็นเงิน-เป็นทอง" สถานีต้นทาง-ปลายทางอยู่ในพื้นที่ตัวชุมชน ไม่ใช่อย่างถนน "เลี่ยงเมือง" ของเรา
นี่แค่ ๑ ใน ๑๐๐ ของเรื่องต้องศึกษา ต้องเข้าใจว่า high-speed rail คือ "เครื่องบินบก" ในด้านการเดินทาง สนองตอบความเร็ว-ความสะดวก ในทางกลับกัน คนโดยสารก็ต้อง "สนองตอบ" ความเร็ว-ความสะดวกด้วย "ค่าโดยสารเท่าเครื่องบินด้วย!"
สมมุตินั่งเรือบินไปเชียงใหม่เที่ยวเดียว ๓,๐๐๐ บาท นั่งรถไฟความเร็วสูงก็ต้อง ๓,๐๐๐ หรือถูกกว่าก็ ๒,๘๐๐ ประมาณนั้น ที่รัฐมนตรีคนไหนก็ลืมไปแล้วบอกว่า ๑,๐๐๐-๑,๒๐๐ บาทนั้น...พูดไปด๊ายยยย!
เอ้า...ก็ตรองดู แล้วจะมีกี่คนมีปัญญานั่งรถไฟความเร็วสูง เหมาว่านั่งรถไฟความเร็วสูงเช้า-เย็นวันละ ๒ เที่ยว ขี้หมู-ขี้หมา ต้องจ่ายวันละไม่หนี ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ บาท เดือนหนึ่งก็ตกค่านั่งรถไฟความเร็วสูงไปทำงาน ไปเรียนหนังสือ
แค่ "แสนต้นๆ" ต่อคน เท่านั้นเอง!
พูดถึงด้านพื้นที่ ขนาด กฟผ.เขาจะสร้างโรงไฟฟ้าแต่ละแห่งเวลานี้ จ่อมตรงไหน ชาวบ้านก็เฮโลไล่ตรงนั้น ทั้งที่เขาทำเพื่ออนาคตส่วนรวมประเทศแท้ๆ แต่รถไฟความเร็วสูง เอาแค่จุดให้รถไฟเลี้ยวก็กินพื้นที่ ๒๐-๓๐ กม.แล้ว ถามว่า
มีชาวบ้านคนไหนยอมทันที-ทันใดบ้าง?
ไม่ได้พูดให้ท้อนะครับ ผมสนับสนุนให้ทำ แต่อย่าทำด้วยความอยาก จงทำด้วยความรู้-ความเข้าใจ อย่าเอาแต่ว่าเขามีได้ เราก็มีได้ ลักษณะสังคมประเทศมันไม่เหมือนกัน อันที่จริง รถไฟควรทำเพื่อสนองตอบ "การขนส่งสินค้า" ด้วย เพราะนั่นจะช่วยประหยัดต้นทุนด้านพลังงาน ด้านการสร้างถนนตะพึดตะพือได้มาก ซ้ำจะช่วยทำให้ค่าโดยสารลดลงได้ด้วย
ครับ...ความจริง "ที่ควรพูด" ยังไม่หมด แต่เอาเท่านี้ก่อน ขอย้ำ ศึกษาให้รอบด้านก่อนตัดสินใจทำ และควรบอกข้อดี-ข้อเสีย และสิ่งที่ประชาชนต้องแบกรับภาระด้วยต้นทุน "แต่ละสาย" เป็นล้านล้านบาทด้วย.
//-------------------------------
ที่คุณเปลว สีเงินกล่าวดูถูกครั้งนี้มีส่วนถูกอยู่ไม่น้อยเลยครับ ... |
|
Back to top |
|
|
black_express
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
|
Posted: 30/04/2012 10:22 am Post subject: |
|
|
คิดเหมือนใจ แต่ให้ตาเปลว สีเงินพูดแทนตัวดีกว่า |
|
Back to top |
|
|
unique
3rd Class Pass (Air)
Joined: 12/09/2006 Posts: 258
Location: กทม.
|
Posted: 30/04/2012 1:49 pm Post subject: |
|
|
รถไฟความเร็วสูงราคาตั๋ว 1000-1200 บาท อย่าแต่ว่าไฟร่เลยครับ ราคานี้ ราษฎรอย่างผมยังคิดหนักเลยครับ |
|
Back to top |
|
|
Saijuk
3rd Class Pass
Joined: 04/01/2012 Posts: 7
|
Posted: 30/04/2012 8:35 pm Post subject: |
|
|
เหมือนที่ผมได้เคยโพสต์ไง้แล้วครับ แน่จริงทำรางคู่ให้ครบทุกเส้นทางก่อน พัฒนาระบบปัจจุบัน น่าจะดีกว่าครับ ไม่ต้องเร็วเหมือนญี่ปุ่นก็ได้ครับ พัฒนารางให้ได้มาตรฐานก่อน ให้รถทำความเร็วมากกว่านี้กี่พอแล้ว ขนาดรถจักรยังต้องรอต้องนานกว่าจะได้จัดซื้อ ช่วยซื้อรถจักรให้ใหม่ด้วยนะครับถ้าคิดจะพัฒนาจริงๆๆ
อย่างนี้น่าจะใกล้ความจริงครับ อย่าขายฝันครับ |
|
Back to top |
|
|
|