View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42784
Location: NECTEC
|
Posted: 07/02/2018 10:45 am Post subject: |
|
|
เร่งไฮสปีดเทรน ตอน 2 ปากช่อง-คลองขนานจิตร เปิดประมูลเม.ย.
วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2561 - 12:56 น.
คมนาคมเดินหน้าก่อสร้างไฮสปีดเทรน กทม.-โคราชตอนที่เหลือ ยัน เม.ย.ประมูลตอนที่ 2 มั่นใจปีนี้ ครบทั้ง 13 สัญญา
นายพีระพล ถาวรสุภเจริญ รองปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟไทยจีน หรือรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทางประมาณ 253 กิโลเมตร(กม.) วงเงิน 1.79 แสนล้านบาทว่า ขณะนี้การพิจารณารายละเอียดเพื่อดำเนินการก่อสร้างตอนที่ 2 ช่วงปากช่อง-คลองขนานจิตร ระยะทาง 11 กม. ตอนที่ 3 ช่วงแก่งคอย-นครราชสีมา ระยะทาง 119.5 กม. และตอนที่ 4 ช่วงแก่งคอย-บางซื่อ ระยะทาง 119 กม.ยังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ภายหลังได้ลงเริ่มก่อสร้างตอนที่ 1 ช่วงกลางดง-ปางอโศก ระยะทาง 3.5 กม.ไปเมื่อวันที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา
ตอนนี้ทางจีนได้ทยอยส่งรายละเอียดการออกแบบก่อสร้างตอนที่ 2 ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)พิจารณาอย่างต่อเนื่อง จึงคาดว่าจะเริ่มทยอยเปิดประกวดราคาเพื่อหาผู้รับเหมาเข้ามาก่อสร้างเพิ่มเติมได้ในเดือนเมษายนนี้
นายพีระพล กล่าวว่า สำหรับการพิจารณารายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบการก่อสร้างในตอนที่ 2 จนถึงตอนที่ 4 จะใช้ระยะเวลาไม่นานเหมือนตอนที่ 1 เนื่องจากที่ผ่านมาได้ข้อสรุปเกี่ยวกับรายละเอียดวัสดุอุปกรณ์ที่จะใช้ในการก่อสร้างหมดแล้ว และทางจีนก็มีการส่งรายละเอียดให้ไทยเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้ไทยสามารถถอดแบบได้ ซึ่งจะแต่แตกต่างจากเดิมที่ส่งแบบมาเป็นภาษาจีนจนต้องมีการหารือร่วมกันเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนอยู่หลายครั้ง
นายพีระพล กล่าวว่า ก่อนจะมีการก่อสร้างตอนที่ 1 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้มีการอนุมัติโครงการรวมถึงวงเงินที่ใช้ในการก่อสร้างไปแล้ว ดังนั้นในการประกวดราคาตอนที่เหลือ ซึ่งได้แบ่งออกเป็น 13 สัญญา ก็ไม่ต้องเสนอให้ ครม.พิจารณาอนุมัติก่อน เพราะสามารถดำเนินการได้เลย
ตามแผนงานที่กระทรวงคมนาคมวางไว้ ทุกตอนที่เหลือจะต้องมีประกวดราคาเพื่อก่อสร้างให้ได้ทั้งหมดภายในปีนี้ เพื่อให้การก่อสร้างเดินหน้าไปตามแผนงานที่กำหนดนายพีระพล กล่าว
นายพีระพล กล่าวว่า ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 นี้ จะมีการประชุมรถไฟไทย-จีน ครั้งที่ 23 ที่สาธารณะรัฐประชาชนจีน หลังจากครั้งที่ 22 ได้จัดขึ้นที่ประเทศไทยไปแล้ว โดยทางผู้บริหารของกระทรวงคมนาคมก็จะทยอยเดินทางไปตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ เพื่อประชุมกลุ่มย่อยก่อน จากนั้นจะมีการประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ที่มีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมร่วมประชุมด้วยในวันที่ 8 ก.พ. ซึ่งก็คาดว่าจะมีความคืบหน้าของการดำเนินงานมากขึ้นแน่นอน
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า รถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา จะมี 6 สถานี ได้แก่ สถานีกลางบางซื่อ สถานีดอนเมือง สถานีอยุธยา สถานีสระบุรี สถานีปากช่อง และสถานีนครราชสีมา เป็นทางยกระดับ 181.9 กม. ทางระดับพื้น 64.0 กม. เป็นอุโมงค์ 6.4 กม. ตั้งเป้าหมายก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2564 โดยใช้รถไฟรุ่น FUXINGHAO ซึ่งเป็นรถไฟความเร็วสูงรุ่นล่าสุดของจีน ความเร็วสูงสุดได้ 250 กม./ชั่วโมง(ชม.) ใช้เวลาเดินทางตลอดสาย 1.30 ชม. |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42784
Location: NECTEC
|
Posted: 07/02/2018 5:27 pm Post subject: |
|
|
อาคม อ้อน ญี่ปุ่นร่วมลงทุนไฮสปีดเทรน กทม.-เชียงใหม่ ชงครม.ไฟเขียวมี.ค.นี้
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561 - 14:47 น.
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น เกี่ยวกับโครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) ไทย-ญี่ปุ่น เส้นทาง กทม.-เชียงใหม่ ว่า ญี่ปุ่นได้นำเสนอผลรายงานการศึกษากรณีที่ฝ่ายไทยขอปรับลดต้นทุนโครงการเพื่อลดภาระงบประมาณค่าก่อสร้างตามความเห็นของรัฐบาลไทยว่า ที่ประชุมได้หารือร่วมกัน 3 ประเด็นคือ ต้นทุนโครงการ ความเร็วของรถไฟ และการพัฒนาพื้นที่สถานี สำหรับเรื่องต้นทุนโครงการ 2 ฝ่าย ตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อพิจารณาปรับลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นเพื่อลดค่าก่อสร้าง โดยญี่ปุ่นเสนอว่าต้องการลดต้นทุนโครงการจะต้องตัดระยะทางโครงการให้สั้นลง และต้องยกเลิกการก่อสร้างบางสถานีออกไปเพื่อประหยัดงบ แต่จะส่งผลกระทบต่อปริมาณผู้โดยสารทำให้เข้ามาใช้บริการ เพราะรถจอดเพียงไม่กี่สถานีเท่านั้น
ทั้งนี้ หากเราจะลดต้นทุนก่อสร้าง ช่วงเฟสแรก กทม.-พิษณุโลก อาจจะต้องตัดบงสถานีออก เช่น ตัดสถานีพิจิตร ออกหรือตัด 2 สถานี คือ ลพบุรี และมาก่อสร้างเพิ่มในภายหลัง ซึ่งช่วยลดต้นทุนได้ แต่เราคิดว่าไม่คุ้มกับผู้โดยสารที่จะหายไป ซึ่งต้องหารือ 2 ฝ่ายร่วมกันอีกครั้งว่าจะมีแนวทางอื่นๆ ที่จะปรับลดต้นทุนหรือไม่
นายอาคมกล่าวถึงประเด็นเรื่องของความเร็วนั้น ยืนยันว่าจะใช้ระบบเทคโนโลยีของรถไฟชินคันเซน ซึ่งจะเป็นรถไฟความเร็วสูง 300 ก.ม./ชม. ตามเดิม เพราะจากผลการศึกษาของญี่ปุ่นระบุว่า หากปรับมาใช้ความเร็วต่ำ ประชาชนจะเลือกเดินทางโดยระบบอื่นที่ไม่ใช่รถไฟแทน โดยพบว่าหากประชาชนเดินทางระยะไม่เกิน 500 ก.ม. การเดินทางโดยรถยนต์จะคุ้มค่ากว่าหากเทียบกับเดินทางโดยรถไฟความเร็วปานกลาง
แต่หากการเดินทางระยะไกลตั้งแต่ 500 ก.ม.ขึ้นไปการเดินทางโดยรถไฟจะคุ้มกว่า และที่ระยะทาง 750 ก.ม. ถือเป็นระยะที่คนส่วนใหญ่ 80-90% จะตัดสินใจเปลี่ยนจากทางถนนมาเดินทางโดยรถไฟเพราะเป็นจุดที่คุ้มค่าสูงสุด
ญี่ปุ่นระบุว่าการเดินทางระยะทางที่น้อยกว่า 500 ก.ม. ขับรถยนต์จะคุ้มกว่า แต่หากเดินทางระยะทาง 500-750 ก.ม.ขึ้นไป เดินทางโดยรถไฟคุ้มค่ากว่า เพราะฉะนั้นความเร็วของรถไฟก็ถือว่าสำคัญ หากลดความเร็วลงมา การเดินทางก็ช้าลง คนก็จะเลือกไปเดินทางโดยเครื่องบินมากกว่า
นายอาคมกล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นเรื่องแนวทางการพัฒนาพื้นที่บริเวณสถานีซึ่ง ญี่ปุ่นเสนอว่าหากจะให้โครงการเกิดความคุ้มค่าจะต้อง มีการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีด้วย โดยจะทำให้โครงการมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูงถึง 14% แต่หากไม่การพัฒนาพื้นที่มีแต่สถานีจะมีผลตอบแทนเพียงแค่ 7% เท่านั้น ซึ่ง 2 ฝ่ายต้องหารือว่าจะร่วมกับพัฒนาพื้นที่ตลอดเส้นทางได้อย่างไร
นายอาคมกล่าวต่อว่า ขณะนี้รัฐบาลไทยมีนโยบายที่จะลดภาระงบประมาณด้านการลงทุน ดังนั้นจึงเสนอขอให้ ญี่ปุ่นกลับไปศึกษาแนวทางการลงทุนที่เหมาะสมให้กับไทยด้วย เบื้องต้นได้นำเสนอแนวทางขอให้รัฐบาลญี่ปุ่นเข้ามาร่วมทุนในโครงการดังกล่าว ขณะที่ญี่ปุ่นเสนอว่ามีความพร้อมที่จะให้ฝ่ายไทยกู้เงินในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อดำเนินโครงการ
รัฐบาลไทยต้องการลดภาระหนี้ โดยได้เสนอให้ญี่ปุ่นเข้าร่วมลงทุนในโครงการนี้ ซึ่งญี่ปุ่นก็ต้องกลับไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และศึกษารูปแบบการลงทุน ร่วมทุน รวมไปถึงรายละเอียดภาพรวมโครงการ ทั้งการปรับลดต้นทุน และแนวทางการพัฒนาพื้นกลับมาเสนอให้ฝ่ายไทยพิจารณาอีกครั้งก่อนที่จะนำผลการศึกษาทั้งหมดเสนอให้ที่ประชุมครม.พิจารณาอนุมัติในเดือนมี.ค.นี้
//--------------------
หั่นต้นทุนไม่ลง! ไฮสปีด กทม.-พิษณุโลก ญี่ปุ่นพร้อมปล่อยกู้-เมินลงขันร่วมลงทุน
โดย: MGR Online
เผยแพร่: วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561 16:31:00
ปรับปรุง: วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561 16:36:00
อาคม ถกญี่ปุ่นหาทางปรับลดต้นทุนไฮสปีด กรุงเทพฯ-พิษณุโลก 2.76 แสนล้านไม่ได้ ประเมินแล้วตัดบางสถานีออกแต่พบทำให้ผู้โดยสารหายไปด้วย ได้ไม่คุ้มเสีย ส่วนความเร็วยันไม่น้อยกว่า 300 กม./ชม. ข้อด้อยเส้นทางสิ้นสุดที่เชียงใหม่ไม่เชื่อมต่อต่างประเทศ ขอญี่ปุ่นศึกษาแนวทางคู่เชื่อม ตาก-นครสวรรค์-มุกดาหาร หาทางดึงผู้โดยสารเข้าระบบเพิ่ม ด้านญี่ปุ่นเมินร่วมทุน เสนอไทยลง 100% เหมือน ไทย-จีน
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมกับ Mr. Noriyoshi YAMAGAMI รองอธิบดีกรมการรถไฟญี่ปุ่น (MLIT) วานนี้ (7 ก.พ.) ว่า ได้หารือในรายละเอียดผลการศึกษาการสำรวจความเหมาะสมโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ (ระยะที่ 1 กรุงเทพฯ-พิษณุโลก) ภายใต้บันทึกความร่วมมือด้านระบบรางระหว่างไทย-ญี่ปุ่น โดยกรุงเทพฯ-พิษณุโลก ระยะทาง 380 กิโลเมตร มูลค่าลงทุน 276,225 ล้านบาท โดยญี่ปุ่นได้รายงานข้อมูลเพิ่มเติมใน 3 ประเด็น คือ มูลค่าของโครงการ การพัฒนาพื้นที่ การพัฒนาการขนส่งสินค้า การเชื่อมโยงการเดินทางและการขนส่งสินค้าภายในประเทศ และรูปแบบการลงทุนจะสรุปผลการศึกษาความเป็นไปได้เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเดือน มี.ค.นี้
การปรับลดต้นทุนโครงการลงนั้นจะต้องพิจารณารายละเอียดความจำเป็นของเนื้องานประกอบด้วยว่าอะไรจำเป็นอะไรยังไม่จำเป็น ซึ่งได้หารือว่า จาก 6 สถานี หากตัดบางสถานีออก เช่น สถานีพระนครศรีอยุธยา หรือสถานีพิจิตร จากทั้งหมด 7 สถานีจะเหลือ 5-6 สถานีได้หรือไม่ ซึ่งพบว่าแม้ทำให้ต้นทุนลด แต่เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนผู้โดยสารที่หายไปไม่คุ้มค่า ดังนั้นจึงไม่สรุปว่าจะตัดสถานีออก
ส่วนประเด็นความเร็วนั้น ยืนยันที่ 300 กม./ชม.ตามมาตรฐานของรถชินคันเซ็น ซึ่งญี่ปุ่นอธิบายถึงการกำหนดความเร็วกับระยะทางว่ามีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้ระบบขนส่ง เช่น ระยะทาง 500 กม. พบว่าการขับรถยนต์จะรวดเร็วกว่าใช้ขนส่งระบบอื่น กรณีระยะทางเกินกว่า 500-749 กม. จะเป็นระยะที่เหมาะสมกับใช้ระบบรถไฟเดินทางมากที่สุด ดังนั้นกรณีลดความเร็วระบบรถไฟลงจะทำให้ใช้เวลาเดินทางมากขึ้น มีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้ระบบขนส่งอื่นแทน ส่วนระยะทางเกิน 700 กม.ขึ้นไปจะใช้เครื่องบินเดินทาง
สำหรับการพัฒนาพื้นที่ จะเน้นที่พื้นที่สถานีและรอบสถานีเพื่อให้โครงการมีความคุ้มค่า โดยพบว่าช่วงกรุงเทพฯ-พิษณุโลก ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR) ประมาณ 14% หากไม่ทำอะไรเลย 7% ซึ่งจะทำข้อมูลเพิ่มในเรื่องวิธีการพัฒนาพื้นที่ตลอดเส้นทาง ซึ่งหลักคิดญี่ปุ่นจะมุ่งไปที่การพัฒนาเมือง โดยใช้รถไฟนำไปก่อน ดังนั้นการพัฒนาจะได้ต้องใช้เวลาเป็น 10 ปี
นอกจากนี้ จะต้องให้เกิดการเชื่อมโยงโครงข่าย ซึ่งรถไฟไทย-ญี่ปุ่น เส้นทางกรุงเทพฯ-พิษณุโลก-เชียงใหม่ จะต่างกับรถไฟไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพฯ-*นครราชสีมา-หนองคาย ที่ได้เปรียบที่มีการเชื่อมโยงระหว่างประเทศ มีปริมาณผู้โดยสารจาก สปป.ลาว และจีนเข้ามาในโครงข่าย ดังนั้น ได้เสนอให้ญี่ปุ่นพัฒนาเส้นทางรถไฟทางคู่ แนวตะวันออก-ตะวันตก เพื่อเชื่อมโครงข่ายภายในประเทศ โดยจะเริ่มที่ด้านตะวันออกก่อน เส้นทาง บ้านไผ่-มุกดาหาร ส่วนจากบ้านไผ่-นครสวรรค์ ทางญี่ปุ่นกำลังศึกษา ส่วนจากนครสวรรค์-แม่สอด-ตาก การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ดำเนินการศึกษาเอง ทำให้ผู้โดยสารสามารถใช้เส้นทางรถไฟจากด้านตะวันออก จากจีน-สปป.ลาว ใช้ระบบรถไฟทางคู่ที่มุกดาหาร-นครสวรรค์เพื่อใช้ระบบรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ได้
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการลงทุน ญี่ปุ่นมีความพร้อมในการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ แต่ไทยเห็นว่าควรมีการร่วมลงทุนเพื่อลดภาระหนี้และการลงทุนภาครัฐ จึงยังไม่ชัดเจน
รายงานข่าวแจ้งว่า ทางญี่ปุ่นเสนอให้ไทยลงทุนโครงการ 100% เช่นเดียวกับความร่วมมือรถไฟไทย-จีน โดยพร้อมในเรื่องเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ขณะที่ไทยต้องการให้ใช้การร่วมลงทุน ดังนั้นจะต้องมีการศึกษารายละเอียดกันอีกหลังจาก ครม.อนุมัติการศึกษาเบื้องต้นแล้ว |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44819
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 08/02/2018 7:56 am Post subject: |
|
|
ลุ้นญี่ปุ่น ร่วมทุน ไฮสปีดพิษณุโลก
กรุงเทพธุรกิจ 8 ก.พ. 61
ลุ้นญี่ปุ่นร่วมลงทุนไฮสปีด กรุงเทพฯ-พิษณุโลก 2.76 แสนล้าน เหตุรัฐบาลไทยต้องการลดหนี้ ลงทุนเมกะโปรเจคไปแล้วหลายโครงการ
เสนอตัดสถานีลพบุรี-พิจิตร ลดต้นทุนโครงการ พร้อมเดินหน้ารถไฟทางคู่ตะวันตก-ตะวันออกด้านเหนือ หวังเชื่อมผู้โดยสารไฮสปีดญี่ปุ่น-ไฮสปีดจีน
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยหลังเป็นประธานการประชุมเรื่องรถไฟไทย-ญี่ปุ่น เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ร่วมกับกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น วานนี้ (7 ก.พ.) ว่า
ตอนนี้รัฐบาลไทยมีนโยบายจะลดงบประมาณลงทุน ดังนั้นจึงขอให้ฝ่ายญี่ปุ่นกลับไปศึกษาแนวทางการลงทุนที่เหมาะสมของโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-ญี่ปุ่น ช่วงกรุงเทพฯ-พิษณุโลก ให้กับฝ่ายไทยด้วย ขณะเดียวกันขอให้รัฐบาลญี่ปุ่นเข้าร่วมทุนในโครงการดังกล่าวทั้งหมด ขณะที่ญี่ปุ่นเสนอว่า พร้อมให้ฝ่ายไทยกู้เงินในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อดำเนินโครงการ
รัฐบาลไทยต้องการลดภาระหนี้ โดยได้เสนอให้ญี่ปุ่นเข้าร่วมลงทุนในโครงการนี้ ซึ่งญี่ปุ่นก็ต้องกลับไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และศึกษารูปแบบการลงทุน รวมไปถึงรายละเอียดภาพรวมโครงการ ทั้งการปรับลดต้นทุน และแนวทางการพัฒนาพื้นกลับมาเสนอให้ฝ่ายไทยพิจารณาอีกครั้ง ก่อนที่จะนำผลการศึกษาเฟสแรก ช่วงกรุงเทพฯ-พิษณุโลก ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติในเดือนมี.ค.นี้ นายอาคมกล่าว และว่า ที่ประชุมฯ ยังได้หารือร่วมกันใน 3 ประเด็นคือ ต้นทุนโครงการ ความเร็วของรถไฟ และการพัฒนาพื้นที่รอบสถานี
สำหรับเรื่องต้นทุนโครงการ ได้ตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อพิจารณาปรับลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น จากปัจจุบันกรอบวงเงินลงทุนช่วงกรุงเทพฯ-พิษณุโลกอยู่ที่ 2.76 แสนล้านบาท โดยฝ่ายญี่ปุ่นเสนอว่า ถ้าต้องการลดต้นทุนจะต้องตัดเส้นทางให้สั้นลง และยกเลิกบางสถานีแต่จะส่งผลให้ปริมาณผู้โดยสารลดลง
หากเราจะลดต้นทุนก่อสร้างเฟสแรก ช่วงกรุงเทพฯ-พิษณุโลก อาจต้องตัดบางสถานีออกไป เช่น ตัดสถานีพิจิตรออก หรือตัด 2 สถานีคือลพบุรีและพิจิตร จากนั้นค่อยมาสร้างเพิ่มในภายหลัง แต่เราคิดว่าไม่คุ้มกับจำนวนผู้โดยสารที่หายไป จึงต้องหารือร่วมกัน 2 ฝ่ายอีกครั้งว่า จะมีแนวทางอื่น ๆ ที่ปรับลดต้นทุนหรือไม่ นายอาคมล่าว
ส่วนประเด็นเรื่องของความเร็ว นายอาคมยืนยันว่าจะใช้เทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงชินกันเซ็งในระดับ 300 กิโลเมตร (กม.) ต่อชั่วโมงตามเดิม เพราะผลการศึกษาของญี่ปุ่นระบุว่า หากปรับมาใช้ความเร็วต่ำ ประชาชนจะเลือกเดินทางโดยระบบอื่นแทน
ในระยะทางไม่เกิน 500 กม. การเดินทางด้วยรถยนต์จะคุ้มค่ากว่าการเดินทางด้วยรถไฟความเร็วปานกลาง ในระยะไกลตั้งแต่ 500 กม.ขึ้นไป การเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงจะคุ้มกว่าและการเดินทาง 750 กม. เป็นระยะที่คนส่วนใหญ่ 80-90% จะตัดสินใจเปลี่ยนจากทางถนนมาเดินทางเป็นรถไฟแต่ถ้าไกลกว่านั้นก็จะเลือกการเดินทางด้วยเครื่องบินเพิ่มขึ้น
ฝ่ายญี่ปุ่นยังเสนอว่า หากจะให้โครงการเกิดความคุ้มค่าจะต้องพัฒนาพื้นที่รอบสถานีด้วย โดยจะทำให้โครงการมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR) สูงถึง 14% แต่หากไม่การพัฒนาพื้นที่จะมีผลตอบแทนเพียงแค่ 7% เท่านั้น ซึ่ง 2 ฝ่ายต้องหารือร่วมกันว่าจะพัฒนาพื้นที่ตลอดเส้นทางอย่างไร
ขณะเดียวกัน ได้หารือเกี่ยวกับการเชื่อมโยงกับโครงข่ายการเดินทาง เพราะหากเปรียบเทียบระหว่างรถไฟความเร็วสูงไทย-ญี่ปุ่น และรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน พบว่าโครงการรถไฟไทย-จีน มีความได้เปรียบมากกว่า เพราะว่ามีการเชื่อมโยงทำให้มีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจากประเทศจีนส่วนรถไฟไทย-ญี่ปุ่น เป็นเส้นทางที่ไม่มีการเชื่อมต่อระหว่างประเทศ
ฝ่ายไทยจึงเสนอให้ญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนโครงการรถไฟทางคู่เส้นตะวันตก- ตะวันออกด้วย เพราะในอนาคตจะมีศักยภาพมากและสามารถเชื่อมกับรถไฟความเร็วสูงเส้น กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ได้ โดยรัฐบาลจะเร่งรัดพัฒนารถไฟทางคู่ฝั่งตะวันออกก่อนคือ ช่วงบ้านไผ่ นครพนม
ด้านญี่ปุ่นจะศึกษาความเหมาะสมโครงการรถไฟทางคู่ช่วง บ้านไผ่-นครสวรรค์,การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จะศึกษารถไฟทางคู่ ช่วงแม่สอด-ตาก-นครสวรรค์โดยรถไฟทางคู่ ช่วงแม่สอด-ตาก-นครสวรรค์-บ้านไผ่-นครพนม จะรับผู้โดยสารจากรถไฟไทย-จีน มาป้อนให้รถไฟไทย-ญี่ปุ่น ได้ที่สถานีนครสวรรค์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฝ่ายญี่ปุ่นได้เสนอให้รัฐบาลไทยลงทุนโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเฟสแรก ช่วง กรุงเทพฯ-พิษณุโลกทั้งหมด เหมือนกรณีรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน แต่รัฐบาลไทยพยายามเสนอให้ฝ่ายญี่ปุ่นร่วมทุนด้วยเพื่อประหยัดงบประมาณ เพราะรัฐบาลได้ลงทุนเมกะโปรเจคจำนวนมาก ซึ่งตอนนี้ฝ่ายญี่ปุ่นก็อยู่ระหว่างพิจารณา เพราะฝ่ายญี่ปุ่นเกรงว่าถ้าร่วมทุนกับรัฐบาลไทยแล้ว ก็จะต้องใช้เป็นโมเดลในประเทศอื่น ๆ |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42784
Location: NECTEC
|
Posted: 08/02/2018 12:16 pm Post subject: |
|
|
คมนาคมคาดเสนอรถไฟไทย-ญี่ปุ่นเข้า ครม.มี.ค.นี้
เศรษฐกิจ
MCOT
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561 16:33:12
กรุงเทพฯ 7 ก.พ. - กระทรวงคมนาคมเร่งเดินหน้าไฮสปีดไทย-ญี่ปุ่น เสนอญี่ปุ่นร่วมทุนกับรัฐบาลไทย ด้านญี่ปุ่นโชว์มีเงินให้กู้พร้อมดอกเบี้ยราคาถูก คาดได้ข้อสรุปชัดเจนเสนอ ครม.มี.ค.นี้
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมโครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีด) เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ระหว่างกระทรวงคมนาคมและกระทรวงที่ดินโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งและการท่องเที่ยวญี่ปุ่น (MLIT) ว่า ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับโครงการรถไฟความเร็วสูง ระยะที่ 1 กรุงเทพฯ-พิษณุโลก ระยะทาง 380 กม. วงเงิน 276,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 7 สถานี คือ บางซื่อ ดอนเมือง อยุธยา ลพบุรี นครสวรรค์ พิจิตร และพิษณุโลก ใน 3 ประเด็นหลัก
สำหรับประเด็นที่ 1.ต้นทุนโครงการ ซึ่งคณะทำงานทั้ง 2 ฝ่ายจะไปพิจารณารายละเอียดอีกครั้งว่ารายการไหนจำเป็นหรือไม่จำเป็น โดยหากต้องการต้นทุนที่ถูกอาจจำเป็นต้องดำเนินการออกแบบและก่อสร้างเป็นระยะ ๆ และอาจจำเป็นต้องตัดบางสถานีออกไปก่อน เช่น สถานีพิจิตรและสถานีลพบุรี เป็นต้น แต่ก็เป็นทางเลือกหนึ่งเท่านั้น ซึ่งหากตัดออกจริงจะส่งผลต่อปริมาณของผู้โดยสาร เพราะหากไม่มีสถานีคนก็ไม่มีความต้องการจะขึ้น ดังนั้น ไทยคงต้องพิจารณาให้ดีว่าหากตัดบางสถานีทิ้งไปจะไม่คุ้มค่ากับจำนวนผู้โดยสารที่หายไปหรือไม่
2.เรื่องความเร็วสูงสุดในการเดินรถที่จะใช้ระบบเดียวกับชินคันเซ็น ซึ่งมาตรฐานญี่ปุ่นอยู่ที่ 300 กม.ต่อ ชม. โดยมีผลสำรวจว่าหากระยะทางไม่เกิน 500 กม. คนจะเลือกเดินทางโดยเครื่องบิน หรือขับรถ เพราะจะเร็วและคุ้มค่า แต่หากระยะทาง 500-749 กม.ขึ้นไปคนจะหันมานั่งรถไฟความเร็วสูงทันที เพราะคุ้มค่ามากกว่า สำหรับประเด็นที่ 3. การพัฒนาพื้นที่รอบสถานี ซึ่งญี่ปุ่นศึกษาทั้งระบบพบว่าหากจะทำให้โครงการมีความคุ้มค่าถึงร้อยละ 14 ต้องพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสถานีและพัฒนาเมืองทั้งระบบตามผลการศึกษาผลกระทบด้านเศรษฐกิจหรืออีไออาร์ แต่หากไม่มีการพัฒนาความคุ้มค่าจะอยู่แค่ร้อยละ 7
นอกจากนี้ ยังหารือเกี่ยวกับความเชื่อมโยง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบความเชื่อมโยงแล้วพบว่ารถไฟไทย-จีนได้เปรียบเรื่องความเชื่อมโยงระหว่างประเทศ และความต้องการของผู้โดยสารก็จะมาจากจีน สำหรับกรณีของรถไฟความเร็วสูงไทย-ญี่ปุ่น กรุงเทพฯ-เชียงใหม่นั้น ยังมีความกังวลเรื่องความเชื่อมโยง แต่ไทยให้ข้อมูลว่าไฮสปีดไทย-ญี่ปุ่น สามารถเชื่อมโยงกับรถไฟทางคู่เส้นตะวันออกบ้านไผ่-นครสวรรค์ และเส้นตะวันตกนครสวรรค์-แม่สอดได้ ซึ่งจะทำให้ผู้โดยสารที่เดินทางมาจากจีนทางเครื่องบินหรือรถไฟสามารถมาต่อรถไฟทางคู่จากบ้านไผ่-นครสวรรค์ และมาขึ้นรถไฟความเร็วสูงไทย-ญี่ปุ่นได้ อีกทั้งจะทำให้มีจุดหยุดพักหลายแหล่ง ซึ่งจะส่งผลต่อความเจริญของเมืองในอนาคต
นอกจากนี้ ยังหารือด้วยว่าเส้นทางเชียงใหม่นั้นควรต้องพัฒนาเรื่องการขนส่งสินค้า แต่รถไฟความเร็วสูงจะไม่ใช่เรื่องการขนส่งสินค้าและจะใช้เฉพาะขนส่งผู้โดยสาร เพื่อให้เกิดความมั่นใจเรื่องความปลอดภัย ส่วนรูปแบบการลงทุนนั้นเป็นอีกโจทย์ที่ญี่ปุ่นต้องไปศึกษา ทั้งนี้ ญี่ปุ่นเสนอว่ามีเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยถูกที่พร้อมให้ไทยกู้ ซึ่งไทยแจ้งว่าต้องการลดภาระหนี้ ดังนั้น ต้องไปช่วยคิดว่ามีรูปแบบอื่นหรือไม่ในการช่วยลดภาระของรัฐบาล เช่น การร่วมทุน เป็นต้น ทั้งนี้ ญี่ปุ่นจะกลับไปศึกษาเพิ่ม คาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อประกอบการนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือนมีนาคมนี้.-สำนักข่าวไทย
//---------------------
อ้อนญี่ปุ่นลงขันไทยสร้าง"ชินคันเซน"
พุธที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 17.51 น.
อาคมเร่งเดินหน้าไฮสปีดไทย-ญี่ปุ่น เสนอญี่ปุ่นร่วมทุนกับรัฐบาลไทย ด้านญี่ปุ่นแจ้งมีเงินให้กู้พร้อมดอกเบี้ยราคาถูก คาดได้ข้อสรุปชัดเจนเสนอครม.มี.ค.นี้
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมโครงการรถไฟความเร็วสูง(ไฮสปีด)เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ระหว่างกระทรวงคมนาคมและกระทรวงที่ดินโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งและการท่องเที่ยวญี่ปุ่น(MLIT) ว่า ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับโครงการรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 1 กรุงเทพฯ-พิษณุโลก ระยะทาง 380กม.วงเงิน 2.76 แสนล้านบาท ประกอบด้วย 7สถานี คือ บางซื่อ ดอนเมือง อยุธยา ลพบุรี นครสวรรค์ พิจิตร และพิษณุโลก ใน3ประเด็นหลัก คือ 1.ต้นทุนของโครงการซึ่งคณะทำงานทั้งสองผ่ายจะไปพิจารณารายละเอียดอีกครั้งว่ารายการไหนจำเป็นหรือไม่จำเป็น หากต้องการต้นทุนถูกจำเป็นต้องออกแบบและก่อสร้างเป็นระยะๆและอาจต้องตัดบางสถานีออกไปก่อน เช่น สถานีพิจิตร และสถานีลพบุรี เป็นต้นแต่ก็เป็นทางเลือกหนึ่งเท่านั้น หากตัดออกจริงจะส่งผลต่อปริมาณผู้โดยสารเพราะถ้าไม่มีสถานีคนก็ไม่ขึ้น ไทยต้องพิจารณาให้ดีว่าคุ้มค่ากับจำนวนผู้โดยสารที่หายไปหรือไม่ 2. เรื่องความเร็วสูงสุดในการเดินรถที่จะใช้ระบบเดียวกับชินคันเซ็น มาตรฐานญี่ปุ่นอยู่ที่ 300กม.ต่อชม. มีผลสำรวจว่าหากระยะทางไม่เกิน 500กม.คนจะเลือกเดินทางโดยเครื่องบิน หรือขับรถ เพราะเร็วและคุ้มค่ากว่าแต่ระยะทาง 500-749กม.ขึ้นไปคนจะหันมานั่งรถไฟความเร็วสูงทันที เพราะคุ้มค่ากว่า
รมว.คมนาคม กล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นที่ 3. เรื่องการพัฒนาพื้นที่รอบสถานี ญี่ปุ่นศึกษาทั้งระบบพบว่าการทำให้โครงการมีความคุ้มค่าถึง14%ต้องพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสถานีและพัฒนาเมืองทั้งระบบตามผลการศึกษาผลกระทบด้านเศรษฐกิจหรืออีไออาร์ ถ้าไม่พัฒนาความคุ้มค่าจะอยู่แค่7% เมื่อเปรียบเทียบความเชื่อมโยงแล้วพบว่ารถไฟไทย-จีนได้เปรียบเรื่องความเชื่อมโยงระหว่างประเทศและความต้องการของผู้โดยสารที่มาจากจีน จึงกังวลเรื่องความเชื่อมโยงของรถไฟความเร็วสูงไทย-ญี่ปุ่นกรุงเทพ-เชียงใหม่ อย่างไรก็ตามฝ่ายไทยให้ข้อมูลว่าไฮสปีดไทย-ญี่ปุ่นเชื่อมโยงรถไฟทางคู่เส้นตะวันออกบ้านไผ่-นครสวรรค์และเส้นตะวันตกนครสวรรค์-แม่สอด ได้จะทำให้ผู้โดยสารที่เดินทางจากจีนทางเครื่องบินหรือรถไฟถมาต่อรถไฟทางคู่จากบ้านไผ่-นครสวรรค์และขึ้นรถไฟความเร็วสูงไทย-ญี่ปุ่นได้ อีกทั้งจะมีจุดหยุดพักหลายแหล่ง ส่งผลต่อความเจริญของเมืองในอนาคต
นอกจากนี้ยังหารือด้วยว่าเส้นทางเชียงใหม่นั้นควรต้องพัฒนาเรื่องการขนส่งสินค้าแต่รถไฟความเร็วสูงไม่ใช่เรื่องการขนส่งสินค้าจะใช้เฉพาะขนส่งผู้โดยสาร เพื่อให้เกิดความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยส่วนรูปแบบการลงทุนเป็นอีกโจทย์ที่ญี่ปุ่นต้องไปศึกษาทั้งนี้ญี่ปุ่นเสนอว่ามีเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยถูกพร้อมให้ไทยกู้ ซึ่งไทยแจ้งว่าต้องการลดภาระหนี้ดังนั้นต้องไปช่วยคิดว่ามีรูปแบบอื่นหรือไม่ในการช่วยลดภาระของรัฐบาล เช่นการร่วมทุน เป็นต้น ญี่ปุ่นจะกลับไปศึกษาเพิ่มเติมคาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนภายในสิ้นก.พ.เพื่อประกอบการนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)ภายในเดือนมี.ค.นี้. |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44819
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 10/02/2018 5:35 am Post subject: |
|
|
สมคิดดึงเจอาร์ลงทุนไฮสปีด
กรุงเทพธุรกิจ 10 ก.พ. 61
สมคิด ทาบ เจอาร์ ลงทุนรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยอง จับมือ รฟท. พัฒนาทางรถไฟท่องเที่ยวเมืองหลัก-รอง ระบุหลายบริษัทญี่ปุ่นสนใจหลังทีโออาร์ใกล้คลอด ชี้พรบ.อีอีซีผ่านสภาฯสร้างมั่นใจลงทุน ส่ง 3 รมต.โรดโชว์ต่อเนื่อง
รัฐบาลเดินหน้าดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ล่าสุดนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และคณะเดินทางไปโรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด ในจังหวะเดียวกับที่พ.ร.บ. เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไปเมื่อวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าระหว่างนำคณะเดินทางมาโรดโชว์ที่เมืองฟุกุโอะกะประเทศญี่ปุ่น โดยได้หารือกับนายโทชิฮิโกะอะโอยากิ (Toshihiko Aoyagi) ประธานบริษัทรถไฟคิวชู (JR Kyushu) ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญในการพัฒนาระบบราง ถึงโครงการรถไฟความเร็วสูง กทม.-ระยอง ระยะทาง 300 กิโลเมตร (กม.) ที่จะเชื่อมโยง 3 สนามบิน ได้แก่ สนามบินดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา ซึ่งเป็นโครงการหลักโครงการหนึ่งของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และกำลังจะออกประกาศเชิญชวน (ทีโออาร์) ภายใน 2 เดือนนี้
โดยได้ขอให้บริษัทดังกล่าว เข้าร่วมการประมูลรถไฟความเร็วสูงเส้นทางดังกล่าวด้วย รวมทั้งขอให้ร่วมมือกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) พัฒนาเส้นทางรถไฟสำหรับการท่องเที่ยว เพื่อสนับสนุนนโยบายการท่องเที่ยวของไทย ที่ต้องการเชื่อมโยงเมืองหลักและเมืองรอง ซึ่งเป็นโอกาสดีที่คนไทยจะได้นั่งรถไฟคุณภาพดี
ได้หารือกับบริษัท JR ถึงแนวทางการพัฒนารถไฟในไทย ซึ่งบริษัทนี้ก็คล้ายๆ ร.ฟ.ท.ที่เดิมมีผลประกอบการขาดทุน แต่นำโมเดลธุรกิจการพัฒนาพื้นที่โดยรอบรองรับการท่องเที่ยว ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นไปขยายเส้นทางรถไฟสายอื่นๆ ดังนั้นจึงอยากให้เขามาร่วมมือกับ ร.ฟ.ท.อย่างจริงจังในการทำระบบรางที่สนับสนุนการท่องเที่ยว ซึ่งเขาลงนามเอ็มโอยูกันไว้แล้ว ส่วนรถไฟความเร็วสูงเส้น กทม.-ระยอง ที่อยู่ระหว่างทำร่างทีโออาร์ก็มีหลายบริษัทสนใจ อย่างญี่ปุ่นก็มีฮิตาชิ เข้ามาสอบถาม ซึ่งได้กำชับให้การทำทีโออาร์ ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของทั้งรัฐและเอกชนที่เข้ามาลงทุน นายสมคิดกล่าว
ผ่านก.ม.อีอีซีดึงเชื่อมั่น
นายสมคิดยังกล่าวถึง พ.ร.บ. เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมาว่าถือว่าเป็นข่าวดีเพราะเมื่อมีกฎหมายแล้วก็จะทำให้นักลงทุนมั่นใจมากขึ้น และเมื่อโครงการที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักของโครงการอีอีซีสามารถผลักดันออกมาทั้งทีโออาร์และการก่อสร้างได้ตามกำหนดก็จะยิ่งเกิดความเชื่อมั่นในโครงการมากขึ้น ซึ่งได้เร่งรัดให้ดำเนินการในเรื่องของทีโออาร์ การจัดเตรียมการประมูลหาเอกชนเข้ามาลงทุนในโครงการ
เล็งเจรจาแอร์ไลน์โลกลงทุนไทย
ส่วนการดำเนินการในระยะต่อไปจะเร่งรัดในเรื่องของเมืองการบิน ที่จะเน้นในการเจรจาร่วมกับสายการบินชั้นนำของโลกให้เข้ามาจัดตั้งธุรกิจซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) และการฝึกอบรมบุคลากรการบินในอีอีซี เช่น เดียวกับการจัดตั้งสถาบันการศึกษาต่างประเทศในอีอีซีได้หารือกับเจ้าของสถานศึกษารายใหญ่ของญี่ปุ่นให้เข้าไปจัดตั้งสถานศึกษาอาชีวะ และสถาบันศึกษาชั้นสูงในอีอีซีเพิ่มขึ้น โดยรัฐบาลยินดีสนับสนุนด้านภาษีและการอำนวยความสะดวกด้านอื่นๆ
มอบอุตตม-กอบศักดิ์เร่งโรดโชว์
ส่วนการโรดโชว์ในต่างประเทศเพื่อดึงดูดนักลงทุนได้มอบหมายให้นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รับหน้าที่ไปชี้แจงโครงการให้กับนักลงทุน ส่วนบางประเทศที่มีการเชิญให้ตนเองเดินทางไปโรดโชว์ เช่น อังกฤษ และจีน จะต้องดูช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม และการเชื่อมโยงการลงทุนกับประเทศไทยเป็นหลัก
สมคิดยาหอมชวนญี่ปุ่นลงทุน
รองนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวระหว่างการปาฐกถาในหัวข้อ Thailand as a Key Driver of Regional Economic Growth ในระหว่างการสัมนาของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ซึ่งมีนักลงทุนจากจ.ฟุกุโอะกะ และกลุ่มจังหวัดในเกาะคิวชูเข้าร่วมฟังกว่า 900 คนว่า ไทยได้เร่งปฏิรูปประเทศโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจเพื่อให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการลงทุนที่แท้จริงแห่งภูมิภาค โดยมีโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่มูลค่านับล้านล้านบาท ใน 5 ปีข้างหน้าได้ถูกผลักดันออก
ในการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทยครั้งสำคัญนี้ เราไม่อาจทำได้โดยลำพัง เราหวังเป็นอย่างยิ่งในความร่วมมือและการสนับสนุนจากนักลงทุนจากญี่ปุ่นมหามิตรของไทย เช่นในอดีต ผมได้เดินทางมาญี่ปุ่นหลายครั้งเพื่อเชิญชวนนักลงทุนจากญี่ปุ่นมาร่วมกับเรา และผมใคร่ขอใช้โอกาสนี้เชิญชวนท่านทั้งหลายหากมีจุดประสงค์จะขยายการลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะในอาเซียน ก็ขอให้พิจารณาไปลงทุนในประเทศไทย นายสมคิดกล่าว
ด้านนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าประเทศไทยกำลังก้าวสู่การลงทุนครั้งใหญ่ในรอบ 30 ปี โดยรัฐบาลจะผลักดันการลงทุนกว่า 2 ล้านล้านบาทในรอบ 8 ปี เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เช่น การลงทุนระบบรางที่ใน 2 ปี (2560 - 2561) จะมีการลงทุน 1.3 หมื่นดอลลาร์หรือประมาณ 4 แสนล้านบาท คิดเป็นระยะทาง 2500 กิโลเมตร การลงทุนพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาเชิงพาณิชย์ และการพัฒนาท่าเรือสำคัญๆ เป็นต้น ซึ่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะส่งผลให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอินโดจีน ที่ในอนาคตจะเป็นฐานการผลิตเดียว (Single production) ที่มีประชากรรวมกันกว่า 400 คน ซึ่งจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจของตลาดในแถบนี้ 7-8% ต่อเนื่องไปอีก 15 ปี
ผ่านก.ม.อีอีซีตั้งเลขาฯใน90วัน
นายคณิศ แสงสุพรรณ. เลขาธิการ คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เปิดเผยว่า หลังจากกฎหมายอีอีซีผ่าน สนช.จะเข้าสู่ขั้นตอนการลงพระปรมาภิไธย จากนั้นก็ประกาศในราชกิจานุเบกษา จากนั้นจะต้องตั้งคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ภายใน 60 วัน และตั้งเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายฯ ภายใน 90 วัน
โดยหลังจากขั้นตอนต่างๆแล้วเสร็จ จะเร่งผลักดันโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 5 โครงการ ได้แก่
1.โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา
2.โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน
3.โครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3
4.โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะ 3 และ
5.โครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานอู่ตะเภา
โดยภายในสิ้นปีนี้จะต้องได้ตัวบริษัทที่จะเข้ามาลงทุน และเริ่มก่อสร้างได้ภายในปี 2562 ซึ่งคาดว่าโครงการรถไฟความเร็วสูง สนามบินอู่ตะเภา และศูนย์ซ่อมอากาศยานจะแล้วเสร็จภายในปี 2565 ส่วนโครงการท่าเรือทั้ง 2 โครงการ จะเสร็จช้ากว่าเล็กน้อย
เร่งโรดโชว์จีน ยุโรป สหรัฐ
นอกจากนี้ จะเร่งรัดการลงทุนภาคเอกชนในพื้นที่ อีอีซี ซึ่งได้ตั้งเป้ายอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในปีนี้ ไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาท ซึ่งจะต้องอยู่ในกลุ่ม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปีนี้ ที่มีมูลค่า 3 แสนล้านบาท คาดว่าจะลงทุนจริงในปีนี้ 30-40% หรือมีมูลค่า 9 หมื่นบาท ถึง 1.2 แสนล้านบาท และคาดว่าจะลงทุนจริงได้ทั้งหมดภายใน 5 ปี เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนเดิมที่ได้ขอขยายการลงทุน จึงเริ่มดำเนินการได้เร็ว
ในปีที่ผ่านมาผู้ที่ขอรับการส่งเสริมฯส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนรายเดิมที่ขอขยายกิจการ ส่วนในปีนี้ จะเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ที่ยังไม่เคยลงทุนในไทย ซึ่งหลังจากที่กฎหมาย อีอีซีผ่าน สนช. ก็จะทำให้มีความมั่นใจในการลงทุน คาดว่าจะมียอดคำขอลงทุนมากกว่า 3 แสนล้านบาทอย่างแน่นอน
นอกจากนี้จะเร่งดึงบริษัทขนาดใหญ่ของโลก 30 ราย เข้ามาขอรับการส่งเสริมการลงทุนภายในสิ้นเดือนมี.ค.นี้ ซึ่งครบ 1 ปี ของการดำเนินงานของอีอีซี และยังมีแผนที่จะปรับเพิ่มเป้าหมายการลงทุนของทั้งภาครัฐและเอกขนที่ตั้งไว้ที่ 1.5 ล้านล้านบาทภายใน 5 ปี ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้ โดยหลังจากนี้ จะนำคณะออกไปโรดโชว์ดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายทั้งในและต่างประเทศ โดยประเทศหลักๆที่จะไปโรดโชว์ ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน ยุโรป และสหรัฐ |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44819
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 10/02/2018 3:24 pm Post subject: |
|
|
คมนาคม เจรจา จีน บรรลุผล พัฒนารถไฟเร็วสูง กรุงเทพฯ-หนองคาย
มติชนออนไลน์ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2561 - 11:01 น.
เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ระหว่างวันที่ 7-9 กุมภาพันธ์ 2561 ณ นครปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 ได้มีการประชุมร่วมอย่างเป็นทางการระหว่างนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมคณะ และนายหวัง เสี่ยวเทา รองผู้อำนวยการคณะกรรมการและปฏิรูปแห่งชาติ สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมคณะ ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันเจรจาจนบรรลุผลความคืบหน้าในการดำเนินโครงการรถไฟ ความเร็วสูง กรุงเทพฯ นครราชสีมา หนองคาย ใน 5 ด้าน ดังนี้
1. ด้านการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 1 ช่วง กรุงเทพฯ นครราชสีมา ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันโดยยืนยันถึงกำหนดการในการส่งแบบรายละเอียดเพื่อใช้ใน การก่อสร้าง โครงการในช่วงดังกล่าวเพื่อใช้ในการก่อสร้างงานโยธาที่ฝ่ายรัฐบาลจีนจะ ดำเนินการส่งมอบให้เป็นไปตามแผนการที่กำหนด ดังนี้ แบบการก่อสร้างระยะที่ 1 กรุงเทพฯ-นครราชสีมา
1.1 ช่วงกลางดง-ปางอโศก ระยะทาง 3.5 ได้เริ่มก่อสร้างแล้ว
1.2 ช่วงสีคิ้ว-กุดจิก ระยะทาง 11 กิโลเมตร ฝ่ายจีนจะส่งแบบรายละเอียดฉบับสมบูรณ์ในเดือนมีนาคม ฝ่ายไทยจะตรวจแบบ จัดทำ
ราคากลาง และจัดทำ TOR ซึ่งคาดว่าจะเริ่มกระบวนการประกวดราคาในเดือนพฤษภาคม 2561
1.3 ช่วงมวกเหล็ก-ลำตะคอง (อุโมงค์) จีนจะนำส่งร่างแบบรายละเอียดในเดือนมีนาคม ซึ่งคาดว่าจะส่งแบบรายละเอียดฉบับสมบูรณ์ในเดือนเมษายน 2561 และจัดทำ TOR ต่อไป ซึ่งคาดว่าจะเริ่มกระบวนการประกวดราคาในเดือนมิถุนายน 2561
1.4 ช่วงแก่งคอย-บันไดม้า-โคกกรวด-ลำตะคอง-โคราช ฝ่ายจีนจะส่งร่างแบบรายละเอียดในเดือนเมษายน หลังจากนั้นจะตรวจสอบแบบต่อไป
โดยคาดว่าจะส่งแบบรายละเอียดฉบับสมบูรณ์ได้ในเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน 2561 หลังจากนั้นจะเป็นกระบวนการในการจัดทำราคากลางก่อนจะเริ่มการประกวดราคาใน เดือนกรกฎาคม 2561
1.5 ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง- นวนคร-บ้านโพธิ์-พระแก้ว-สระบุรี-แก่งคอย-เชียงรายน้อย ซึ่งฝ่ายจีนจะส่งร่างแบบรายละอียดในเดือนมิถุนายน 2561 และฝ่ายไทยจะได้ตรวจสอบร่างแบบดังกล่าวซึ่งคาดว่าฝ่ายจีนจะได้ส่งแบบราย ละเอียดในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2561 จัดทำราคากลางและเริ่มการประกวดราคาในเดือนกันยายน 2561
2. โครงการระยะที่ 2 นครราชสีมา-หนองคาย
ฝ่ายไทยจะได้ทบทวนผลการศึกษาความเหมาะสมในเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2561 เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีในเดือนมิถุนายน 2561
หลังจากนั้นจะได้ดำเนินการจ้างที่ปรึกษาเพื่อออกแบบรายละเอียดในเดือน มิถุนายน และจะออกแบบรายละเอียดประมาณ 10 เดือน ก่อนดำเนินการประกวดราคาในราวไตรมาสที่ 2 ของปี 2562 ต่อไป
3. การประสานงานเพื่อการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทย -สปป.ลาว และสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการดำเนินโครงการก่อสร้างโครงข่ายเชื่อมโยงในอนุภูมิภาค ฝ่ายจีนได้ตกลงที่จะเป็นผู้ดำเนินการเชิญผู้แทนระหว่างรัฐบาลทั้ง 3 ประเทศ มาเจรจาหารือกันในการพัฒนาโครงข่ายระบบรถไฟความเร็วสูงในช่วงจากหนองคายถึง กรุงเวียงจันทน์ สปป. ลาว ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องมีการดำเนินการก่อสร้างให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างกัน ในระยะต่อไป ซึ่งจะทำให้การเดินรถไฟความเร็วสูงดังกล่าวสามารถเชื่อมโยงในระหว่างอนุ ภูมิภาคได้อย่างต่อเนื่อง และเตรียมการในเรื่องการลดอุปสรรคในเรื่องการเดินทางของประชาชนของทั้ง 3 ประเทศ อันเกิดจากการตรวจคนเข้าเมือง และระบบการตรวจพิธีการด้านศุลกากรในลำดับต่อไป
4. การดำเนินงานในสัญญา 2.3 งานระบบรถไฟและการฝึกอบรมทั้งสองฝ่ายจะหารือกันอย่างต่อเนื่องในเรื่องการ ใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างโครงสร้างทางรถไฟแบบใช้หินโรยทางและไม่ใช่หินโรยทาง การสำรองข้อมูลและการจ่ายไฟฟ้า ฝ่ายจีนจะทำข้อมูลให้ฝ่ายไทยพิจารณา และพยายาม
ให้ได้ข้อสรุปสัญญา 2.3 ให้ได้ในเดือนมีนาคม 2561
5. การถ่ายทอดเทคโนโลยีทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงว่าจะถ่ายทอดเทคโนโลยีใน 3 ด้านหลัก คือ
หลักสูตรการฝึกอบรมวิศวกรไทยด้านเทคโนโลยีการออกแบบรถไฟความเร็วสูงโดยฝ่าย จีนจะดำเนินการจัดทำแผนการดำเนินงานและรายละเอียดการฝึกอบรมและถ่ายทอด เทคโนโลยีการออกแบบและก่อสร้างงานโยธารถไฟความเร็วสูงให้ฝ่ายไทยภายในวันที่ 15 มีนาคม 2561 ใน 12 หัวข้อหลักก่อนเป็นลำดับแรกภายใต้สัญญา 2.1 โดยการอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีดังกล่าวได้มีการบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นรวมถึง การออกแบบระบบรางและระบบจ่ายไฟเหนือขบวนรถซึ่งจะเป็นการดำเนินการภายใต้ สัญญา 2.3 ต่อไป
ฝ่ายไทยได้ขอให้ฝ่ายจีนถ่ายทอดประสบการณ์ในการจัดตั้งองค์กรและส่วนที่ เกี่ยวข้อง ซึ่งฝ่ายจีนยินที่จะดำเนินการสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว และจะส่งเจ้าหน้าที่ผู้มีความรู้มาร่วมช่วยไทยในการดำเนินการดังกล่าวต่อไป
ฝ่ายไทยขอให้ฝ่ายจีนสนับสนุนการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการส่งเสริมขีดความ สามารถการทดสอบการก่อสร้าง การติดตั้ง การตรวจสอบ และการซ่อมบำรุงของโครงการรถไฟความเร็วสูงในไทย โดยข้อมูล เอกสาร และการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องจะรวมถึงหลักสูตรการซ่อมบำรุง รายการของสมรรถนะการทดสอบและการบริการ มาตรฐานที่เกี่ยวข้องของผลิตภัณฑ์ 4 กลุ่ม (26 รายการอุปกรณ์) ซึ่งฝ่ายจีนได้ยืนยันที่จะส่งหัวหน้า เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบรถไฟมาประเทศไทยเพื่อร่วมกันพิจารณาและส่ง มอบมาตรฐานที่จำเป็นต่อการลดการพึ่งพา และดำเนินการได้ด้วยตนเอง ด้านการซ่อมบำรุงในอนาคตให้แก่ฝ่ายไทยโดยเร็ว และจะหารือให้ได้ข้อสรุปก่อนการประชุมครั้งต่อไป ทั้งนี้ฝ่ายจีนยินดีที่จะสนับสนุนฝ่ายไทยในการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม ระบบรางในประเทศไทยในอนาคตให้เกิดเป็นรูปธรรมต่อไป
ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้พิจารณาตกลงร่วมกันที่จะให้มีกลไกในการติดตามการดำเนินงานตาม ข้อตกลงและจะประสานงานอย่างใกล้ชิดตลอดจนแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน ระหว่างกัน เพื่อให้การก่อสร้างโครงการฯเป็นไปด้วยความราบรื่นตามกำหนดต่อไป |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 44819
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 11/02/2018 7:31 pm Post subject: |
|
|
เตรียมเชื่อมรถไฟความเร็วสูงไป "สปป.ลาว"
เรื่องโดย Nation TV | ภาพโดย Nation TV
11 กุมภาพันธ์ 2561 10:32
คมนาคมเดินหน้าเจรจาสร้างรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพ - หนองคาย หวังเชื่อมต่อไปยัง สปป.ลาว และจีนตอนใต้......
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม อาคม เติมพิทยาไพสิฐ เข้าประชุมคณะกรรมการร่วม เพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน โดยได้เจรจากับนายหวัง เสี่ยวเทา รองผู้อำนวยการคณะกรรมการและปฏิรูปแห่งชาติ สาธารณรัฐประชาชนจีน ถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ - นครราชสีมา - หนองคาย และหวังเชื่อมต่อไปยัง สปป.ลาว
โดยจีนตกลงจะเป็นผู้ดำเนินการเชิญผู้แทนระหว่างรัฐบาลทั้ง 3 ประเทศ มาเจรจาหารือกัน ในการพัฒนาโครงข่ายระบบรถไฟความเร็วสูงช่วงหนองคายถึงกรุงเวียงจันทน์ สปป. ลาว เพื่อสร้างให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างกันในระยะยาว ด้วยการเดินรถไฟความเร็วสูง เชื่อมโยงอนุภูมิภาค และเตรียมการในเรื่องการลดอุปสรรคในเรื่องการเดินทางของประชาชนของทั้ง 3 ประเทศ เช่น การตรวจคนเข้าเมือง การตรวจด้านศุลกากร |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42784
Location: NECTEC
|
Posted: 12/02/2018 4:01 am Post subject: |
|
|
ดึงญี่ปุ่นประมูลไฮสปีดยกลอต ขาย TOR กรุงเทพ-ระยองมี.ค.นี้
เศรษฐกิจในประเทศวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2561 - 20:50 น.
สมคิด จีบนักลงทุนญี่ปุ่นร่วมพลิกประเทศไทย เจรจาทุนยักษ์ลงทุนรถไฟความเร็วสูง ร่วมประมูลทุกสายภายในปีนี้ ประเดิมขาย TOR กรุงเทพฯ-ระยองเดือนหน้า ดึงฟูกุโอกะเชื่อมเส้นทางการค้าโลกสายใหม่ silicon sea belt เน้นอุตสาหกรรรมไฮเทค
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างการโรดโชว์ประเทศไทย ที่เมืองฟูกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่นว่า ได้เจรจากับนาย Toshihiki Aoya ประธานบริษัท JR Kyushu ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจรถไฟทุกระบบ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ให้ไปร่วมประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง และรถไฟเพื่อการท่องเที่ยวในหลายเส้นทาง ซึ่งรัฐบาลไทยจะประกาศ TOR โครงการรถไฟความเร็วสูงภายในเดือนมีนาคมนี้ และจะเปิดประมูลในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า และจะประมูลให้ได้ทุกสายภายในปีนี้
ปั้น silicon sea belt
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวกับนักลงทุนญี่ปุ่นกว่า 900 คนว่า ไทยเห็นโอกาสที่จะร่วมเป็นพันธมิตรการลงทุนกับญี่ปุ่น จึงได้เดินทางมาเปิดสถานกงสุลใหญ่ และเปิดสำนักงานการท่องเที่ยวไปพร้อมกันในปีนี้ เพราะฟูกุโอกะ เป็นแหล่งที่ตั้งอุตสาหกรรมที่ทันสมัย เหมาะที่จะเชื่อมโยงกับเส้นทางการค้าไฮเทคสายใหม่ หรือที่เรียกว่า silicon sea belt เชื่อมโยงจากสิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ ซึ่งเป็นเส้นทางที่เป็นแหล่งการเกษตร การท่องเที่ยว อุตสาหกรรมเอสเอ็มอี หุ่นยนต์ และสตาร์ตอัพ3-4 ปีที่ผ่านมานี้ ประเทศไทยมีความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น เพื่อพร้อมรับโอกาสที่ความเจริญเติบโตของโลกกำลังมุ่งสู่ แต่นักลงทุนญี่ปุ่นที่เป็นมหามิตรยังคง ลงทุนสูงสุดในประเทศไทย มีจำนวนธุรกิจญี่ปุ่นในประเทศไทยอย่างน้อย 8,000 ราย และมีชาวญี่ปุ่นอาศัยในไทยกว่า 6 หมื่นราย
นายสมคิดกล่าวเชิญชวนนัก ลงทุนญี่ปุ่นว่า นี่จะเป็นโอกาสสำคัญของเอเชีย เพราะศูนย์กลางเศรษฐกิจโลกกำลังเคลื่อนจากตะวันตกสู่ตะวันออก อาเซียนกำลังเป็นข้อต่อที่สำคัญทั้งในด้านภูมิรัฐศาสตร์ด้านความมั่นคง ในขณะที่จีนกำลังขยายความสัมพันธ์ล้านช้างและลำนํ้าโขง ในนโยบาย One Belt One Road ผ่านทั้งลาว ไทย สู่มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เช่นเดียวกันก็มีการผลักดันนโยบายความร่วมมือ Indo Pacific โดยอินเดีย อาเซียน ญี่ปุ่น อเมริกา และออสเตรเลีย ขึ้นมาอีกเส้นทาง
ลงทุน 2 ล้าน ล.ขนส่งทุกระบบ
นายสมคิดบอกว่า ประเทศไทยกำลังจะเริ่มโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่มูลค่า 2 ล้านบาท ใน 8 ปีข้างหน้า ทั้งถนน รถไฟ รถไฟความเร็วสูง สนามบินพาณิชย์แห่งใหม่ ขยายท่าเรือ วางระบบ IT และเครือข่ายดิจิทัล
บางโครงการได้เริ่มแล้ว และทุกโครงการที่สำคัญจะต้องได้รับการจัดสรรงบประมาณ และเรียกประกวดราคาในกรณีร่วมทุนกับเอกชนในลักษณะ PPP ภายในปีนี้และปีหน้า พร้อมกับเร่งลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ news curveรัฐบาลได้ผลักดันโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของไทย เร่งสร้างความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งรถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ สนามบินพาณิชย์แห่งใหม่ ขยายท่าเรือและระบบขนส่งสินค้าในลักษณะของ
เพื่อเป็นการจูงใจนัก ลงทุนญี่ปุ่น บีโอไอได้คิดค้นแพ็กเกจภาษีพิเศษเพื่อการนี้ ทำให้ในปีที่ผ่านมามีผู้เข้ารับการส่งเสริมกว่า 2 แสนล้านบาท หนึ่งในสามของมูลค่าลงทุนทั้งหมด
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เมืองฟูกุโอกะจะร่วมมือกับไทย ทั้งเรื่องนวัตกรรม อุตสาหกรรม supply chain ในเชิงของตลาดการค้า การลงทุน ไม่ว่าจะเป็นอาหารแปรรูป รถยนต์พลังงานไฮโดรเจน พลังงาน เคมีภัณฑ์ semiconductor หุ่นยนต์อุตสาหกรรม เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมดิจิทัล และยังเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งชาติของญี่ปุ่นที่เชื่อมโยง silicon sea belt
กอบศักดิ์โชว์ยักษ์ไทยลงทุนตาม
ด้านนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไทยจะลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 30 ปี และเชิญชวนญี่ปุ่นร่วมลงทุนในโอกาสนี้ ด้วยแผนการลงทุนที่เริ่มต้นขึ้นแล้ว ทั้งมอเตอร์เวย์ 5 สายที่เชื่อมจากกรุงเทพฯไปสู่ทุกภาคของประเทศ การลงทุนระบบรางในปีที่ผ่านมา 7 เส้นทาง 1,000 กิโลเมตร และในปีนี้จะลงทุนอีก 1,500 กิโลเมตร ใช้งบฯลงทุนกว่า 4 แสนล้านบาท และจะเห็นการเริ่มก่อสร้างรถไฟฟ้าบนดิน-ใต้ดินอีกหลายสาย
นายกอบศักดิ์นำเสนอต่อนักลงทุนว่า เมื่อรัฐบาลลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทุกเครือข่าย ทำให้ภาคเอกชนรายใหญ่กำลังลงทุน พลิกโฉมกรุงเทพฯและประเทศไทย ทั้งกลุ่มอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ โรงแรม และห้างค้าปลีก เช่น โครงการไอคอนสยาม ซึ่งเป็นการลงทุนศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ, โครงการหอชมเมือง, โครงการ One Bangkok และโครงการร่วมทุนระหว่างดุสิตธานีกับกลุ่มเซ็นทรัล
ขอเชิญชวนนักลงทุนญี่ปุ่นร่วมพลิกโฉมประเทศไทยไปด้วยกัน โดยเฉพาะพื้นที่ EEC ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจเหมือนแหวนทองคำที่สวยอยู่แล้ว รัฐบาลจะเอาเพชรไปประดับให้สวยงามยิ่งขึ้น เป็นแหล่งลงทุนที่ดีที่สุดในเอเชีย ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางของอินโดไชน่า ที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 7% ต่อเนื่อง 15 ปี นายกอบศักดิ์กล่าว
เพิ่มนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น 10%
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยภายหลังร่วมลงนามในบันทึกแสดงเจตนารมณ์ ระหว่าง ททท.และองค์กรส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคคิวชู ที่เมืองฟูกุโอกะ ว่า ททท.เตรียมจะกลับมาเปิดสำนักงาน ททท.ประจำเมืองฟูกุโอกะอีกครั้ง หลังจากได้ปิดสำนักงานไปเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา เพื่อเชื่อมไทยกับเมืองฟูกุโอกะและภูมิภาคคิวชูใน 7 จังหวัดของญี่ปุ่น
นางสาวรัญจวน ทองรุต ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออก ททท. กล่าวว่า การเปิดสำนักงาน ททท.ในฟูกุโอกะอีกครั้งจะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปท่องเที่ยวในไทยมากขึ้นในปีที่ผ่านมาญี่ปุ่นไปท่องเที่ยวไทยมากที่สุดถึง 1.54 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 7.28% จากปีก่อน สร้างรายได้กว่า 67,512 ล้านบาท นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นถือเป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพ มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อวันที่ 5,353 บาท หรือ 44,000 บาทต่อทริป ในปี 2561 ททท.ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นให้ได้อีก โดยได้หารือกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เตรียมเพิ่มเที่ยวบินตรงมายังจังหวัดฟูกุโอกะอีก 3 เที่ยวต่อสัปดาห์ เป็น 10 เที่ยวต่อสัปดาห์ จะเริ่มบินในวันที่ 25 มี.ค.นี้ |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42784
Location: NECTEC
|
Posted: 12/02/2018 4:02 am Post subject: |
|
|
ไทย-จีนบรรลุความคืบหน้าสร้างรถไฟความเร็วสูง กทม.-หนองคาย ดีเดย์พ.ค.ประมูลช่วงสีคิ้ว-กุดจิก
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2561 - 09:10 น.
ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ระหว่างวันที่ 7-9 กุมภาพันธ์ 2561 ณ นครปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน
โดยในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 ได้มีการประชุมร่วมอย่างเป็นทางการระหว่างนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมคณะ และนายหวัง เสี่ยวเทา รองผู้อำนวยการคณะกรรมการและปฏิรูปแห่งชาติ สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมคณะ ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันเจรจาจนบรรลุผลความคืบหน้าในการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ นครราชสีมา หนองคาย ใน 5 ด้าน ดังนี้
1. ด้านการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 1 ช่วง กรุงเทพฯ นครราชสีมา
ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันโดยยืนยันถึงกำหนดการในการส่งแบบรายละเอียดเพื่อใช้ในการก่อสร้าง โครงการในช่วงดังกล่าวเพื่อใช้ในการก่อสร้างงานโยธาที่ฝ่ายรัฐบาลจีนจะดำเนินการส่งมอบให้เป็นไปตามแผนการที่กำหนด ดังนี้
แบบการก่อสร้างระยะที่ 1 กรุงเทพฯ-นครราชสีมา
1.1 ช่วงกลางดงปางอโศกระยะทาง 3.5 ได้เริ่มก่อสร้างแล้ว
1.2 ช่วงสีคิ้ว-กุดจิกระยะทาง 11 กิโลเมตร ฝ่ายจีนจะส่งแบบรายละเอียดฉบับสมบูรณ์ในเดือนมีนาคม ฝ่ายไทยจะตรวจแบบ จัดทำราคากลาง และจัดทำ TOR ซึ่งคาดว่าจะเริ่มกระบวนการประกวดราคาในเดือนพฤษภาคม 2561
1.3 ช่วงมวกเหล็ก-ลำตะคอง (อุโมงค์) จีนจะนำส่งร่างแบบรายละเอียดในเดือนมีนาคม ซึ่งคาดว่าจะส่งแบบรายละเอียดฉบับสมบูรณ์ในเดือนเมษายน 2561 และจัดทำ TOR ต่อไป ซึ่งคาดว่าจะเริ่มกระบวนการประกวดราคาในเดือนมิถุนายน 2561
1.4 ช่วงแก่งคอย-บันไดม้า-โคกกรวด-ลำตะคอง-โคราช ฝ่ายจีนจะส่งร่างแบบรายละเอียดในเดือนเมษายน หลังจากนั้นจะตรวจสอบแบบต่อไป
โดยคาดว่าจะส่งแบบรายละเอียดฉบับสมบูรณ์ได้ในเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน 2561 หลังจากนั้นจะเป็นกระบวนการในการจัดทำราคากลางก่อนจะเริ่มการประกวดราคาในเดือนกรกฎาคม 2561
1.5 ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง- นวนคร-บ้านโพธิ์-พระแก้ว-สระบุรี-แก่งคอย-เชียงรายน้อย ซึ่งฝ่ายจีนจะส่งร่างแบบรายละอียดในเดือนมิถุนายน 2561 และฝ่ายไทยจะได้ตรวจสอบร่างแบบดังกล่าวซึ่งคาดว่าฝ่ายจีนจะได้ส่งแบบรายละเอียดในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2561 จัดทำราคากลางและเริ่มการประกวดราคาในเดือนกันยายน 2561
2. โครงการระยะที่ 2 นครราชสีมา-หนองคาย
ฝ่ายไทยจะได้ทบทวนผลการศึกษาความเหมาะสมในเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2561 เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีในเดือนมิถุนายน 2561
หลังจากนั้นจะได้ดำเนินการจ้างที่ปรึกษาเพื่อออกแบบรายละเอียดในเดือนมิถุนายน และจะออกแบบรายละเอียดประมาณ 10 เดือน ก่อนดำเนินการประกวดราคาในราวไตรมาสที่ 2 ของปี 2562 ต่อไป
3. การประสานงานเพื่อการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทย -สปป.ลาว และสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการดำเนินโครงการก่อสร้างโครงข่ายเขื่อมโยงในอนุภูมิภาค
ฝ่ายจีนได้ตกลงที่จะเป็นผู้ดำเนินการเชิญผู้แทนระหว่างรัฐบาลทั้ง 3 ประเทศ มาเจรจาหารือกันในการพัฒนาโครงข่ายระบบรถไฟความเร็วสูงในช่วงจากหนองคายถึงกรุงเวียงจันทน์ สปป. ลาว ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องมีการดำเนินการก่อสร้างให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างกันในระยะต่อไป
ซึ่งจะทำให้การเดินรถไฟความเร็วสูงดังกล่าวสามารถเชื่อมโยงในระหว่างอนุภูมิภาคได้อย่างต่อเนื่อง และเตรียมการในเรื่องการลดอุปสรรคในเรื่องการเดินทางของประชาชนของทั้ง 3 ประเทศ อันเกิดจากการตรวจคนเข้าเมือง และระบบการตรวจพิธีการด้านศุลกากรในลำดับต่อไป
4. การดำเนินงานในสัญญา 2.3 งานระบบรถไฟและการฝึกอบรม
ทั้งสองฝ่ายจะหารือกันอย่างต่อเนื่องในเรื่องการใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างโครงสร้างทางรถไฟแบบใช้หินโรยทางและไม่ใช่หินโรยทาง การสำรองข้อมูลและการจ่ายไฟฟ้า ฝ่ายจีนจะทำข้อมูลให้ฝ่ายไทยพิจารณา และพยายามให้ได้ข้อสรุปสัญญา 2.3 ให้ได้ในเดือนมีนาคม 2561
5. การถ่ายทอดเทคโนโลยีทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงว่าจะถ่ายทอดเทคโนโลยีใน 3 ด้านหลัก คือ
หลักสูตรการฝึกอบรมวิศวกรไทยด้านเทคโนโลยีการออกแบบรถไฟความเร็วสูงโดยฝ่ายจีนจะดำเนินการจัดทำแผนการดำเนินงานและรายละเอียดการฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีการออกแบบและก่อสร้างงานโยธารถไฟความเร็วสูงให้ฝ่ายไทยภายในวันที่ 15 มีนาคม 2561 ใน 12 หัวข้อหลักก่อนเป็นลำดับแรกภายใต้สัญญา 2.1 โดยการอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีดังกล่าวได้มีการบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นรวมถึงการออกแบบระบบรางและระบบจ่ายไฟเหนือขบวนรถซึ่งจะเป็นการดำเนินการภายใต้สัญญา 2.3 ต่อไป
ฝ่ายไทยได้ขอให้ฝ่ายจีนถ่ายทอดประสบการณ์ในการจัดตั้งองค์กรและส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งฝ่ายจีนยินดีที่จะดำเนินการสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว และจะส่งเจ้าหน้าที่ผู้มีความรู้มาร่วมช่วยไทยในการดำเนินการดังกล่าวต่อไป
ฝ่ายไทยขอให้ฝ่ายจีนสนับสนุนการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการส่งเสริมขีดความสามารถการทดสอบการก่อสร้าง การติดตั้ง การตรวจสอบ และการซ่อมบำรุงของโครงการรถไฟความเร็วสูงในไทย
โดยข้อมูล เอกสาร และการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องจะรวมถึงหลักสูตรการซ่อมบำรุง รายการของสมรรถนะการทดสอบและการบริการ มาตรฐานที่เกี่ยวข้องของผลิตภัณฑ์ 4 กลุ่ม (26 รายการอุปกรณ์) ซึ่งฝ่ายจีนได้ยืนยันที่จะส่งหัวหน้าเจ้าที่ผู้เขียวชาญด้านระบบรถไฟมาประเทศไทยเพื่อร่วมกันพิจารณาและส่งมอบมาตรฐานที่จำเป็นต่อการลดการพึ่งพา และดำเนินการได้ด้วยตนเอง ด้านการซ่อมบำรุงในอนาคตให้แก่ฝ่ายไทยโดยเร็วและจะหารือให้ได้ข้อสรุปก่อนการประชุมครั้งต่อไป
ทั้งนี้ฝ่ายจีนยินดีที่จะสนับสนุนฝ่ายไทยในการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางในประเทศไทยในอนาคตให้เกิดเป็นรูปธรรมต่อไป
ทั้งสองฝ่ายได้พิจารณาตกลงร่วมกันที่จะให้มีกลไกในการติดตามการดำเนินงานตามข้อตกลงและจะประสานงานอย่างใกล้ชิดตลอดจนแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานระหว่างกัน เพื่อให้การก่อสร้างโครงการฯเป็นไปด้วยความราบรื่นตามกำหนดต่อไป |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42784
Location: NECTEC
|
Posted: 12/02/2018 4:04 am Post subject: |
|
|
คมนาคมโต้ข่าวโซเซียล ยันรถไฟไทย-ญี่ปุ่นยังไม่ล้มโต๊ะ
10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 18:50 น.
กระทรวงคมนาคมแจงโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่อยู่ระหว่างการหารือ เผยไม่มีการเจรจาการลงทุน ล่าสุดญี่ปุ่นรับไปพิจารณาข้อมูลและรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสม
10 ก.พ. 61-ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อต่างประเทศและสื่อโซเชียลว่า ญี่ปุ่นไม่สนใจลงทุนหรือยกเลิกโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทาง กทม.-เชียงใหม่ ช่วง กรุงเทพฯ-พิษณุโลกนั้นกระทรวงคมนาคมขอเรียนว่า การหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงคมนาคมของไทย และกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคมและการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น เป็นการรายงานผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการความร่วมมือระหว่างสองกระทรวงในการพัฒนารถไฟความเร็วสูงเส้นกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ยังไม่ได้มีการเจรจาการลงทุนแต่ประการใด และทางฝ่ายญี่ปุ่นไม่ได้ยกเลิกโครงการความร่วมมือ หรือตอบปฏิเสธการร่วมลงทุนแต่อย่างใด ทั้งนี้ทางฝ่ายญี่ปุ่นรับที่จะไปพิจารณาจัดทำข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อหารูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมและเป็นภาระการลงทุนของรัฐบาลไทยให้น้อยที่สุด
สำหรับในประเด็นเรื่องความเร็วของรถไฟความเร็วสูงชินกันเซ็นของญี่ปุ่นนั้น ตามมาตรฐานของญี่ปุ่นจะพัฒนาความเร็วที่ 300 กม.ต่อชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ซึ่งเป็นที่เข้าใจร่วมกันว่า การลดความเร็วลงจะไม่มีความแตกต่างของมูลค่าการลงทุน รวมทั้งการลดจำนวนสถานี ทั้งนี้ในการจัดทำรายงานการศึกษาความเหมาะสมได้คำนึงถึงการประหยัดค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด โดยคำนึงถึงต้นทุนตลอดอายุโครงการ (Life Cycle Cost) ทั้งนี้ ทางญี่ปุ่นรับไปศึกษาเพิ่มเติม
กระทรวงคมนาคมจึงขอเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน และมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนารระบบรถไฟความเร็วสูงให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่กระจายความเจริญไปสู่เมืองต่างๆ ในภูมิภาค และให้เกิดความสะดวกสบาย ความรวดเร็ว และปลอดภัยในการเดินทางของพี่น้องประชาชนและเปิดเส้นทางท่องเที่ยวในภูมิภาค
ไม่จริง! คมนาคมโต้ข่าวญี่ปุ่นไม่ร่วมทุนรถไฟความเร็วสูง แจงยังอยู่ในขั้นการศึกษา
โดย: MGR Online
เผยแพร่: 11 กุมภาพันธ์ 2561 - 10:29:00
ปรับปรุง: 11 กุมภาพันธ์ 2561 - 12:28:00
คมนาคม โต้ข่าวญี่ปุ่นปฏิเสธและยกเลิกโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ยันสรุปการศึกษาเบื้องต้นแล้ว เตรียมเสนอ ครม. ส่วนการร่วมทุนยังไม่มีการเจรจารายละเอียด อยู่ในขั้นทำข้อมูลเพื่อพิจารณารูปแบบลงทุนที่เหมาะสมและลดภาระของรัฐบาลให้น้อยที่สุด
รายงานข่าวแจ้งว่า กระทรวงคมนาคมได้ออกเอกสารชี้แจงถึงกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อต่างประเทศและสื่อโซเชียลว่า ญี่ปุ่นไม่สนใจลงทุนหรือยกเลิกโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ช่วงกรุงเทพฯ-พิษณุโลก ว่า การหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงคมนาคมของไทย กับกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคมและการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น เป็นการรายงานผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการความร่วมมือระหว่างสองกระทรวงในการพัฒนารถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ยังไม่ได้มีการเจรจาการลงทุนแต่ประการใด และทางฝ่ายญี่ปุ่นไม่ได้ยกเลิกโครงการความร่วมมือ หรือตอบปฏิเสธการร่วมลงทุนแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ทางฝ่ายญี่ปุ่นรับที่จะไปพิจารณาจัดทำข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อหารูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมและเป็นภาระการลงทุนของรัฐบาลไทยให้น้อยที่สุด
สำหรับในประเด็นเรื่องความเร็วของรถไฟความเร็วสูงชินกันเซ็นของญี่ปุ่นนั้น ตามมาตรฐานของญี่ปุ่นจะพัฒนาความเร็วที่ 300 กม.ต่อชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ซึ่งเป็นที่เข้าใจร่วมกันว่าการลดความเร็วลงจะไม่มีความแตกต่างของมูลค่าการลงทุน รวมทั้งการลดจำนวนสถานี ทั้งนี้ ในการจัดทำรายงานการศึกษาความเหมาะสมได้คำนึงถึงการประหยัดค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด โดยคำนึงถึงต้นทุนตลอดอายุโครงการ (Life Cycle Cost) ทั้งนี้ ทางญี่ปุ่นรับไปศึกษาเพิ่มเติม
กระทรวงคมนาคมจึงขอเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน และมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนารระบบรถไฟความเร็วสูงให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่กระจายความเจริญไปสู่เมืองต่างๆ ในภูมิภาค และให้เกิดความสะดวกสบาย ความรวดเร็ว และปลอดภัยในการเดินทางของพี่น้องประชาชนและเปิดเส้นทางท่องเที่ยวในภูมิภาค
จากการให้สัมภาษณ์ของ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 7 ก.พ. ภายหลังประชุมร่วมกับ นายโนริโยชิ ยะมะงะมิ รองผู้อำนวยการสำนักการขนส่งทางราง กระทรวงที่ดินโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม และการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น (MLIT) ภายใต้บันทึกความร่วมมือด้านระบบรางระหว่างไทย-ญี่ปุ่น โดยกรุงเทพฯ-พิษณุโลก ระยะทาง 380 กิโลเมตร มูลค่าลงทุน 276,225 ล้านบาท โดยญี่ปุ่นได้รายงานข้อมูลเพิ่มเติมใน 3 ประเด็น คือ มูลค่าของโครงการ การพัฒนาพื้นที่ การพัฒนาการขนส่งสินค้า การเชื่อมโยงการเดินทางและการขนส่งสินค้าภายในประเทศ และการเชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาค โดยมีเป้าหมายจะนำเสนอผลการศึกษาความเป็นไปได้ต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเดือน มี.ค.นี้
สำหรับประเด็นต้นทุนโครงการนั้น สรุปว่าจะไม่มีการตัดสถานีออก เพราะพบว่าแม้ทำให้ต้นทุนลด แต่เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนผู้โดยสารที่หายไปไม่คุ้มค่า รวมถึงความเร็วนั้น ยืนยันที่ 300 กม./ชม.ตามมาตรฐานของรถชินคันเซ็น และพบว่าเป็นความเร็วที่เหมาะสมแล้ว
รายงานข่าวแจ้งว่า ในส่วนการลงทุนนั้น ไทยเสนอให้ญี่ปุ่นร่วมลงทุนในโครงการเพื่อลดการลงทุนภาครัฐลง ขณะที่ญี่ปุ่นต้องการให้ไทยลงทุนโครงการ 100% เช่นเดียวกับที่ดำเนินการในความร่วมมือรถไฟไทย-จีน โดยญี่ปุ่นพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในเรื่องเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และยังไม่ได้มีการยกเลิกความร่วมมือใดๆ
Last edited by Wisarut on 13/02/2018 10:43 am; edited 1 time in total |
|
Back to top |
|
|
|