Ads Service

Main Menu

 
icon_home.gif Homepage
icon_community.gif Members Zone
· ข้อมูลส่วนตัว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ข่าวสารส่วนตัว
· บริการเว็บเมล์
· กระดานข่าว
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก กระดานฝากข้อความ
· รถไฟไทยแกลลอรี่
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก รายนามสมาชิก
· แบบสำรวจ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก สมุดเยี่ยม
· เกี่ยวกับสมาชิก
favoritos.gif News & Stories
· เรื่องทั้งหมด
· เนื้อหาสาระ
· เรื่องสำหรับพิมพ์
· ยอดฮิตติดอันดับ
· ค้นหาข่าวสาร
· ค้นหากระทู้เก่า
nuke.gif Contents
· กำหนดเวลาเดินรถ
· ประเภทขบวนรถโดยสาร
· ข้อมูลเส้นทางรถไฟ
· แผนที่เส้นทางรถไฟ
· อัตราค่าโดยสาร
· คำนวณค่าโดยสารรถไฟ
· รูปแบบการให้บริการรถไฟ
· หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
· ทริปท่องเที่ยวโดยรถไฟ
· ระบบติดตามขบวนรถ
som_downloads.gif Services
· Downloads
· GoogleSearch
· Hotels Booking
· FlashGames
· Wallpaper 1
· Wallpaper 2
· Wallpaper 3
· Wallpaper 4
icon_members.gif Information
· เกี่ยวกับเรา
· นโยบายความเป็นส่วนตัว
· แผนผังเว็บไซต์ฯ
ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก ส่งข้อแนะนำติชม
· ติดต่อลงโฆษณา
· แนะนำและบอกต่อ
· สถิติทั้งหมด
· สำหรับผู้ดูแลระบบ
 

Sponsors

 

Rotfaithai Gallery in Facebook

 

Visitors

 


มีผู้เข้าเยี่ยมชม
สมาชิก:311330
ทั่วไป:13291752
ทั้งหมด:13603082
คน ตั้งแต่
01-08-2004
 


Rotfaithai.Com :: View topic - แผนปฏิบัติการด้านคมนาคม พ.ศ.2566-2570
 Forum FAQForum FAQ   SearchSearch   UsergroupsUsergroups   ProfileProfile   Log in to check your private messagesLog in to check your private messages   Log inLog in 

แผนปฏิบัติการด้านคมนาคม พ.ศ.2566-2570
Goto page Previous  1, 2, 3 ... 9, 10, 11
 
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรถไฟไทย
View previous topic :: View next topic  
Author Message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 44905
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 16/02/2024 4:07 pm    Post subject: Reply with quote

เปิดมาตรการ ‘คมนาคม’ เร่งลดฝุ่นละออง PM2.5
Source - กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
Friday, February 16, 2024 12:57

“คมนาคม” เปิดมาตรการลดมลพิษฝุ่นละออง PM 2.5 รับต้นตอมาจากภาคการขนส่งถึง 61% พร้อมจี้ รฟม.คุมเข้มงานก่อสร้างทำความสะอาด - ฉีดพ่นละอองน้ำบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง

นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงฯ ได้กำหนดนโยบายและมาตรการเพื่อป้องกันและลดมลพิษจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จากภาคคมนาคมขนส่ง โดยร่วมกับกรุงเทพมหานครบูรณาการแก้ไขปัญหา และกำหนดมาตรการป้องกัน และลดผลกระทบจากฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล

โดยกระทรวงฯ สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดจัดทำนโยบายเชิงรุกในการป้องกันและลดมลพิษจากฝุ่น PM 2.5 ในระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรม และกำหนดมาตรการแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน เพราะปีนี้มีปัญหาฝุ่น PM 2.5 มากเนื่องจากจะมีภาวะแล้งมากกว่าปกติ ขณะที่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยปัญหาฝุ่น PM 2.5 มาจากภาคการขนส่งถึง 61% และจากภาคอุตสาหกรรมและการก่อสร้างอีก 39% ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การกำกับกระทรวงคมนาคม

## นโยบายและมาตรการที่กำหนดใช้ในขณะนี้ ประกอบด้วย

### กรมการขนส่งทางบก (ขบ.)

ดำเนินการตรวจควันดำและฝุ่น PM 2.5 เชิงรุก โดยจัดเจ้าหน้าที่ชุดตรวจการขนส่งทางบกเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่ตรวจสอบค่า PM 2.5 ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่มีค่า PM 2.5 เกินมาตรฐาน และชุดเฉพาะกิจเข้าให้คำแนะนำเพื่อป้องกันการปล่อยควันดำของรถโดยสารไม่ประจำทาง ณ สถานประกอบการ โดย ขบ.จะบูรณาการร่วมกับ กทม.จัดชุดเฉพาะกิจลงพื้นที่ออกตรวจสอบค่าฝุ่น PM 2.5 ณ สถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ 233 แห่ง และสถานประกอบการ ได้แก่ แพลนต์ปูน บริเวณไซต์งานก่อสร้าง โรงงานอุตสาหกรรมในเขตกรุงเทพฯ

นอกจากนี้ ขบ.ได้จัดเจ้าหน้าที่กองตรวจการลงพื้นที่ตรวจสอบรถโดยสารประจำทางหมวด 1 ณ อู่รถเมล์ ขสมก.ทั้ง 8 เขตการเดินรถ 21 แห่ง รวมถึงรถโดยสารประจำทาง ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร เอกมัย สายใต้) อีกทั้งขบ.ได้สนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าผ่านมาตรการทางภาษีประจำปี รวมทั้งดำเนินแผนพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้ครอบคลุมการเดินทางของประชาชนเพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลต่อไป

### กรมการขนส่งทางราง (ขร.)

สนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้บริการรถไฟฟ้ามากขึ้น ผ่านนโยบายอัตราค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย สำหรับรถไฟฟ้าสายสีแดงและสีม่วง พร้อมผลักดันระบบขนส่งทางรางเปลี่ยนมาใช้รถไฟ EV on Train มาให้บริการประชาชนเพื่อลดมลภาวะทางอากาศ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายขับเคลื่อนการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะด้วยการนำเทคโนโลยียานยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) แทนที่ยานยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของกระทรวงคมนาคม

### การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.)

ในบริเวณโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ประกอบด้วย 1. ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ 2. ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ 3. ช่วงนครปฐม-ชุมพร 4. ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และ 5. ช่วงบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด ให้ดำเนินมาตรการจำกัดพื้นที่การทิ้งและห้ามเผาขยะซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดฝุ่น PM 2.5 และติดรั้วป้องกันฝุ่นละอองโดยได้เพิ่มปริมาณการฉีดน้ำทำความสะอาดในพื้นที่ก่อสร้าง กำชับให้มีการตรวจสอบสภาพเครื่องจักรให้พร้อมใช้งาน จัดชุดทำความสะอาดล้อรถก่อนขึ้นถนนสาธารณะ

ทั้งนี้ ร.ฟ.ท.ได้ดำเนินแผนการใช้เชื้อเพลิงไบโอดีเซลซึ่งถือเป็นพลังงานทางเลือก ช่วยลดมลพิษทางอากาศ และดำเนินโครงการจัดหารถจักรรุ่นใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมปรับปรุงพื้นที่โรงซ่อมบำรุงให้สอดคล้องกับกฎหมายเรื่องสิ่งแวดล้อม

### การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)

ดำเนินมาตรการลดฝุ่นที่เกิดจากการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า โดยได้กำชับและสั่งการให้ผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้างทุกโครงการ ต้องติดตั้งรั้วสูง 2 เมตร ล้อมรอบพื้นที่ก่อสร้างและปิดคลุมกองวัสดุก่อสร้าง/กระบะรถบรรทุกเพื่อป้องกันฝุ่นละออง พร้อมทั้งทำความสะอาดถนนสาธารณะโดยใช้รถกวาดดูดฝุ่นและการฉีดพ่นละอองน้ำบริเวณพื้นที่ก่อสร้างในช่วงที่มีค่า PM 2.5 สูง และตรวจสอบสภาพเครื่องจักรที่ใช้ในการก่อสร้างให้อยู่ในสภาพดีไม่ให้มีควันดำหรือควันขาว

### บริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.)

ดำเนินมาตรการด้านรถโดยสาร 3 ด้าน ดังนี้ 1. การบริหารจัดการเกี่ยวกับรถโดยสาร โดยจัดให้มีการตรวจวัดควันดำรถโดยสารก่อนนำรถออกให้บริการประชาชน 2. การปรับลดเส้นทางเดินรถ และควบรวมเที่ยววิ่งรถโดยสาร เพื่อปรับลดจำนวนเส้นทางเดินรถโดยสารและเที่ยววิ่งรถ และ 3. จัดหารถโดยสาร EV ทดแทนรถโดยสารที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงสนับสนุนให้ผู้ประกอบการนำรถ EV BUS เข้าวิ่งในระบบมากขึ้น ในส่วนการบริหารสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร เอกมัย สายใต้) ดำเนินการทำความสะอาดโดยรอบอาคารผู้โดยสารเพื่อลดฝุ่นละอองและประชาสัมพันธ์เมื่อรถเข้าใช้ชานชาลาให้ดับเครื่องยนต์และสตาร์ทเครื่องยนต์ก่อนออกเดินรถ อีกทั้ง การดำเนินการดังกล่าวยังเป็นการบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ของกระทรวงคมนาคม เพื่อร่วมมือกันป้องกันและลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เช่น

### กรมทางหลวง (ทล.)

ดำเนินการจำกัดพื้นที่หน้างานก่อสร้างและบำรุงทางที่ก่อให้เกิดฝุ่นละอองน้อยที่สุด กำชับเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสภาพเครื่องจักรก่อสร้างให้อยู่ในสภาพดี รวมทั้งงดใช้น้ำมันเครื่องที่ใช้แล้วกับเครื่องจักรจัดการขยะอย่างเหมาะสมและห้ามเผาขยะโดยเด็ดขาด โดย ทล.จะร่วมสร้างเครือข่ายผู้ประสานงาน PM 2.5 ภายใต้ชื่อกลุ่ม “PM 2.5 DOH” เพื่อรายงานผลการดำเนินงานแบบรายวันในการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองของหน่วยงาน ทล.ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค อีกทั้งจัดชุดเคลื่อนที่เร็วพร้อมอุปกรณ์เครื่องมือในการป้องกันและควบคุมไฟป่า โดยใช้รถบรรทุกฉีดน้ำเพื่อเข้าระงับเหตุกรณีเกิดไฟป่าหรือไฟไหม้สองข้างทางหลวง

### การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.)

ดำเนินมาตรการลดปัญหาสภาพการจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ และติดตั้งเครื่องพ่นละอองน้ำแรงดันสูงที่ควบคุมการทำงานโดยการวัดคุณภาพอากาศ บริเวณด่านเก็บค่าผ่านทางของทางพิเศษเฉลิมมหานครและทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) โดยเครื่องพ่นละอองน้ำแรงดันสูงจะทำงานอัตโนมัติ เมื่อตรวจพบค่า PM 2.5 เกิน 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) ทั้งนี้ อยู่ระหว่างติดตั้งเครื่องพ่นละอองน้ำแรงดันสูงแบบควบคุม ณ ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ 28 แห่ง

### องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)

เข้มงวดในการตรวจวัดค่าควันดำรถโดยสารทุกคันทุกวัน หากมีค่าควันดำเกินมาตรฐานจะนำรถส่งเข้าซ่อมบำรุงโดยทันที และดำเนินการตรวจเช็กรถโดยสารให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน เช่น เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง หัวฉีด ไส้กรองไอเสีย ไส้กรองอากาศ ท่อพักไอเสีย ล้างทำความสะอาดท่อไอเสียของรถโดยสาร รวมทั้งทำความสะอาดอู่จอดรถและรถโดยสารเพื่อชะล้างฝุ่นละออง
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 44905
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 01/03/2024 7:40 am    Post subject: Reply with quote

ม.ศรีปทุม ขานรับรัฐบาลเร่งผลิต กำลังคนป้อนภาคอุตสาหกรรม
Source - สยามรัฐ
Friday, March 01, 2024 04:28

ม.ศรีปทุม เผยประเทศไทยกำลังขาดกำลังคนสมรรถนะสูง 4 สาขาอาชีพ ได้แก่วิศวกรระบบราง โลจิสติกส์ซัพพลายเชน การบินและคมนาคม การท่องเที่ยวและบริการ หลังรัฐบาลเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจกต์ เชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์ทั้งทางบก ราง น้ำ และอากาศของประเทศ รับเทรนด์เชื่อมระบบคมนาคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในอนาคตอันใกล้ จะมีความต้องการกำลังคนสมรรถนะสูงสนับสนุนเมกะโปรเจกต์กว่า 200,000 อัตราดัน 4 สาขาอาชีพ ได้แก่ วิศวกรรมศาสตร์ระบบราง โลจิสติกส์และซัพพลายเชน การบินและคมนาคม การท่องเที่ยวและบริการ เร่งปั้นบัณฑิตป้อนตลาดแรงงาน เป็นสายงานที่ไม่มีโอกาสตกงาน รับค่าตัวสูง หลังจบการศึกษามีบริษัทรอรับเข้าทำงานทันที หรือเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจ และอาชีพอิสระที่หลากหลาย

ดร.รัชนีพร พุคยาภรณ์ พุกกะมานอธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีปทุม เปิดเผยว่า จากการมุ่งหน้าขับเคลื่อนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) ของรัฐบาลซึ่งครอบคลุม ทางบก ราง น้ำ อากาศ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศรวมถึงการเชื่อมโยงออกไปยังภูมิภาคตะวันออกและตะวันตก ส่งผลให้ประเทศไทยมีความต้องการกำลังคนด้านนี้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะด้านวิศวกรรมระบบราง ขนส่งและโลจิสติกส์ และการบิน เพิ่มสูงขึ้นราว 200,000 อัตราในอนาคตอันใกล้ จึงถือเป็นความสำคัญเร่งด่วนที่จะต้องเร่งผลิตออกสู่ตลาด ซึ่งบัณฑิตที่จบการศึกษาในสาขาที่เกี่ยวข้องมีโอกาสได้งานและได้รับค่าตอบแทนสูง โดยการผลิตกำลังคนสมรรถสูง หรือแรงงานทักษะสูง ให้ทันและเพียงพอต่อความต้องการของตลาด จะเป็นการเพิ่มประชากรรายได้สูงในประเทศ ส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจและสังคม

ผศ.ดร.ชลธิศเอี่ยมวรวุฒิกุล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันสายงานระบบรางมีความต้องการแรงงานมากขึ้นเนื่องจากในช่วง 10 ปี การเดินทางได้พัฒนาเปลี่ยนผ่านจากรถไฟระบบเดิมเป็นระบบใหม่ รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูงและรถไฟฟ้า สายงานในระบบราง มีความต้องการบุคลากรมากกว่า 20,000 อัตรา ในตำแหน่งงานเกี่ยวกับระบบปฏิบัติการทำงานด้านระบบราง การก่อสร้าง ติดตั้งระบบราง อาณัติสัญญาณ สถานีการควบคุมรถ บริการสถานี ซ่อมบำรุง และงานที่ใช้หลักการจัดการวิศวกรรม แม้เทคโนโลยีระบบรางมาแรง แต่เป็นสาขาใหม่สำหรับสถาบันการศึกษาของประเทศ ยังไม่มีมหาวิทยาลัยในประเทศ ที่ครอบคลุมเทคโนโลยีการเรียนการสอนครบทุกด้าน คณะวิศวกรรมศาสตร์ม.ศรีปทุม จึงออกแบบการเรียนการสอน เชื่อมโยงเครือข่ายภาครัฐ เอกชน และสถาบันต่างประเทศเกี่ยวข้อง ให้นักศึกษาได้ออกไปเรียนรู้ประสบการณ์จริงในสนามจริง อาทิ การไปเรียนรู้ปฏิบัติงาน กับเอกชนผู้ให้บริการรถไฟฟ้า BTS MRT และ Airport rail link กับบริษัทเอกชนผู้รับเหมาระบบราง และส่งนักศึกษาไปเรียนเพิ่มเติมกับเจ้าของเทคโนโลยีที่สถาบันระบบรางขนาดใหญ่ ณ เมืองหูหนาน ประเทศจีนเพื่อเก็บประสบการณ์จริงจากเจ้าของเทคโนโลยีโดยปัจจุบันทางคณะได้มีเปิดสอนสาขาระบบรางโดยตรง และยังเปิดเป็นวิชาเลือกให้นักศึกษาที่เรียน ในสาขาวิศวกรรม เครื่องกล ไฟฟ้าโยธา ได้เสริมวิชาชีพด้านระบบราง สำหรับนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.ศรีปทุม ไม่จำเป็นต้องจบสายวิทย์-คณิต ด้วยมหาวิทยาลัยมองว่าการเรียนรู้ไม่ควรจำกัดสาขา ทุกคนสามารถเรียนรู้ข้ามศาสตร์ได้

ผศ.ดร.ธรินีมณีศรีคณบดีวิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน เปิดเผยว่า วิทยาลัยได้เตรียมพัฒนากำลังคนให้สอดคล้องกับMega Project ของภาครัฐมาอย่างต่อเนื่องซึ่งธุรกิจโลจิสติกส์มีแนวโน้มเติบโต 200 เท่าส่งผลให้บุคลากรในสายอาชีพนี้มีค่าตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะการเปิดหลักสูตร "นักจัดการโลจิสติกส์มืออาชีพด้านสินค้าเกษตรและอาหารที่ต้องควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain)" ให้มีทักษะด้านการจัดการโลจิสติกส์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อลดความสูญเสียของอาหาร (Food Loss) และลดขยะอาหาร (Food Wast) ที่เกิดจากการเก็บรักษา การขนส่งและการกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ และเมื่อประเทศไทยเป็น "Aviation Hub" ความต้องการกำลังคนด้าน Cold Chain จะเพิ่มมากขึ้น เพราะเกิดการขนส่งสินค้าประเภทอาหารและสินค้าเกษตรจำนวนมหาศาลออกไปยังประเทศ ปัจจุบันมหาวิทยาลัย เปิดสอน ตั้งแต่ระดับ ปริญญาตรี โท และเอก ในสาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานมีการบูรณาการข้ามศาสตร์ร่วมกับคณะบริหารธุรกิจ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาลัยการท่องเที่ยวและบริการ

พลอากาศเอกพิธพร กลิ่นเฟื่อง คณบดีวิทยาลัยการบินและคมนาคม เปิดเผยว่าบุคลากรในสายวิชาชีพการบินเป็นที่ต้องการของตลาดกำลังคนสมรรถสูง อย่างมากทั้งในปัจจุบันและอนาคตด้วยปัจจัยเร่ง 2 ประการ ได้แก่1.เกิดความต้องการกำลังคนเร่งด่วนหลังจากลดช่วงโควิด การโดยสารและขนส่งเครื่องบินกับมาเดินเครื่องปกติทุกสายการบินมีแผนเพิ่มเที่ยวบิน โดยสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย อนุมัติให้ 8 สายการบินเพิ่มเที่ยวบิน60 ลำตลอดปี 2567 2.รัฐบาลเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจกต์ โดยเฉพาะแผนผลักดันเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทางวิทยาลัยฯ ได้เตรียมความพร้อมสร้างกำลังคนใน 6 สาขาอาชีพ คือ 1.การจัดการความปลอดภัยการคมนาคม 2.การจัดการสนามบินและสินค้าทางอากาศ 3.นักบินพาณิชย์จบภายใน 4 ปี ได้รับใบรับรองและใบอนุญาตนักบินจากสำนักงานการบินพลเรือน เป็นนักบินได้ทันที 4.พนักงานอำนวยการเครื่องบิน วางแผนเส้นทางบิน (Fight Planning) 5.ผู้ควบคุมจราจรทางอากาศ โดยทุกหลักสูตรการเรียน 4 ปี พร้อมทำงานทันที ซึ่งปัจจุบันทุกสาขาบัณฑิตที่จบได้งานทำทันทีที่จบ

ผศ.ดร.อนุพงศ์ อวิรุทธา คณบดีวิทยาลัยการท่องเที่ยวและการบริการ กล่าวว่า หลังจากสถานการณ์ Covid-19 คลี่คลายลงหลายประเทศได้ตระเตรียมมาตรการและการกระตุ้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างงานใหม่ในอุตสาหกรรม ทั้งนี้เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการต่างๆ วิทยาลัยการท่องเที่ยวและการบริการ ได้พัฒนาหลักสูตรเสริมสร้างและพัฒนาให้นักศึกษามีความรอบรู้ทางด้านในอุตสาหกรรม โดยเชื่อมโยงการผลิตบัณฑิตร่วมกับภาคอุตสาหกรรมทั้งสายการบิน โรงแรม และเรือสำราญ ให้นักศึกษาได้เรียนกับตัวจริงและฝึกงานผ่านประสบการณ์จริงทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้นักศึกษามีความพร้อมในการทำงานและได้ทำงานทันทีที่เรียนจบ ด้วยค่าตอบแทนแรกเริ่มในอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไป นอกจากนี้ยังได้เปิดหลักสูตรระยะสั้นที่ช่วยเพิ่มและพัฒนาทักษะที่สำคัญอื่นๆ แก่ศิษย์เก่า และบุคลากรที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ เพื่อเป็นการพัฒนาบุคลากรให้กับประเทศและตอกย้ำความเป็นผู้นำในการผลิตบุคลากรทางด้านการท่องเที่ยวและการบริการ

ที่มา: นสพ.สยามรัฐ ฉบับวันที่ 1 มี.ค. 2567

4 อาชีพมาแรง ! ตอบโจทย์เมกะโปรเจกต์รัฐบาลจบแล้วมีงานทำแน่นอน
วันพฤหัสบดี ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567, 19.10 น.
https://www.banmuang.co.th/news/education/370923
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 44905
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 02/03/2024 7:05 am    Post subject: Reply with quote

ลงทุนอีสาน7.6แสนล้าน อานิสงส์รถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว
แนวหน้า วันเสาร์ ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2567, 06.00 น.

ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า ปัจจุบันรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ได้ให้บริการขนส่งทั้งผู้โดยสารและสินค้าเต็มรูปแบบในเส้นทางคุนหมิง-เวียงจันทน์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะส่งผลบวกโดยตรงต่อการค้าการลงทุนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ที่เป็นพื้นที่เชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูงเส้นทางดังกล่าว ขณะที่ภาครัฐของไทยได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับเศรษฐกิจในภูมิภาคที่คาดว่าจะคึกคักมากขึ้นในอนาคต

“เม็ดเงินลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของภาคตะวันออกเฉียงเหนือในอีก 5 ปีข้างหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ราว 7.6 แสนล้านบาท เป็นอย่างน้อย โดยแบ่งเป็น 1.เม็ดเงินจากการลงทุนของภาครัฐ 6.4 แสนล้านบาท ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนาดใหญ่ เช่น รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ และสนามบิน รวมถึงการลงทุนในการส่งเสริมการท่องเที่ยว การค้าชายแดน เมืองอัจฉริยะ นิคมอุตสาหกรรมและเขตเศรษฐกิจพิเศษ และ 2.เม็ดเงินจากการลงทุนของภาคเอกชนที่คาดว่าจะตามมาอีกอย่างน้อยราว1.2 แสนล้านบาท ซึ่งการลงทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชนเหล่านี้จะสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการทั้งในและนอกภูมิภาคตามมาอีกด้วย”

ดร.สุปรีย์ ศรีสำราญ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัย Krung thai COMPASS กล่าวว่า จากการศึกษาและประเมินจังหวัดที่มีศักยภาพของภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด 20 จังหวัด พบว่า กลุ่มจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 6 จังหวัด ได้แก่ อุดรธานี มุกดาหาร ขอนแก่น หนองคาย นครพนม และบึงกาฬ เป็นกลุ่มจังหวัดที่มีศักยภาพในการเติบโตจากการลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคและการค้าการลงทุนที่ขยายตัวมากขึ้นในระยะถัดไป

5 ธุรกิจเด่นที่เป็นโอกาสในแต่ละจังหวัดเหล่านี้ ได้แก่ 1.ก่อสร้าง 2.โลจิสติกส์ (Logistics) 3.ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ (Auto Dealer) 4.น้ำมันและก๊าซ (Oil & Gas) และ 5.โรงพยาบาลและการดูแลสุขภาพ (Healthcare) โดยธุรกิจเหล่านี้จะได้รับแรงขับเคลื่อนการพัฒนา 3 ด้านหลักที่จะเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า ได้แก่ 1.ด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมที่กำลังก่อสร้างในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ได้แก่ รถไฟทางคู่เส้นทางบ้านไผ่-นครพนม และเส้นทางขอนแก่น-หนองคาย รถไฟความเร็วสูงเส้นทางนครราชสีมา-หนองคายสนามบินมุกดาหาร 2.ด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์โดยเฉพาะในขอนแก่น ซึ่งมีสถานพยาบาลที่มีคุณภาพการให้บริการระดับสากล รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงศรัทธา โดยเฉพาะในอุดรธานีและบึงกาฬ และ 3.ด้านการลงทุน ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี เขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนม เมืองอัจฉริยะขอนแก่น

ผู้ประกอบการควรเตรียมความพร้อมด้านการให้บริการและบุคลากร รวมทั้งควรเตรียมความพร้อมในมิติที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมด้วยยกตัวอย่าง เช่น การลดฝุ่น PM2.5การศึกษาแนวทางโลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) เช่น การใช้รถบรรทุกไฟฟ้า การดักจับก๊าซเรือนกระจก และการใช้พลังงานไฟฟ้าทดแทนจากโซลาร์ เป็นต้น ซึ่งการเตรียมความพร้อมเหล่านี้จะทำให้เกิดการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนในอนาคต ขณะที่ภาครัฐควรเร่งขับเคลื่อนแผนการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เชื่อมโยงกับรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว รวมทั้งส่งเสริมการลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (Northeastern Economic Corridor: NeEC) ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการค้าการลงทุนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากขึ้น
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 42796
Location: NECTEC

PostPosted: 05/04/2024 7:48 pm    Post subject: Reply with quote

“สุริยะ” ดัน พ.ร.บ.ขนส่งทางรางฯ ชง ครม. คาดบังคับใช้ปี 68 พร้อมเร่งโปรเจกต์ "ทางคู่ ไฮสปีด ถนนภูเก็ต"
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เผยแพร่: 3 เม.ย. 2567 00:36
ปรับปรุง: 3 เม.ย. 2567 08:10



“คมนาคม” เร่งโปรเจกต์คมนาคม ดัน พ.ร.บ.ขนส่งทางรางฯ เข้า ครม.ลุยเพิ่มฟีดเดอร์เชื่อมรถไฟฟ้า ทล.ตั้งงบปี 68 ประมาณ 80 ล้านบาทออกแบบก่อสร้างสะพานสารสินแห่งใหม่ ทบทวนแผนแม่บท "สุวรรณภูมิ" รับ 80 ล้านคนใน 3 ปี รื้อ slot การบินดัน Aviation Hub

วันที่ 2 เม.ย. 2567 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามผลการดำเนินโครงการสำคัญตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ครั้งที่ 1/2567 เพื่อให้ทุกหน่วยงานร่วมกันขับเคลื่อนและติดตามผลการดำเนินงานให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีผู้บริหารกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานในสังกัดเข้าร่วมประชุม

นายสุริยะกล่าวว่า จากที่ได้ดำเนินนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย (รถไฟชานเมืองสายสีแดง และรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง) เพื่อลดภาระค่าครองชีพประชาชน พบว่ามีปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 26.99% ปัจจุบันมีรถโดยสารประจำทางเชื่อมต่อรถไฟชานเมืองสายสีแดง โดยปรับปรุงเส้นทางรถโดยสารประจำทางหมวด 1 ในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดที่มีเส้นทางต่อเนื่องให้เชื่อมต่อกับสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ 15 เส้นทาง เป็นรถโดยสาร ขสมก. 8 เส้นทาง รถบริษัทไทยสมายล์บัสและบริษัทในเครือ 7 เส้นทาง

นอกจากนี้ สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) อยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการจัดเส้นทาง Feeder เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย โดยจะผลักดันดำเนินการระยะเร่งด่วน 30 เส้นทางภายในปี 2567 เพื่อรองรับการให้บริการรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดง ส่วนระยะกลางภายในปี 2568-2569 จะผลักดันอีก 15 เส้นทางรองรับการเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สายสีเขียว สายสีชมพู และสายสีส้ม และอีก 66 เส้นทางจะดำเนินการในระยะถัดไปตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป

@ดัน พ.ร.บ.ขนส่งทางรางฯ เข้า ครม.

ทั้งนี้ กรณีรถไฟฟ้าสายต่างๆ มีปัญหา แต่ภาครัฐยังไม่มีเครื่องมือในการกำกับดูแลบังคับได้อย่างเต็มที่ จึงเร่งรัดผลักดันร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การขนส่งทางราง พ.ศ....เพื่อเป็นเครื่องมือในการกำกับควบคุมโครงการได้เข้มข้นขึ้น เป็นกฎหมายที่จะช่วยคุ้มครองผู้โดยสารและผู้ใช้บริการระบบขนส่งทางราง รวมทั้งมีบทกำหนดโทษผู้ที่กระทำการใดๆ ที่ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขใดๆ ตามที่กฎหมายนี้กำหนด เช่น กรณีเกิดอุบัติเหตุระบบรางจะมีบทลงโทษและบทบัญญัติที่เข้มข้นขึ้น

ซึ่งให้กรมการขนส่งทางราง (ขร.) นำเสนอร่าง พ.ร.บ.ขนส่งทางรางมาที่กระทรวงคมนาคมในวันที่ 3 เม.ย. 2567 เนื่องจากตนได้ตรวจสอบข้อมูลภายในร่างพ.ร.บ.ขนส่งทางรางฯ เห็นว่ามีความครบถ้วน และได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นมาแล้ว โดยมี 11 หมวด 145 มาตรา จะเร่งเสนอ ครม.อนุมัติหลักการ และคาดว่าปลายปี 2567 จะเสนอรัฐสภา 3 วาระ และบังคับใช้ในปี 2568

ส่วน (ร่าง) พ.ร.บ. ตั๋วร่วม พ.ศ. .... ขณะนี้คณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วมเห็นชอบในหลักการแล้ว อยู่ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม (คนต.) พิจารณา จากนั้นจะนำเรื่องเข้า ครม.พิจารณาอนุมัติต่อไป คาดว่ามีผลบังคับใช้ได้ภายในปี 2568



@รถไฟทางคู่สายใต้เปิดวิ่งตลอดสาย ส.ค. 67

นอกจากนี้ ยังได้ติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างรถไฟทางคู่ สายใต้ ช่วงนครปฐม-หัวหิน และช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ซึ่งสัญญาที่ 1 ช่วงนครปฐม-หนองปลาไหล มีผลงาน 98.05% สัญญาที่ 2 ช่วงหนองปลาไหล-หัวหิน มีผลงาน 99.12% สัญญาที่ 3 ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ เสร็จแล้ว 100% อยู่ระหว่างส่งมอบงานตามสัญญา สัญญาที่ 4 ประจวบคีรีขันธ์-บางสะพานน้อย มีผลงาน 95.46% สัญญาที่ 5 ช่วงบางสะพานน้อย-ชุมพร มีผลงาน 99.08% และสัญญาที่ 6 การจัดหาและติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม มีผลงานสะสม 57.76% คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการทั้งเส้นทางได้ในเดือนสิงหาคม 2567

โครงการรถไฟความเร็วสูงฯ กรุงเทพฯ-นครราชสีมา งานโยธา ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา มีผลงานสะสม 31.92% ข้อมูล ณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ประชุมได้มอบหมายให้ รฟท. เร่งรัดการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนงาน ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้การก่อสร้างล่าช้า ให้หลีกเลี่ยงการต่อขยายสัญญาออกไปอีก เว้นแต่เป็นกรณีเหตุสุดวิสัยตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพราะล่าสุดพบว่ามีการขยายเวลาสัญญา 3-2 งานอุโมงค์ (มวกเหล็ก และลำตะคอง) ออกไปอีกกว่า 400 วัน เนื่องจากการส่งมอบพื้นที่ล่าช้า ทำให้ขยายเวลาไปสิ้นสุดที่เดือน มิ.ย. 2568 จึงไม่อยากให้ล่าช้าไปมากกว่านี้ จึงได้มอบให้กรมการขนส่งทางราง (ขร.) ช่วยกำกับดูแลการก่อสร้างของ รฟท.ให้เป็นไปตามแผนงาน ตลอดจนเป็นหน่วยงานหลักในการผลักดันการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้อง

@เร่งคลอด TOR สร้างถนนภูเก็ต 3 โครงการเสร็จในปี 69

นอกจากนี้ ได้เร่งรัดการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตของ ทล. ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างขยายช่องจราจร ทล.4027 ช่วงบ้านพารา-บ้านเมืองใหม่ โครงการก่อสร้างทางแยกต่างระดับที่จุดตัด ทล.402 กับ ทล.4027 และ ทล.4025 (ทางลอดท่าเรือ) โครงการก่อสร้างทางแนวใหม่ ช่วงบ้านเมืองใหม่-สามแยกเข้าสนามบินภูเก็ต (ทางเลี่ยงเมือง) โดยทั้ง 3 โครงการจะแล้วเสร็จภายในปี 2569

สำหรับการดำเนินโครงการก่อสร้างทางแยกต่างระดับที่จุดตัด ทล.402 กับ ทล.4027 และ ทล.4025 (ทางลอดท่าเรือ) ที่ กม. 34+680 (ทล.402) มีความละเอียดอ่อน ทั้งในมิติของการอัญเชิญอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร และการรื้อย้ายสาธารณูปโภค ตลอดจนการบริหารจัดการการจราจรในปัจจุบัน และระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งให้ ทล.ประสานกับผู้ว่าราชการ จ.ภูเก็ตและกรมศิลปากร วางแผนขั้นตอนย้ายอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทรให้ชัดเจน และย้ายกลับมาเมื่อก่อสร้างถนนแล้วเสร็จ

และให้ ทล.นำข้อกำหนดต่างๆ ใส่ไว้ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดทำ TOR ด้วย นอกจากนี้ ได้มอบหมาย ทล.กำหนดคุณสมบัติผู้รับจ้างเป็นลำดับชั้นพิเศษ เพื่อให้ได้ผู้รับจ้างที่มีมาตรฐาน/เทคโนโลยีสูงสุด และกำหนดบทปรับสูงสุด เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะได้ผู้รับจ้างที่มีคุณภาพ สำหรับการแก้ไขปัญหาจราจรในปัจจุบัน และการบริหารการจราจร ได้มอบหมายให้หารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ตำรวจ และ สนข.เพื่อหาแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าวต่อไป



@ทล.ตั้งงบปี 68 ประมาณ 80 ล้านบาทออกแบบก่อสร้างสะพานสารสินแห่งใหม่

สำหรับการแก้ไขเรือขนาดใหญ่ไม่สามารถผ่านสะพานสารสินได้นั้นมีโครงการก่อสร้างสะพานสารสินแห่งใหม่ ซึ่ง ทล.เสนอขอจัดสรรงบประมาณเพื่อออกแบบรายละเอียดในปี 2568 วงเงิน 80 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2572 ส่วนกรมเจ้าท่า (จท.) มีแนวทางขุดลอกร่องน้ำให้มีความลึก 4-4.5 เมตร พัฒนาเขื่อนกันทรายและคลื่นร่องน้ำปากพระ-สารสิน จังหวัดภูเก็ต โดยจะใช้งบประมาณศึกษาความเหมาะสมฯ 10 ล้านบาท จากงบประมาณเหลือจ่ายปี 2567 ของ จท.

การอนุญาต Super Yacht เข้าในราชอาณาจักร โดย จท.ได้จัดทำข้อมูลเรื่องการดำเนินการรองรับนักท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตที่เดินทางโดยเรือสำราญ Yacht/Super Yacht รวมทั้งศึกษาความจำเป็นของขั้นตอนแนวทางการปฏิบัติและระยะเวลาการขออนุญาตตามกฎหมาย กรณีการนำเรือ Super Yacht เข้ามาในประเทศไทย เพื่อที่จะอำนวยความสะดวกในขั้นตอนการขออนุญาตให้มีความรวดเร็ว และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประเทศเพิ่มขึ้น

การพัฒนาท่าเรือรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) ตามนโยบายสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวของรัฐบาล จท.ได้วางแผนพัฒนาท่าเรือรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ครอบคลุมเส้นทางเดินเรือฝั่งอ่าวไทยรองรับการเดินเรือในเส้นทางจากท่าเรือต้นทางที่สิงคโปร์และท่าเรือปลายทางที่ฮ่องกง โดยจอดที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี สำหรับฝั่งอันดามันรองรับการเดินเรือในเส้นทางจากท่าเรือต้นทางที่สิงคโปร์ แวะเข้าจอดที่เกาะภูเก็ต และจังหวัดกระบี่

ปัจจุบันโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) ณ ท่าเรือแหลมฉบัง และบริเวณฝั่งอันดามันอยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม ความคุ้มค่า รูปแบบการลงทุนพัฒนารวมถึงวิเคราะห์การดำเนินการตามแนวทาง พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 สำหรับโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือฯ อำเภอเกาะสมุย ศึกษาความเหมาะสมฯ แล้วเสร็จ



@ กพท.พร้อมรับการตรวจของ FAA แก้บกพร่องเลื่อน CAT1

สำหรับความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมผลักดันให้ประเทศไทยกลับเข้าสู่มาตรฐานการบินขององค์การบริหารการบินแห่งสหรัฐอเมริกา (FAA CAT1) เพื่อให้สายการบินของไทยกลับไปให้บริการในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ ซึ่งจะทำให้สายการบินของไทยสามารถให้บริการเข้าสหรัฐอเมริกาได้ โดยปัจจุบันประเทศไทยมีความพร้อมในทุกด้าน ซึ่งสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) จะได้ประสานงาน FAA เพื่อเข้าตรวจภายในปี 2567

@ปรับแผนแม่บทสุวรรณภูมิรับ 80 ล้านคนภายใน 3 ปี

ได้มอบนโยบายแนวทางการดำเนินการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการเพื่อเตรียมประชุมครั้งต่อไป ได้แก่
1. แนวทางการขับเคลื่อนนโยบาย Aviation Hub ของรัฐบาล โดยได้มอบหมายให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) กรมท่าอากาศยาน (ทย.) บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) สำนักงานการบินพลเรือน (กพท.) และสถาบันการบินพลเรือน (สบพ.) บูรณาการแนวทางการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมร่วมกัน โดยในส่วนของ ทอท.นั้นให้เร่งรัดศึกษาทบทวนแผนแม่บทท่าอากาศยานการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสาร 80 ล้านคน/ปี ในระยะสั้นภายใน 1-3 ปีนี้ และรองรับที่ 150 ล้านคนในระยะยาว ตามข้อสั่งการของรัฐบาล

นอกจากนี้ ให้ ทอท.ศึกษาแนวทางการรับโอนบริหารจัดการท่าอากาศยานในภาพรวมของ ทย.เพื่อลดปัญหาการลงทุนภาครัฐ การขาดทุนของท่าอากาศยาน และการบริหารจัดการสายการบิน รวมถึงจัดทำ Action Plan การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และท่าอากาศยานอีก 4 แห่ง และที่จะสร้างใหม่อีก 2 แห่ง คือ ท่าอากาศยานล้านนาและอันดามัน ให้เป็นรูปธรรม จัดทำ Action Plan การบริการภาคพื้นและภายในอาคารผู้โดยสาร

@ สั่งรื้อ slot การบิน ดึงแอร์ไลน์ใช้บริการเพิ่ม

ส่วน กพท. ให้ร่วมกันกับผู้บริหารท่าอากาศยาน และสายการบิน รื้อและปรับเปลี่ยน slot การบินเพื่อให้เกิดประโยชน์ และเหมาะสมกับประเทศไทยมากที่สุด เพื่อจะดึงสายการบินมาใช้ท่าอากาศยานของประเทศไทย โดยเฉพาะท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในการเป็น Transit Hub รวมถึงปรับปรุงกฎระเบียบในการให้บริการ จดทะเบียน และอำนวยความสะดวกในการใช้อากาศยานส่วนบุคคล เพื่อให้ประเทศไทยเป็น Hub ของ Private jet อย่างเป็นรูปธรรมและบริการเต็มรูปแบบในภูมิภาค

นอกจากนี้ ให้เตรียมระเบียบและกฎหมาย รองรับอากาศยานไร้คนขับ ที่สะดวกและมีมาตรฐานเพื่อควบคุมการใช้ให้ปลอดภัยทั้งต่อประชาชนและท่าอากาศยาน และ ศึกษาและวางแผนการใช้ Sustainable Aviation Fuel (SAF) เชื้อเพลิงอากาศยานอย่างยั่งยืน (SAF) ในการจัดทำข้อกำหนดการผสมเชื้อเพลิง SAF สำหรับอากาศยานระหว่างประเทศที่มีการเติมในประเทศไทย โดยคำนึงถึงข้อกำหนดของ ICAO EU และสิงคโปร์ เพื่อให้ประเทศไทยมีการพัฒนาด้าน SAF
Back to top
View user's profile Send private message
Wisarut
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 27/03/2006
Posts: 42796
Location: NECTEC

PostPosted: 05/04/2024 7:52 pm    Post subject: Reply with quote

การรถไฟซาบาห์ ขายเส้นทาง ไปท่าเรือ Sepanggar Port หารายได้เพิ่มเติม
https://www.nst.com.my/news/nation/2024/04/1033478/sabah-extend-railway-line-sepanggar-port
Back to top
View user's profile Send private message
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 44905
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 29/04/2024 12:55 pm    Post subject: Reply with quote

โจทย์ใหญ่ทีม'เศรษฐา'ฟื้นศก.
Source - กรุงเทพธุรกิจ
Monday, April 29, 2024 04:13

Click on the image for full size

'เอกชน'ช็อก'ปานปรีย์'ลาออก-เร่งรัฐบาลปลุกเชื่อมั่นตลาดทุน

แนะทีมเศรษฐกิจทำแผน "สั้น-ยาว" พร้อมดึง การลงทุน"เอฟดีไอ"

กรุงเทพธุรกิจ "นักเศรษฐศาสตร์" หนุนปรับ ครม.ตั้ง "พิชัย" หัวทีมเศรษฐกิจ มั่นใจเดินหน้าต่อทันที "ซีไอเอ็มบีไทย" แนะงานเร่งด่วนไตรมาส 2 อัดงบประคองผู้เดือดร้อนจากเศรษฐกิจซบ ก่อนแจกดิจิทัลวอลเล็ต "ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" ชี้เรียกเชื่อมั่นต่างชาติ "ไพบูลย์" มองเป็นเรื่องดี ชี้โจทย์เศรษฐกิจ หวังเร่งสร้างมูลค่าเพิ่ม บจ.ฟื้นตลาดหุ้นไทย ส.อ.ท.ช็อก "ปานปรีย์" ลาออก กระทบ ทีมเศรษฐกิจระยะสั้น

การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังมีประกาศแต่งตั้งออกมาเมื่อวันที่ 28 เม.ย.2567 โดยมีตำแหน่งสำคัญที่จับตา คือ นายพิชัย ชุณหวชิร เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่จะมาช่วยงานด้านเศรษฐกิจ รวมถึงประเด็นที่หลายฝ่ายติดตาม คือ การเข้ามาช่วยผสาน "รอยร้าว" ระหว่างรัฐบาล และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ทุเลาลงได้

ในมุมของ "นักเศรษฐศาสตร์" มองว่า การปรับ ครม.ครั้งนี้ถือว่าหนุนมุมมองเชิงบวก และหนุนด้านความเชื่อมั่นในสายตาของ ต่างชาติได้มากขึ้นจากความชัดเจนของภาครัฐ และ ครม.ชุดใหม่ยังมาพร้อม "อาวุธ" คืองบประมาณภาครัฐปี 2567 ที่พร้อมใช้ทันทีที่จะเข้ามาช่วยให้โครงการต่างๆ เดินหน้าได้เต็มกำลังหลังจากนี้

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) กล่าวว่า การปรับ ครม.ครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ทำให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้นและมีเวลาดำเนินโครงการได้เต็มที่ โดยเฉพาะโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่มีความชัดเจนขึ้น รวมถึงการสานต่อเรื่องการปรับขึ้นค่าแรง และ การเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐานตามนโยบายพรรคเพื่อไทยให้ถูกสานต่อได้ต่อเนื่อง

ดังนั้นการปรับ ครม.ครั้งนี้ โดยรวม ถือเป็นจังหวะที่ดีในช่วงที่เพิ่งผ่าน งบประมาณปี 2567 ทำให้มีงบประมาณที่พร้อมใช้จ่ายได้ทันที เหล่านี้ยิ่งช่วยเสริมความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลให้เพิ่มขึ้น

"การปรับ ครม.ครั้งนี้ โดยรวมจะช่วย เสริมความเชื่อมั่นให้มีมากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ นโยบายเศรษฐกิจต่างๆ ยังไม่สามารถ ทำได้มากนัก เพราะขาดงบประมาณ แม้จะใช้ ความพยายาม หรือขอความร่วมมือเอกชน แต่หลังจากปรับครม.ใหม่ ทุกอย่างจะคล่องตัว มากขึ้น เหล่านี้สร้างความเชื่อมั่นได้มาก"
แนะอัดงบประคอง"คนเดือดร้อน"ทันที

สำหรับโครงการที่มองว่าภาครัฐควรเดินหน้า คือการช่วยประคับประคองเศรษฐกิจที่ควรทำอย่างเร่งด่วน เพราะหากดูจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรก ที่จะออกมาเร็วๆนี้ ซีไอเอ็มบีไทย คาดว่าจะขยายตัวต่ำกว่า1% หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

ดังนั้นสิ่งที่คาดหวังคือ ภาครัฐควรแบ่งงบบางส่วนออกมาช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง เอสเอ็มอี และผู้มีรายได้น้อย เพื่อให้มีเม็ดเงิน เข้ามาช่วยลดค่าครองชีพเป็นการเร่งด่วน ก่อนที่มาตรการ "ดิจิทัลวอลเล็ต" จะเข้ามามีส่วนกระตุ้นในปลายปี เพราะมองว่าเม็ดเงิน ดังกล่าวมีความจำเป็นในการช่วยประคองเศรษฐกิจในช่วงที่ประชาชนได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วนในไตรมาส2ปีนี้

"สิ่งที่เราอยากเห็นคือ เรามองว่า เศรษฐกิจไทยเวลานี้ ต้องการทั้ง การประคอง และกระตุ้น วันนี้ เศรษฐกิจไทยอ่อนแอ ประชาชนกลุ่มหนึ่งได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า และรอไม่ไหว ดังนั้นอยากเห็น งบประมาณบางส่วนที่ออกมาเร่งด่วน และทันที เพื่อช่วยประคองระยะสั้น ไม่ว่าจะเป็นการแจกเงิน สร้างงาน หรือบรรเทาผลกระทบ ในรูปแบบต่างๆ ที่เป็นมาตรการระยะสั้น เน้นประคองให้คนฟื้นตัว และทำต่อเนื่องด้วยมาตรการระยะกลาง คือดิจิทัลวอลเล็ต เราไม่อยากเห็นการเอาเงินมารวมไว้ก้อนเดียวทั้งหมดแต่เราอยากเห็นการซอยงบ มาช่วยเหลือ ประชาชนอย่างเร่งด่วน"
ปรับครม.หนุนความเชื่อมั่น "ต่างชาติ"

นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการ ผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า มองการปรับครม.ใหม่ครั้งนี้ น่าจะหนุนในด้านความเชื่อมั่นให้มากขึ้น โดยเฉพาะในมุมของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะตำแหน่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่จะสามารถทำงานได้เต็มที่มากขึ้น เพราะภาคการคลัง เป็นด้านที่ต้องใช้ทั้งรายละเอียด เวลาอย่างมาก เหล่านี้อาจช่วยหนุนให้โครงการต่างๆสามารถเดินหน้าได้เร็วขึ้น ชัดเจนมากขึ้น

อย่างไรก็ตามมองว่า สิ่งที่ภาครัฐต้องเร่งทำ หลังจากนี้ คือการให้ความชัดเจนเกี่ยวกับ โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ภายใต้ความเห็นไม่ตรงกันระหว่างภาครัฐ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อให้โครงการต่างๆ สามารถชัดเจน และเดินหน้าต่อไปได้ ที่จะมีผลต่อความเชื่อมั่นให้มากขึ้น

ถัดมาคืออยากเห็น การสนับสนุนและเอื้อให้ต่างชาติและนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว แต่สิ่งที่จำเป็นคือ การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีมากขึ้น ให้ใกล้เคียงกับภูมิภาค เพื่อดึงดูดให้นักลงทุนตัดสินใจ เข้ามาลงทุนไทยมากขึ้น

"สิ่งที่อยากเห็นภาครัฐเข้ามาเร่ง คือการสนับสนุนการลงทุนในไทยมากขึ้น เพราะเราขาดมานาน แต่การเร่งพวกนี้ได้ ต้องให้สิทธิประโยชน์มากขึ้น เพื่อดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาได้มากขึ้น และหลายอย่างเราต้องต่ำกว่าภูมิภาค ดึงจูงใจเขาเข้ามาได้"
อีกมุม คือ ควรแก้เรื่องกฎหมายซับซ้อน และอุปสรรคต่างๆ ในการเข้ามาทำธุรกิจในไทยที่ต้องเอื้อมากขึ้น ต้องทำสิ่งเหล่านี้ให้ง่าย ถึงจะเป็นการเปิดประเทศจริงๆ เป็นสิ่งที่มองว่าต้องเร่งทำให้เกิดขึ้น ดังนั้นต้องสนับสนุนทั้งในด้านราคาและคุณภาพ แม้เรา จะเก็บภาษีได้น้อยลง แต่หากคนเข้ามาลงทุนมากจะได้มากกว่าเสียไปแน่นอน

เร่งสร้างมูลค่าเพิ่มบจ.ฟื้น'ตลาดหุ้นไทย'

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ และนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) กล่าวว่า การที่มีบุคคลเฉพาะเข้ามาทำหน้าที่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แทนนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องดีช่วยแบ่งเบาภาระนายกฯ และโฟกัสการทำนโยบายได้อย่างเต็มที่มากขึ้น

ทั้งนี้ นายพิชัย มีประสบการณ์ทำงานในทีมเศรษฐกิจ ขับเคลื่อนประเทศไทยมาก่อนอยู่แล้ว และช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ได้ช่วยขับเคลื่อนตลาดทุนไทยอีกด้วยคงต้องรอดูผลงานต่อไป

สำหรับโจทย์ใหญ่เศรษฐกิจไทย มองว่า ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ต้องเร่งขับเคลื่อน 2 เรื่อง คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น และมาตรการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว ที่ต้องทำพร้อมกัน

โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น อยากให้มุ่งเน้นการบริโภคช่วง 6 เดือนที่รอดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งตามแผนจะออกมาช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ อาทิ มาตรการกระตุ้นการบริโภคและมาตรการลดหย่อนภาษี สำหรับกลุ่มคนที่ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ดิจิทัลวอลเล็ต

รวมถึงการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐทั้งงบปี 2567 และปี 2568 อย่างคุ้มค่าที่สุด สอดคล้องกับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลคงจะมีเตรียมไว้อยู่แล้ว เพื่อผลักดันให้จีดีพีกลับมาเติบโตที่ระดับ 4%

"หากดิจิทัลวอลเล็ตเป็นไปตามแผนไตรมาส 4 แต่หากเกิดความล่าช้าจะทำให้ช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 จะเป็นสุญญากาศหรือไม่หากยังไม่มีเม็ดเงินเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะปัจจุบันการบริโภคเริ่มชะลอตัว หากมีแผนสำรองเข้ามาช่วยฟื้นการบริโภคช่วงรอดิจิทัลวอลเล็ต"
หวังทีมเศรษฐกิจเร่งดึงการลงทุน

ขณะที่การสร้างความเชื่อมั่นให้เศรษฐกิจไทยระยะยาวเป็นเรื่องการแก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะปัญหาการลงทุนอยู่ระดับต่ำ และต่ำกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ซึ่งคาดหวังว่าทีมเศรษฐกิจชุดใหม่จะสานต่อ นโยบายการลงทุนของนายกฯ ที่เป็นเซลส์แมน ดึงเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจาก ต่างประเทศ (FDI)

"ปัจจุบันการลงทุนไทยอยู่ที่ 22-23% ต่อจีดีพี ต่ำกว่าในอดีต ซึ่งช่วงต้มยำกุ้งอยู่ที่ 35-46% ต่อจีดีพี และต่ำกว่าการลงทุนของเวียดนาม เพิ่มมาอยู่ที่ 30% ต่อจีดีพี โดย การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไม่ใช่แค่ระยะสั้น แต่ต้องมองระยะยาวที่สานต่อการลงทุนอย่างจริงจัง"
ตลาดทุนไทย โจทย์ใหญ่"น่าห่วง"

นายไพบูลย์ กล่าวว่า ตลาดทุนไทยมีโจทย์ใหญ่น่าเป็นห่วง คือ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) และการนำบริษัทใหม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะตลาดทุนไทย "ย่ำอยู่ที่เดิม" เท่ากับ 10 ปีก่อน แม้บางธุรกิจมีกำไรขึ้น แต่บางธุรกิจกำไรลดลง โดยธุรกิจ Old Economy กำไรลดลง แต่ธุรกิจ New Economy ที่เป็นจุดแข็ง ของประเทศมีกำไรเพิ่มขึ้นมาชดเชยกำไร บจ.ภาพรวม

ทั้งนี้ปัจจุบัน EPS ของ บจ.ยังเท่ากับ รอบ 10 ปีก่อนทำให้ดัชนีของตลาดหุ้นไทย ปรับตัวขึ้นไม่ได้ดังนั้น อยากเห็นทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ เข้ามาทำให้ ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสกลับมา Perform ได้ดีกว่าตลาดอื่น ด้วย วิธีการที่สอดคล้องกับตลาดหุ้นไทยเช่นการเพิ่มมูลค่าบจ.ไทย

"อย่างเช่น ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ที่ประสบ ความสำเร็จ ลุกขึ้นมาทำเพิ่มเติมทาง ด้านกฎหมายการกำกับดูแลบจ. และ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ บจ. จนปัจจุบัน สามารถทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นกลับมาปรับตัว ขึ้นสูงสุดเท่ากับจุดสูงสุดในอดีตเมื่อ 40 ปีก่อนได้"
"ปานปรีย์"ลาออกกระทบทีมเศรษฐกิจช่วงสั้น

นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า กรณีที่นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทำหนังสือถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ขอลาออก จากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย.2567 เห็นว่า กระทรวงการต่างประเทศเป็นส่วนหนึ่ง ของทีมเศรษฐกิจโดยเฉพาะต่างประเทศ ซึ่งนายปานปรีย์ ก็ได้อธิบายในจดหมาย ลาออกว่าได้ทำอะไรบ้าง ก็คงจะกระทบในช่วงสั้นบ้าง

"การลาออกดังกล่าว ถือว่าสร้างความตกใจและประหลาดใจมาก ดังนั้นรัฐบาลอาจจะมีการเจรจาโดยหาคนกลางเพื่อปรับความเข้าใจสอบถามถึงความไม่สบายใจหรืออาจจะต้องหาคนมาแทน ดังนั้น จะต้องดูว่าใครจะมาทำหน้าที่แทน เป็นคนที่มีความสามารถมากน้อยแค่ไหน และมีความเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร" นายเกรียงไกร กล่าว

ที่มา: นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 29 เม.ย. 2567

'Settha' Team Faces Uphill Battle to Revive Thai Economy
Source: Krungthep Turakij, Monday, April 29, 2024 04:13

Private Sector Expresses Concern after 'Panpree' Resignation; Experts Call for Short and Long-Term Plans to Attract Foreign Investment

The recent cabinet reshuffle, announced on April 28th, 2024, has brought significant attention to economic issues. The appointment of Mr. Pichai Chunhavajira as Deputy Prime Minister and Minister of Finance is seen as a positive step towards bridging the divide between the government and the Bank of Thailand and providing needed economic relief.

Economists view this cabinet reshuffle as favorable and believe it will increase foreign confidence in the Thai economy. Additionally, the newly approved 2024 government budget provides the 'Settha' team with the resources to implement various projects immediately.

Mr. Amornthep Chawala, Executive Vice President of CIMB Thai Bank's Research Office, sees the cabinet reshuffle, particularly the appointment of a new Finance Minister, as a positive development. He believes this will allow for greater flexibility and the timely implementation of projects such as the digital wallet initiative. Mr. Chawala suggests the focus should remain on continuing wage increase policies and infrastructure development as outlined in the Pheu Thai Party's platform.

Immediate Action Needed to Support Vulnerable Groups

Economists urge the government to move quickly as the Thai economy is expected to have slowed in the first quarter. CIMB Thai suggests prioritizing budget allocation to support vulnerable groups, SMEs, and low-income individuals. These measures would provide immediate relief and mitigate rising living costs before the digital wallet scheme is implemented later this year.

Restoring Foreign Investor Confidence

Mr. Burin Adulwattana, Chief Economist at Kasikorn Research Center, believes the cabinet reshuffle will boost foreign investor confidence. He stresses the importance of greater clarity regarding the digital wallet project in the face of disagreements between the government and the Bank of Thailand. Additionally, Mr. Adulwattana advocates for policies that encourage foreign investment and offer competitive tax benefits to attract investors to Thailand.

Boosting the Thai Stock Market

Mr. Paiboon Nalintarangkun, CEO of TISCO Securities and President of the Investment Analysts Association, welcomes the appointment of a dedicated economic team leader and Minister of Finance. He emphasizes the need to focus on creating added value for listed companies to revitalize the Thai stock market.
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 44905
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 29/04/2024 1:25 pm    Post subject: Reply with quote

เพื่อไทยเตรียมจัดงานใหญ่ “10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม10”
INN News 29 เมษายน 2024 - 11:42

เพื่อไทยเตรียมจัดงานใหญ่ “10เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม10” วันที่ 3 พ.ค.นี้ สรุปผลงาน – เปิดตัวผู้สมัคร อบจ. – ฉายภาพประเทศไทยปี 2570

พรรคเพื่อไทย นำโดยนายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรค น.ส. ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรค นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรค ร่วมแถลงข่าวเตรียมจัดงาน ‘10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อ ให้เต็ม 10’ ในวันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม 2567

โดยนายสรวงศ์ กล่าวว่า นับตั้งแต่ที่รัฐบาลที่นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เข้ารับตำแหน่งและเริ่มบริหารราชการแผ่นดิน จากวันนั้น ณ วันที่ 1 กันยายน 2567 จนถึงวันนี้ นับเป็นเวลา 242 วัน เกือบ 9 เดือนและกำลังเดินหน้าสู่เดือนที่ 10 ที่พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ‘ตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ไม่รอให้ สว.หมดวาระ ในเดือนพฤษภาคม 2567 หากเรารอปัญหาต่างๆ และความสำเร็จที่ทยอยออกดอกผลวันนี้ คงไม่เกิดขึ้น ทั้งหมดคือที่มาของการจัดงานในวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 นี้

นอกจากนี้ ภายในงาน จะมีการเปิดวิสัยทัศน์นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมวิสัยทัศน์ในนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย เช่น นางสาวจิราพร สินธุไพรรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รวมทั้งเปิดตัวผู้สมัคร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) ในนามของพรรคเพื่อไทยส่วนหนึ่งเพื่อประกาศความพร้อม และความสำเร็จในการทำงานที่ผ่านมาของนายก อบจ.ในนามของพรรคเพื่อไทยในสมัยที่ผ่านมา ที่เคยได้รับความไว้วางใจและตอบสนองต่อความต้องการของพี่น้องประชาชนในท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งจะมีการเปิดตัว PheuThai Party Academy อย่างไม่เป็นทางการอีกด้วย

“10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10 เพราะเวลาคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด เวลาคือค่าใช้จ่ายราคาแพง เพื่อไทยทำงานแข่งกับเวลา ใช้ทุกวินาที ทุกนาทีให้คุ้มค่า พร้อมทำงาน เติมทุกนโยบายที่หาเสียงเอาไว้ให้เต็ม 10”

ด้าน ทพญ.ศรีญาดา กล่าวว่า ประเด็นหลักภายในงาน จะมีการบอกเล่าถึงโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ซึ่งเป็น 1 ในนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย ที่เราได้ประกาศหาเสียงเอาไว้ นำร่องใน 4 จังหวัดแรกสำเร็จเป็นของขวัญปีใหม่ปี 2567 ให้กับประชาชนได้ การย้ายโรงพยาบาลที่ไม่จำเป็นต้องซักประวัติใหม่ ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ สร้างความลำบากให้ประชาชน ก้าวที่เรากำลังเดินไปไม่เคยหยุด และก้าวต่อไปของนโยบายนี้เราจะเดินให้ไวและไกลกว่าเดิม เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับความสะดวก ลดต้นทุนในการรักษา ที่สำคัญคือค่าเดินทางให้มากที่สุด

อีกเรื่องที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือ ซอฟต์พาวเวอร์เป็นนโยบายสำคัญที่จะเปลี่ยนการสร้างรายได้ของประเทศ สู่ภาคเศรษฐกิจจากวัฒนธรรมสร้างสรรค์ เป็นนโยบายที่เราทำก่อนหาเสียง และเราทำจริง และจะทำอย่างเป็นระบบด้วยการออกกฎหมายฉบับใหม่ สร้างองค์กรและองค์ความรู้รองรับ เพื่อให้ซอฟต์พาวเวอร์สร้างรายได้ให้กับประชาชนในระยะยาวและยั่งยืน

ขณะที่ น.ส. ขัตติยา กล่าวว่า รัฐบาลเพื่อไทยภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะใช้เวลาทุกวินาทีในการบริหารประเทศอย่างคุ้มค่าที่สุดและจะเดินหน้าผลักดันให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนตามที่สัญญากับพี่น้องประชาชนเอาไว้ให้ได้ ภารกิจผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน เป็นนโยบายที่พรรคเพื่อไทยได้ให้ไว้กับประชาชน โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรก ที่ประชุม ครม. ได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

และในที่สุดที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 มีมติเห็นชอบจัดให้มีการออกเสียงประชามติ 3 ครั้งตามข้อเสนอของคณะกรรมการโดยมั่นใจว่า หากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเดินหน้าอย่างมียุทธศาสตร์ และได้รับการสนับสนุนจากพลังของพี่น้องประชาชนอย่างท่วมท้น ก็จะมีโอกาสเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยเกิดขึ้นภายในระยะเวลา 4 ปีของรัฐบาลชุดนี้อย่างแน่นอน

ด้านนายชนินทร์ กล่าวว่า ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 จะสรุปผลงานการเดินหน้าเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านคมนาคมอย่างเป็นระบบ เป็นวิสัยทัศน์ของพรรคเพื่อไทยตั้งแต่ในอดีต และได้เริ่มอย่างเป็นรูปธรรมแล้วในสมัยรัฐบาลนี้

โดยใน 10 เดือนนี้ เราได้ประกาศจุดยืนเพื่อ Logistic Hub ที่สำคัญของเอเชีย เดินหน้าเชื่อมต่อการขนส่งผ่านระบบ รถ – เรือ – ราง และรันเวย์ ผ่านการเดินหน้ารถไฟความเร็วสูง เร่งรัดโครงข่ายรถไฟรางคู่ขยายท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง และเสริมศักยภาพสนามบินนานาชาติทั้ง 4 แห่ง เพื่อเร่งดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ ส่งเสริมการขนส่งสินค้า และการเดินทางระหว่างเมืองของประชาชน พร้อมกับความสำเร็จของการนำร่องโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย และการเดินหน้าไปถึงเป้าหมายทุกเส้นทางในปี 2568

เพื่อลดค่าครองชีพให้ประชาชน รวมถึงการแสวงหาความร่วมมือทุกทาง เดินหน้าโครงการเติมเงิน 10,000 บานผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญของการรดน้ำหน้าบ้านทุกครัวเรือน กระตุ้นกำลังซื้อ กระตุ้นการลงทุน ให้เศรษฐกิจฐานรากโตทุกชุมชน วางรากฐานประเทศไปสู่ Digitall economy และคืนศักดิ์ศรีประเทศไทยในเวทีโลกได้อีกครั้ง


Pheu Thai is gearing up for a significant event titled "10 Months of Unwavering Progress: Committing to the Full 10" on May 3rd. The agenda includes two main focuses: introducing applicants for Provincial Administrative Organization positions and projecting Thailand's image in 2027.

Led by Mr. Sorawong Thianthong, Sa Kaeo MP and Secretary-General of Pheu Thai, along with Dr. Sriyada Palimaphan, list MP and Deputy Secretary-General, and Ms. Khattiya Sawatdiphon, list MP and Deputy Party Spokesperson, the party is hosting a press conference to outline plans for the event. Mr. Sorawong emphasized the nearly 9-month tenure of the current government, stressing the need for proactive decision-making rather than waiting for the senatorial term to expire in May 2024. The event on May 3rd serves as a proactive step in this direction.

The event will also feature the unveiling of Prime Minister Settha Thavisin's vision, along with that of Pheu Thai Party leader Ms. Paethongtarn Shinawatra. Key policies of the party, represented by officials like Ms. Jiraporn Sinthuprai, Minister of the Prime Minister's Office, and Mr. Paophum Rojanasakul, Deputy Minister of Finance, will be highlighted. Additionally, candidates for Provincial Administrative Organization positions will be introduced, showcasing the party's readiness and past successes in addressing local needs.

Dr. Sriyada outlined the event's focus on flagship policies like the 30-baht universal healthcare project and the promotion of soft power to boost the economy through creative culture. Ms. Khattiya reiterated the government's commitment to efficient governance and promised efforts to enact a new constitution, with plans for referendums already underway. Mr. Chanin highlighted the party's economic initiatives, particularly in transportation infrastructure development, which aims to position Thailand as a key logistics hub in Asia.

Over the past 10 months, the party has pursued projects to reduce the cost of living and stimulate economic growth, such as the 20-baht electric train project and the 10,000-baht digital wallet top-up initiative. These efforts align with the broader goal of transitioning to a digital economy and restoring Thailand's global standing.
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 44905
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 05/05/2024 7:07 am    Post subject: Reply with quote

รายงานพิเศษ: อุปสรรคในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ คือความดื้อรั้นของรัฐบาล ไม่ใช่ธนาคารแห่งประเทศไทย
Source - หนังสือพิมพ์แนวหน้า
Sunday, May 05, 2024 06:42

หัวข้อนี้น่าสนใจ มาจากคำให้สัมภาษณ์ของ นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรค ประชาธิปัตย์ ได้ให้ความเห็นจากกรณีที่ น.ส.แพทองธาร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวในงานของพรรคว่า กฎหมายพยายามจะให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นอิสระจากรัฐบาล ซึ่งการเป็นอิสระจากรัฐบาลนั้นเป็นปัญหาและอุปสรรคในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพราะนโยบายการคลังถูกใช้งานข้างเดียวอย่างหนัก จนทำให้หนี้สาธารณะสูงขึ้นทุกปี จากการที่รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณแบบขาดดุลมาโดยตลอด

นายสรรเพชญได้กล่าวว่า การที่กฎหมายพยายามให้ความเป็นอิสระของ ธปท. นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วและรัฐบาลควรภูมิใจที่มีกฎหมายลักษณะนี้ เพราะเป็นเกราะคุ้มครองรัฐบาลไม่ให้มีข้อครหาในการดำเนินงาน

ส่วนการที่ น.ส.แพทองธาร คิดแบบนั้นเป็นการคิดแบบไม่เข้าใจบทบาทของตนเองในฐานะพรรคแกนนำของรัฐบาล เนื่องจาก โดยหลักการแล้วการทำหน้าที่ของธนาคารกลางทั่วโลกที่ได้รับมอบหมายคือการควบคุมเสถียรภาพของเศรษฐกิจหรือเงินเฟ้อ ซึ่งต้องรักษาความเป็นองค์กรอิสระให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้รัฐบาลเข้ามา แทรกแซงและกดดัน อีกทั้งบทเรียนในอดีตที่ผ่านมา ธปท. เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าขาดความเป็นอิสระและได้รับแรงกดดันจากรัฐบาลช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง จากความพยายามในการใช้หนี้ IMF ก่อนกำหนด แต่พอผู้ว่าการ ธปท. ในสมัยนั้นไม่เห็นด้วยก็กดดันให้ออกจากตำแหน่งแล้วแต่งตั้งคนใหม่ที่สามารถตอบสนองความต้องการทางการเมือง สิ่งนี้จึงไม่ควรเกิดขึ้นอีกในอนาคต

นอกจากนี้ ในเรื่องของการขาดดุลงบประมาณที่รัฐบาล ใช้เป็นวิธีการในการบริหารงบประมาณมาโดยตลอดนั้น สาเหตุเนื่องมาจากรายจ่ายที่ต้องใช้ของรัฐบาลมีมากกว่ารายรับที่ได้รับในแต่ละปี

ดังนั้น รัฐบาลควรหาวิธีการที่จะสร้างรายรับใหม่ให้รัฐบาล ไม่ใช้ดึงดันคิดแต่จะทำให้เงินบาทเป็นเงินดิจิทัลแล้วเอาเงินดิจิทัลไปแลกเงินบาทเป็นวงจรซ้ำไปซ้ำมาให้ประชาชนเกิดความสับสน ว่าจะมีการตั้งแบงก์ชาติแห่งที่ 2 มาปั้มเงินเข้าระบบอีกหรือไม่

เพราะการกระทำในลักษณะนี้ตนกังวลว่าอาจจะขาดการตรวจสอบและมีความสุ่มเสี่ยงที่จะกระทำผิดกฎหมายฯ และสามารถปั๊มเงินได้โดยที่ไร้การควบคุม เสมือนว่ารัฐบาลอยากจะให้มีธนาคารแห่งประเทศไทยแห่งที่ 2 ขึ้นภายใต้การควบคุมของรัฐบาล ซึ่งอาจเป็นเพราะรัฐบาลในชุดของนายเศรษฐา ได้รับความเห็นที่ไม่ค่อยอยากฟังเท่าใดนักจาก ธปท. ทั้งในเรื่องของดอกเบี้ยนโยบายและเอกสารที่ได้ส่งความเห็นและข้อสังเกตต่อคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet โดยมีความเห็นหลักๆ ว่าควรให้เฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ต้องการความช่วยเหลือ เท่านั้น เพื่อแบ่งเบาภาระค่าครองชีพและมีแนวโน้มที่จะบริโภคสินค้าภายในประเทศมากกว่าซื้อสินค้านำเข้า และรัฐบาล ควรที่จะนำเงิน 500,000 กว่าล้านบาทนั้นไปลงทุนในเรื่องของโครงการที่จะสามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง ว่าจะเป็นเรื่องการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ การให้เรียนฟรีอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการ Upskill และ Reskill ให้ประชาชนมีทักษะในการทำงาน สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคปัจจุบัน หรือการสร้าง รถไฟทางคู่ในวงเงินงบประมาณขนาดนี้ก็สามารถพัฒนาได้มากกว่า 10 สาย เป็นต้น สิ่งนี้จะเกิดประโยชน์กับประเทศชาติ มากกว่า ซึ่งจากความเห็นนี้ถือได้ว่าเป็นความเห็นที่จริงใจกับประเทศและกล้าหาญในการทำหน้าที่ของ ธปท.

นายสรรเพชญ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า หากรัฐบาลยังคงดึงดันที่จะทำนโยบาย Digital Wallet โดยใช้แหล่งงบประมาณที่ได้เคยแถลงไปก่อนหน้านี้ว่าจะมีที่มาจาก 3 แหล่ง คือการขยายกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 วงเงิน 175,000 ล้านบาท การดำเนินการ ผ่าน ธ.ก.ส. วงเงิน 172,300 ล้านบาท โดยรัฐบาลจะรับ ภาระในการใช้คืนงบประมาณภายหลัง และบริหารจัดการ เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 วงเงิน 175,000 ล้านบาทนั้น ตนรู้สึกเป็นห่วงการคลังของประเทศเป็นอย่างมาก เพราะในปี 2568 รัฐบาลเองก็ต้องตั้งงบประมาณ แบบขาดดุลและการขยายวงเงินงบประมาณก็ยิ่งจะทำให้งบประมาณในปี 2568 ขาดดุลเพิ่มไปอีก อีกทั้งรัฐบาลก็ต้องหาเงินมาใช้คืนให้กับ ธ.ก.ส. ก็เป็นการสร้างหนี้ให้รัฐบาลเช่นเดียวกันถึงแม้ว่ารัฐบาลจะเล่นแร่แปรธาตุว่าเป็นวิธีการบริหารงบประมาณไม่ใช้หนี้ แต่สุดท้ายแล้วมันก็คือหนี้ที่รัฐบาลต้องชดใช้เช่นเดิม

"การทำหน้าที่ของธนาคารกลางทั่วโลก คือการควบคุมเสถียรภาพของเศรษฐกิจหรือเงินเฟ้อซึ่งต้องรักษาความเป็นองค์กรอิสระให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้รัฐบาลเข้ามาแทรกแซงและกดดัน"

ที่มา: นสพ.แนวหน้า ฉบับวันที่ 5 พ.ค. 2567

Special Report: Government Stubbornness, Not Bank of Thailand, Hinders Economic Recovery
Source: Naewna Newspaper
Sunday, May 5, 2024, 06:42

This topic is intriguing, stemming from an interview with Mr. Sanphet Boonyamanee, Member of the House of Representatives for Songkhla Province, Democrat Party. He shared insights regarding Ms. Pae Thongthan, leader of the Pheu Thai Party, who expressed concerns about the attempt to establish independence for the Bank of Thailand (BoT) from the government. Ms. Thongthan suggested that this independence poses a hindrance to resolving economic issues, as it leads to a one-sided reliance on fiscal policy, resulting in escalating public debt due to perennial deficit budgets set by the government.

Mr. Sanphet contended that the endeavor to ensure BoT's independence is commendable, serving as a safeguard against governmental scandals in its operations. He criticized Ms. Paethongthan's stance, emphasizing that central banks worldwide are mandated to maintain economic stability and curb inflation independently to forestall government interference and undue pressure.

Reflecting on past events, Mr. Sanphet recalled the BoT's lack of autonomy during the Tom Yum Kung crisis, wherein governmental pressure led to the resignation of the BoT Governor for opposing premature IMF debt repayment. He cautioned against a recurrence of such incidents, underscoring the imperative of maintaining BoT's independence.

Addressing the perennial budget deficit issue, Mr. Sanphet urged the government to explore avenues for revenue generation rather than resorting to unorthodox measures such as digital currency adoption. He expressed apprehension about potential legal violations and unregulated monetary influxes, cautioning against the government's inclination to establish a secondary Bank of Thailand under its control.

Moreover, Mr. Sanphet highlighted disagreements between the government and BoT regarding policy decisions and the allocation of funds for projects, advocating for investments in initiatives geared towards structural reforms, healthcare, education, and technological innovation to bolster national development.

Concerning the Digital Wallet policy, Mr. Sanphet cautioned against its implementation using allocated budgets, which could exacerbate fiscal deficits and financial burdens in subsequent years. He stressed the need for prudent financial management to avert undue strain on the country's finances.

In conclusion, Mr. Sanphet reiterated the vital role of central banks in maintaining economic stability and underscored the necessity of preserving their independence to insulate them from governmental influence.

Source: Naewna Newspaper, May 5, 2024
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 44905
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 05/05/2024 7:25 am    Post subject: Reply with quote

STEC เค้าลางเริ่มไม่ดี โบรกคาดกำไร Q1 ขาดทุนครั้งแรกในรอบ 6 ปี
Source - เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ
Saturday, May 04, 2024 13:06

"ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งฯ" เค้าลางเริ่มไม่ดี "บล.เอเซีย พลัส" คาดกำไรไตรมาส 1/67 ขาดทุนครั้งแรกในรอบ 6 ปี ถูกกดดันจากส่วนแบ่งขาดทุนเพิ่ม โครงการรถไฟฟ้า "สีเหลือง-ชมพู" ธุรกิจก่อสร้างกำไรขั้นต้นต่ำ หั่นราคาหุ้นสิ้นปีเหลือ 10.50 บาท

วันที่ 4 พฤษภาคม 2567 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด วิเคราะห์ว่า คาดกำไรสุทธิงวดไตรมาส 1/2567 (ม.ค.-มี.ค.) ของบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC จะมีผลขาดทุนสุทธิ 36 ล้านบาท นับเป็นการพลิกกลับมาขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี (STEC ขาดทุนครั้งสุดท้ายในงวดไตรมาส 4/2566) ที่มีการตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนจากการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่)

โดยไตรมาส 1/2567 ถูกกดดันจากส่วนแบ่งขาดทุนเพิ่มขึ้นตามส่วนได้เสีย ที่คาดว่าจะสูงถึง 130 ล้านบาท เทียบกับงวดไตรมาส 1/2566 และไตรมาส 4/2566 ที่มีส่วนแบ่งขาดทุนตามส่วนได้เสีย 0.6 ล้านบาท และ 50.9 ล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองมีผลขาดทุนมากขึ้น จากจำนวนผู้โดยสารที่ลดลง และ STEC ต้องเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูเข้ามาในไตรมาสนี้เป็นไตรมาสแรก

ในขณะที่บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น (สนามบินอู่ตะเภา) ยังคงมีผลขาดทุนตามปกติราว 10 ล้านบาท/ไตรมาส

สำหรับธุรกิจก่อสร้าง คาดว่าไตรมาส 1/2567 จะมียอดรับรู้รายได้ราว 6.53 พันล้านบาท ใกล้เคียงกับงวดไตรมาส 1/2566 แต่น่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross margin) ลดลงเหลือเพียง 4.70% จากที่ทำได้ 5.85% ในไตรมาส 1/2566 เนื่องจาก STEC ยังมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับงานซ่อมอุโมงค์ระบายน้ำหนองบอนที่เกิดอุบัติเหตุในปี 2565 แต่ยังไม่สามารถเบิกเงินชดเชยจากบริษัทประกันภัยได้

ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ประเมินว่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับงวดไตรมาส 1/2566 ในขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายไตรมาสนี้คาดจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญกว่า 6 เท่าตัวจากงวดไตรมาส 1/2566 มาอยู่ที่ 33 ล้านบาท ตามภาระเงินกู้ยืมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

# ประมาณการกำไรปีนี้มี Downside Risk

ประมาณการกำไรปี 2567 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ที่ 697 ล้านบาท มี Downside Risk ที่จะถูกปรับลงค่อนข้างสูง แม้ว่าประมาณการรายได้ธุรกิจก่อสร้างและอ้ตรากำไรขั้นต้นที่ประเมินไว้ 30,392 ล้านบาท และ 5.0% ตามลำดับ ยังมีความเป็นไปได้ เนื่องจากรายได้ก่อสร้างปีนี้จะถูกขับเคลื่อนจากโครงการหลักที่อยู่ระหว่างดำเนินงาน

ได้แก่ งานก่อสร้างโรงไฟฟ้า IPP จำนวน 3 แห่งของ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF), รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้, รถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงของ,งาน O&M มอเตอร์เวย์ M6 และ M81, ศูนย์ราชการเฟส 2, โครงการหมอชิตคอม-เพล็กซ์ รวมถึงงานก่อสร้างโครงการใหม่ที่เพิ่งได้รับเข้ามาปลายปีก่อน คือ โรงไฟฟ้าโซลาร์ขนาด 500 MW ของ GULF มูลค่า 5,240 ล้านบาท ที่มีระยะเวลาก่อสร้างสั้นเพียง 1 ปี

ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น ก็น่าจะทำได้สูงกว่าปีก่อนที่ทำได้เพียง 4.39% เนื่องจากต้นทุนวัสดุก่อสร้างในปัจจุบันมีความผันผวนน้อยกว่าปีก่อนมาก ทั้งราคาปูนซีเมนต์และเหล็กเส้น นอกจากนี้ STEC ยังอยู่ระหว่างทำเรื่องขอเงินชดเชยจากบริษัทประกันภัยสำหรับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในโครงการอุโมงค์ระบายน้ำหนองบอน หากได้รับเงินประกันเข้ามาก็จะหักออกจากต้นทุนงานก่อสร้าง ทำให้มีอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสที่ได้รับเงินชดเชยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และการทำงานส่วนใหญ่ปีนี้เป็นงานจากภาคเอกชนที่มีอัตรากำไรสูงกว่างานภาครัฐ

อย่างไรก็ตามรายการส่วนแบ่งขาดทุนตามส่วนได้เสียที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ทั้งปีที่ 159 ล้านบาท มีโอกาสที่จะประเมินไว้ต่ำเกินไป เพราะเมื่อพิจารณาจากจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพูที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

อ้างอิงข้อมูลจากกรมการขนส่งทางราง พบว่าเดือน เม.ย 67 ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองเฉลี่ยอยู่ที่ 28,053 เที่ยว/วัน ส่วนรถไฟฟ้าสายสีชมพูอยู่ที่ 44,498 เที่ยว/วัน ซึ่งยังห่างไกลจากจุดคุ้มทุนที่ผู้บริหารเคยประเมินไว้ว่าจะต้องมีผู้โดยสารราว 1.2-1.3 แสนเที่ยว/วัน

ทำให้ฝ่ายวิจัยประเมินว่า STEC อาจต้องรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพูรวมกันไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท/ไตรมาส ต่อเนื่องไปอีกหลายไตรมาส รวมไปถึงภาระดอกเบี้ยจ่ายของ STEC ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมา ตามมูลค่าของเงินกู้ที่สูงขึ้น จากการเข้าลงทุนในธุรกิจใหม่หลายโครงการ อาทิ โครงการ Data Center, โรงหล่อคอนกรีต, โครงการอู่ตะเภา เป็นต้น

# ราคาหุ้นถูกกดดันในระยะสั้น

แม้ฝ่ายวิจัยยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของ STEC ที่จะได้รับอานิสงส์จากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ซึ่งจะทำให้เห็นการเปิดประมูลโครงการลงทุนมากขึ้นในช่วงนับต่อจากนี้ โดยที่ STEC ยังมี Backlog คงเหลืออีกกว่า 9 หมื่นล้านบาท ที่จะรองรับการสร้างรายได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า แต่ปัจจัยดังกล่าวน่าจะถูกสะท้อนเข้าไปในราคาหุ้นแล้วพอสมควร

เห็นได้จากราคาหุ้น STEC ที่ปรับตัวขึ้นกว่า 26% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามส่วนแบ่ง

ขาดทุนจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพูที่สูงกว่าที่เคยประเมินไว้มาก ส่งผลให้ช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า STEC น่าจะเผชิญแรงกดดันจากการถูกปรับลดประมาณการกำไรลง

ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิจัยจึงปรับลดคำแนะนำลงจาก Neutral เป็น Underperform และปรับลดราคาพื้นฐาน (Fair Value) ลงจากเดิมอิงอัตราส่วนราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (PBV) ที่ 1 เท่า มาอยู่ที่ 0.89 เท่า ให้ราคาเหมาะสมใหม่เหลือ 10.50 บาท ลดลงจากราคา 11.80 บาท

Sino-Thai Engineering and Construction Company (STEC) has encountered a rough start this year, with Asia Plus Securities anticipating its first quarterly loss in six years. The brokerage firm expects STEC's net loss for the first quarter of 2024 to reach 36 million baht, marking a significant downturn since its last loss in the fourth quarter of 2023, attributed to ongoing issues such as losses from the construction of the new parliament building.

During the first quarter of 2024, there was mounting pressure from increased losses, with equity-based losses projected to soar to approximately 130 million baht, compared to 0.6 million baht and 50.9 million baht in the first and fourth quarters of 2023, respectively. This surge in losses is primarily due to setbacks in the Yellow Line project, compounded by the initiation of losses recognition from the Pink Line project.

Additionally, STEC's construction business is expected to recognize revenue of around 6.53 billion baht in the first quarter of 2024, similar to the previous year, but with a reduced gross margin of 4.70% due to ongoing expenses related to the Nong Bon drainage tunnel incident in 2022. Furthermore, sales and administrative expenses are estimated to remain stable compared to the first quarter of 2023, while interest expenses are forecasted to surge by over sixfold, reaching 33 million baht, attributed to escalating loan obligations.

The profit forecast for 2024 carries a downside risk, with the research department estimating a potential adjustment downward from the initial projection of 697 million baht. Although construction business revenue and gross profit margin are anticipated to be 30,392 million baht and 5.0%, respectively, uncertainties persist, particularly concerning ongoing projects.

Despite optimistic prospects for projects such as the construction of IPP power plants and transportation infrastructure, STEC faces challenges from the persistently declining usage of the Yellow and Pink Lines, potentially leading to substantial losses totaling at least 100 million baht per quarter. Consequently, the research department has revised its recommendation for STEC from Neutral to Underperform, lowering the base price from a Price to Book Value (PBV) ratio of 1 time to 0.89 times, resulting in a new target price of 10.50 baht, down from 11.80 baht.
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Mongwin
1st Class Pass (Air)
1st Class Pass (Air)


Joined: 24/09/2007
Posts: 44905
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา

PostPosted: 05/05/2024 8:06 am    Post subject: Reply with quote

กระทรวงคมนาคมพร้อมขับเคลื่อนพัฒนาคมนาคมของประเทศ สร้างสุขทุกการเดินทาง
OTP Channel
Aug 25, 2023


https://www.youtube.com/watch?v=kPjAk4jIhOI

กระทรวงคมนาคมพร้อมขับเคลื่อนพัฒนาคมนาคมของประเทศ สร้างสุขทุกการเดินทาง
กระทรวงคมนาคมได้กำหนดกรอบแนวคิดการพัฒนาภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ประกอบด้วย การขนส่งที่มีประสิทธิภาพ (Transport Efficiency) การขนส่งที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green and Safe Transport) และการขนส่งที่เข้าถึงได้อย่างเสมอภาคและเท่าเทียม (Inclusive Transport) ด้วยการนำนวัตกรรมและการบริหารจัดการ (Innovation & Management) ที่มีประสิทธิภาพมาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญ กระบวนการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งและการขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในทุกขั้นตอนโดยกระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) จัดทำแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2566 - 2570) และแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2571 - 2580) เพื่อกำหนดทิศทางและกรอบการดำเนินงานในการขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านคมนาคมขนส่ง โดยเฉพาะการพัฒนาโครงข่ายการขนส่งหลัก Backbone ของกระทรวงคมนาคมให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ มุ่งสู่การขนส่งที่ยั่งยืน และยกระดับระบบโลจิสติกส์ของประเทศ

เปิดแผนคมนาคมไทย ปี 66-70
วันที่โพสต์ 2023-01-17

โครงสร้างพื้นฐาน และโลจิสติกส์เป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ โดยรัฐบาลได้จัดทำยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) กำหนดกรอบและแนวทางการพัฒนาให้หน่วยงานของรัฐทุกภาคส่วน

โดยกระทรวงคมนาคมได้กำหนดยุทธศาสตร์ด้านคมนาคม เป็นแผนปฏิบัติการ ระยะที่ 1 (พ.ศ.2563-2565) เป็นกรอบทิศทางการดำเนินงาน และกำหนดแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในทุกมิติ ซึ่งจะสิ้นสุดในปี 2565

และแผนการขับเคลื่อนในช่วงที่ 2 (พ.ศ.2566-2570) ซึ่งมีเป้าหมายให้ต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศไทยต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศลดลง เพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ระหว่างประเทศของประเทศไทย ได้กำหนดแผนปฎิบัติการดังนี้

- เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง ดึงดูดการลงทุน
- เพิ่มขีดความสามารถท่าอากาศยานหลัก (สุวรรณภูมิ/ดอนเมือง/อู่ตะเภา) จาก 80 ล้านคนต่อปี เป็น 120 ล้านคนต่อปี
- เพิ่มขีดความสามารถ ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง
จาก 7 ล้านตู้ต่อปี เป็น 18 ล้านตู้ต่อปี
- เพิ่มความเร็วการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปหัวเมืองหลัก จาก 80 กม. ต่อชั่วโมง เป็น 120 กม. ต่อชั่วโมง
- เพิ่มความเร็วการเดินรถไฟขบวนผู้โดยสาร จาก 60 กม. ต่อชั่วโมง เป็น 100 กม. ต่อชั่วโมง
- เพิ่มความเร็วการเดินรถไฟขบวนสินค้า จาก 40 กม. ต่อชั่วโมง เป็น 60 กม. ต่อชั่วโมง
- เพิ่มโครงข่ายรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ครบ 14 สายทาง ระยะทาง 554 กม. จากปัจจุบัน 11 สายทาง ระยะทาง 212 กม.
- เพิ่มโครงข่ายรถไฟทางคู่ และแก้ปัญหาจุดตัดทางรถไฟเป็น 1,111 กม.
- เพิ่มการเชื่อมต่อภูมิภาค ด้วยรถไฟไทย-ลาว-จีน และรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน
- เพิ่มโอกาสสร้างอนาคตประเทศ ด้วยโครงการ MR MAP และ Landbridge

เป้าหมายการขับเคลื่อนระบบคมนาคมของไทยระยะ 2 ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศไทยต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ น้อยกว่า 11% การขนส่งสินค้าทางรางต่อปริมาณการขนส่งสินค้าทั้งหมดเพิ่มเป็น 7% สัดส่วนการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในเขต กทม. และปริมณฑลต่อการเดินทางทั้งหมด ไม่น้อยกว่า 10% และเมืองหลักในภูมิภาคไม่น้อยกว่า 40% และลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนที่ 12 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคน

ที่มา: สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม

Infrastructure and logistics are crucial factors in enhancing a country's competitive edge. The government has devised a 20-year national strategy (2018-2037), outlining a framework and development guidelines for government agencies across all sectors.

The Ministry of Transport has formulated a transportation strategy, consisting of an action plan known as Phase 1 (2020-2022), which serves as the operational direction framework. This phase aims to determine the infrastructure investment plan across all dimensions, slated to conclude in 2022.

Additionally, a driving plan for the second period (2023-2027) has been established, with the objective of reducing Thailand's logistics costs as a percentage of gross domestic product, while enhancing efficiency in international logistics within Thailand. The operational plan is delineated as follows:

- Enhancing transportation efficiency to attract investment.
- Increasing the capacity of key airports (Suvarnabhumi/Don Mueang/U-Tapao) from 80 million passengers per year to 120 million.
- Augmenting the capacity of Laem Chabang Deep Sea Port from 7 million to 18 million containers annually.
- Elevating the travel speed from Bangkok to major cities from 80 km per hour to 120 km per hour.
- Enhancing passenger train operating speed from 60 km per hour to 100 km per hour.
- Accelerating the running speed of freight trains from 40 km per hour to 60 km per hour.
- Expanding the electric train network in Bangkok and its environs, comprising 14 lines spanning 554 km, up from the current 11 lines covering 212 km.
- Introducing a double-track railway network to address railway intersection issues, spanning 1,111 km.
- Establishing regional connectivity through the Thai-Laos-China train and a train linking 3 airports.
- Enhancing prospects for national development through the MR MAP and Landbridge projects.

The overarching goal of advancing Thailand's transportation system in phase 2, aligned with the 20-year national strategy, is to reduce Thailand's logistics costs as a percentage of gross domestic product to below 11%. This includes increasing rail freight transport's share of the total freight transport volume to 7%, ensuring that public transport accounts for no less than 10% of all trips in Bangkok and its environs, and no less than 40% in major cities within the region. Furthermore, the aim is to decrease the road accident mortality rate to 12 individuals per 100,000 people.

Source: Office of the Permanent Secretary, Ministry of Transport


"สายการบิน"ค้านปรับลดเพดานราคา ค่าตั๋วเครื่องบินในประเทศ
ฐานเศรษฐกิจ
05 พ.ค. 2567 | 15:39 น.

สายการบินค้านรัฐจ่อปรับลดเพดานค่าโดยสารตั๋วเครื่องบินเส้นทางบินในประเทศ ยันสวนทางกับต้นทุนของธุรกิจที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ชี้หลังโควิดทำให้ราคากลับมาสู่ภาวะสมดุล เป็นไปตามกลไกตลาด โดยที่ไม่เกินอัตราเพดานราคากำหนดไว้ ด้านกพท.เร่งหาข้อสรุปก่อนเสนอ กบร.พิจารณา
จากกรณีที่กระทรวงคมนาคม ได้สั่งให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) หรือ กพท.ทบทวนการปรับเพดานค่าโดยสารลง เพื่อแก้ปัญหาตั๋วแพง โดยให้กพท.หารือกับสายการบินภายในประเทศ เพื่อหาข้อสรุปรวมถึงแนวทางในการปรับราคาเพดานลง

ต่อเรื่องนี้นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ นายกสมาคมสายการบินแห่งประเทศไทย และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ “บางกอกแอร์เวย์ส” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่าสายการบินไม่เห็นด้วยหากรัฐบาลจะปรับลดเพดานราคาค่าโดยสารขั้นสูงลง จากเพดานราคาในปัจจุบัน

เนื่องจากราคาตั๋วเครื่องบินที่ขายกันอยู่ในขณะนี้ ยังอยู่ในกรอบอัตราค่าโดยสารเครื่องบินที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ( CAAT) หรือ กพท.กำหนดไว้ โดยมีเพดานค่าโดยสารสูงสุด (ต่อเที่ยวบิน) อยู่ที่ไม่เกิน 9.40 บาทต่อกิโลเมตร สำหรับสายการบินต้นทุนต่ำ และไม่เกิน 13 บาท ต่อกิโลเมตร สำหรับสายการบินที่ให้บริการแบบฟูลเซอร์วิส

จากอัตราค่าโดยสารดังกล่าว ผมมองว่าสายการบินยังเคลื่อนไหวในกรอบนี้ได้อยู่ แต่บางช่วงเวลาในบางเส้นทางบินอาจจะขึ้นไปอยู่ในกรอบเพดานราคาขั้นสูงบ้าง เช่น เส้นทางบินสู่ภูเก็ต ซึ่งเพดานราคานี้ ได้กำหนดมานานมากแล้วจากการคำนวณต้นทุนของสายการบินที่เกิดขึ้นในอดีต และที่ผ่านมาก็ไม่เคยปรับขึ้นเลย

สวนทางกับต้นทุนของธุรกิจที่สูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ถ้าจะมาลดเพดานราคาขั้นสูงลงอีก สายการบินก็คงอยู่ในสถานะลำบาก เพราะจริงๆธุรกิจสายการบินไม่ได้มีกำไรมากเลย หากเทียบกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะค่าน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน (Jet A-1) ที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ที่ขณะนี้ผันผวนอยู่ในระดับ 110-120 บาทต่อบาเรล


นายพุฒิพงศ์ กล่าวต่อว่าการที่หลายคนอาจจะรู้สึกว่าตั๋วเครื่องบินตอนนี้แพง หากจะมองในตามข้อเท็จจริง ผมมองว่าเกิดจากความคุ้นเคยของผู้โดยสารที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2560-2562 ที่ตอนนั้นธุรกิจสายการบินมีการต่อสู้กันสูงมาก เพราะซัพพลายในตลาดเยอะ มีการตัดราคาแข่งกันขายตั๋วถูก ราคาถูกจนไปสร้างความเดือนร้อนให้กับรถทัวร์และรถไฟด้วยซ้ำ

แต่ก็ต้องบอกว่าช่วงนั้นสายการบินแทบจะไม่มีกำไร เพราะขายกันเท่าทุน หรือน้อยกว่าทุน เพื่อดึงผู้โดยสาร ผมต้องขอบคุณโควิด-19 ด้วยซ้ำที่เข้ามาเบรก ทำให้ทุกคนกลับมาคิดใหม่ว่าการขายราคานั้นมันเป็นไปไม่ได้ท่ามกลางค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นทำแบบนั้นก็แข่งกันตาย

ประกอบกับการแข่งขันในตลาดการบินที่ลดลง เนื่องจากมีดีมานด์ความต้องการในการเดินทางสูง แต่ซัพพลายยังไม่กลับมา 100% เท่ากับในอดีต ดังนั้นพอหลังโควิด-19 สายการบินก็ต้องมาคิดราคาที่เหมาะสม แต่ก็ไม่ใช่ขึ้นราคาจนไล่ลูกค้า เพียงแต่ปรับให้ราคากลับมาสู่ภาวะสมดุล และราคาเป็นไปตามกลไกตลาด โดยที่ไม่เกินอัตราเพดานราคาที่กพท.กำหนดไว้

นอกจากนี้การที่หลายคนมองว่าทำไมเมื่อซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วราคาสูงเกินเพดานราคาที่กพท.กำหนดไว้นั้น ต้องบอกว่าราคาเพดานที่กำหนดไว้ เป็นเฉพาะราคาบัตรโดยสารสำหรับการเดินทาง (Air Fare) เท่านั้น ไม่ได้รวมค่าภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง หรือแม้แต่ค่าบริการอื่นๆ ที่นอกเหนือ

เพราะอย่างสายการบินต้นทุนต่ำ ถ้าผู้โดยสารจะเลือกใช้บริการเพิ่มเติม เช่น ค่าอาหาร ค่าน้ำหนักสัมภาระ ค่าประกัน ค่าเลือกที่นั่ง ก็ต้องจ่ายเพิ่ม หรือกรณีถ้าผู้โดยสารไม่ได้จองตั๋วโดยตรงกับสายการบิน แต่ไปจองผ่านทราเวล เอเย่นต์ ออนไลน์ (OTA) หรือเอเย่นต์ต่างๆ เขาก็จะบวกค่าบริการเพิ่มจากค่าตั๋วเครื่องบินด้วย จึงอยากให้ผู้โดยสารทำความเข้าใจในข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นด้วย

ด้านนายอนวัช ลีละวัฒน์วัฒนา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส สายงานการเงินและบัญชี บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงต้นทุนในการดำเนินธุรกิจของบางกอกแอร์เวย์สว่า ในปี 2566 สายการบินมีรายได้ต่อหน่วยจากการผลิตด้านผู้โดยสาร (Revenue per ASK: RASK) อยู่ที่ 5.41 บาทต่อกิโลเมตร ในขณะที่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ที่ 5.14 บาทต่อกิโลเมตร จึงมีสัดส่วนกำไร เท่ากับ 0.27 บาทต่อ 1 กิโลเมตร เท่านั้น ซึ่งก็กำไรไม่มาก เพราะเราเป็นสายการบินฟูลเซอร์วิส และเพิ่งจะกลับมามีกำไร และหากเทียบกับปี 2562 จะพบว่าสายการบินมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 30% ทั้งจากราคาน้ำมัน ค่าซ่อมบำรุงอากาศยาน ค่าบริการลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้น

ขณะที่นายศรัณย เบ็ญจนิรัตน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนเเห่งประเทศไทย (กพท.) สายพัฒนาเศรษฐกิจการบิน เผยว่าในขณะนี้กพท.อยู่ระหว่างการจัดเก็บข้อมูลจากสายการบินต่างๆ ซึ่งยังเหลืออีก 1 สายการบินที่ยังไม่ได้ส่งมา เพื่อกพท.จะได้นำข้อมูลมาประเมินต้นทุนของสายการบิน

จากนั้นกพท.จะนำข้อมูลมาพิจารณาหาข้อสรุปถึงความเหมาะสมว่าจะมีการปรับเพดานราคาค่าโดยสารขั้นสูงลงมาได้หรือไม่ ก่อนจะนำเสนอคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธานพิจารณาต่อไป

“เราต้องดูด้วยว่าการที่ตั๋วเครื่องบินแพง ไม่ได้แพงตลอดทั้งปี จะแพงเฉพาะในช่วงพีคที่มีการเดินทางสูง หรือการจองตั๋วไม่ได้จองล่วงหน้า ในขณะที่จำนวนเครื่องบินมีบริการได้ไม่เท่าเดิมจากโควิด-19 ถ้าเราแก้ไขโดยกดราคาเพดานค่าโดยสารขั้นสูงลงมา ต่อไปสายการบินก็อาจจะลดการทำตั๋วราคาถูกลง เราก็ต้องดูด้วยว่าการแก้ปัญหาในแบบนี้จะกระทบไปสร้างปัญหาใหม่หรือจะแก้ปัญหาแบบไหนจะเหมาะสมและเป็นประโยชน์สูงสุด” นายศรัณย กล่าวทิ้งท้าย

Airlines Oppose Plans to Lower Domestic Airfare Price Ceilings
May 5, 2024 | 3:39 p.m.

Airlines in Thailand are resisting the government's proposal to lower price ceilings for domestic airfares. They argue that the current prices are a result of market forces returning to equilibrium after the COVID-19 pandemic, and that further reduction would be detrimental to their already slim profit margins.

Mr. Putthipong Prasatthong Osot, President of the Airline Association of Thailand and Managing Director of Bangkok Airways, asserts that airlines are already operating within the price ceilings set by the Civil Aviation Authority of Thailand (CAAT). These limits allow for fares up to 9.40 baht per kilometer for low-cost airlines, and 13 baht per kilometer for full-service carriers.

He emphasizes that operational expenses, particularly jet fuel costs, have increased significantly in recent years. Lowering price ceilings would make it difficult for airlines to maintain profitability. Mr. Putthipong argues that the current ticket prices are reflective of rising costs and a market that is finding a sustainable balance after disruptions caused by the pandemic.

The Civil Aviation Authority of Thailand (CAAT) is currently gathering information from airlines to assess the feasibility of lowering price ceilings. This data will be presented to the Civil Aviation Board, chaired by the Minister of Transport, for final consideration.
Back to top
View user's profile Send private message Visit poster's website
Display posts from previous:   
Reply to topic    Rotfaithai.Com Forum Index -> ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรถไฟไทย All times are GMT + 7 Hours
Goto page Previous  1, 2, 3 ... 9, 10, 11
Page 11 of 11

 

Share |

Jump to:  
You cannot post new topics in this forum
You cannot reply to topics in this forum
You cannot edit your posts in this forum
You cannot delete your posts in this forum
You cannot vote in polls in this forum

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group


Forums ©