View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42749
Location: NECTEC
|
Posted: 18/04/2008 10:06 am Post subject: |
|
|
ดึงผู้โดยสารเข้าระบบรถไฟฟ้าโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายรัฐบาล
โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 17 เมษายน 2551 16:58 น.
*ทำไมคนไม่นิยมใช้ขนส่งมวลชนระบบราง ทั้งที่เดินทางสะดวกรวดเร็ว
*ปัญหาจราจาติดขัดจนเป็นอัมพาตแก้ได้จริงหรือ?
*รอพิสูจน์กึ๋นสันติ พร้อมพัฒน์ กับการดึงผู้โดยสารเข้าระบบรถไฟฟ้า หลังโครงข่ายเสร็จสมบูรณ์
แม้ว่าแผนการลงทุนก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าจะมีความคืบหน้าไปตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งคาดว่าในปีนี้ น่าจะมีการตอกเข็มก่อสร้างรถไฟฟ้าได้อย่าง 1 เส้นทาง คือสายสีม่วง (ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ) แต่ปัญหาใหญ่ที่คาดว่าจะตามมา หลังจากที่โครงการก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการ น่าจะอยู่ที่การดึงคนเข้ามาใช้บริการให้ได้ตามแผนการศึกษาก่อนที่จะมีการลงทุนก่อสร้าง
เห็นได้จากรถไฟฟ้า 2 เส้นทางที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน ทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน และรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่แม้ว่าจะเปิดให้บริการมานาน 9 ปี ยังมีผู้ใช้บริการไม่ได้ตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ในช่วงก่อนหน้านั้น โดยบีทีเอส มีผู้ใช้บริการเพียงวันละ 430,000 คนต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะมีผู้โดยสารวันละ 500,000 คนต่อวันในปีแรกของการเปิดให้บริการ
ขณะที่รถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งแม้จะเปิดให้บริการภายหลังจากที่ประชาชนให้ความสำคัญกับการเดินทางด้วยระบบรถไฟฟ้าแล้ว แต่ก็ยังมีผู้โดยสารใช้บริการเพียง 190,000-200,000 คนต่อวันต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 220,000 คนต่อวัน เป็นจำนวนที่น้อยมาก หากเทียบกับราคาน้ำมันแพง และการจราจรติดขัดถึงขั้นเป็นอัมพาต
ตัวเลขดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า แม้ว่าการเดินทางด้วยระบบรางที่ประหยัดเวลา และมีความสะดวกมากกว่าการใช้รถยนต์ส่วนตัว หรือรถโดยสารประจำทาง ก็ยังไม่ได้รับความสนใจจากประชาชน เพราะหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่สร้างความดึงดูดใจให้คนหันมาใช้ระบบราง รวมถึงโครงการข่ายยังให้บริการไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ของกทม.และปริมณฑล ทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่รอบนอกไม่สามารถใช้บริการรถไฟฟ้าได้ เพราะความไม่สะดวกในการเดินทาง อีกทั้ง หากต้องการจะใช้บริการจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น จากการต่อรถหลายต่อ รวมถึงที่จอดรถบริเวณสถานีขึ้น-ลงไม่เพียงพอต่อความต้องการ
ฟีดเดอร์ตัวแปรหลักดึงผู้ใช้บริการ
ปัญหาดังกล่าวอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ประชาชนไม่นิยมใช้ระบบราง แต่ปัญหาที่ทำให้ประชาชนไม่สนใจที่จะใช้รถไฟฟ้าหากการก่อสร้างแล้วเสร็จ คือ การไม่มีระบบเชื่อมต่อหรือระบบฟีดเดอร์ที่สมบูรณ์ เพราะถึงแม้ว่าเมื่อการก่อสร้างรถไฟฟ้าครอบคลุมทุกพื้นที่แล้ว แต่ไม่มีจุดเชื่อมต่อที่สมบูรณ์ และนำระบบตั๋วร่วมมาใช้เพื่อลดค่าใช้จ่ายประชาชนคงเลือกที่จะใช้รถยนต์ส่วนตัวเช่นเดิม
ค่าโดยสารที่มีราคาแพง ทำให้ผู้มีรายได้น้อยไม่สามารถขึ้นรถไฟฟ้าได้ เพราะมีเงินจำกัด อีกทั้งรถไฟฟ้ายังมีแนวโน้มที่จะปรับค่าโดยสารขึ้นตามอายุสัญญาสัมปทานอีกสถานีละ 1-2 บาท ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่นิยมใช้รถส่วนตัวเช่นเดิม ซึ่งปัจจุบันประชาชนใช้รถยนต์ส่วนตัวมากถึง 70%
ชี้ระบบรางน้อยไม่ครอบคลุม
สำหรับระบบขนส่งมวลชนระบบรางในกรุงเทพฯ ปัจจุบันมีเพียง 2 ระบบ คือ โครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพฯหรือรถไฟฟ้าบีทีเอส ของกรุงเทพฯและโครงการรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคลหรือรถไฟฟ้าใต้ดิน ของรฟม. มีระยะทางรวมเพียง 44 กม.เท่านั้น ไม่เพียงพอต่อความต้องการ รวมถึงค่าโดยสารแพง โดยปัจจุบันรถไฟฟ้าบีทีเอสเก็บค่าโดยสารอยู่ที่ 15-40 บาท ส่วนรถไฟฟ้าใต้ดิน 15-39 บาท และในต้นปี 2552 จะปรับราคาขึ้นเป็น 16-41 บาท
เพื่อความมั่นใจว่าเมื่อรัฐบาลลงทุนโครงข่ายขนส่งมวลชนทั้ง 9 เส้นทางแล้ว จะมีผู้ใช้บริการตามเป้าหมาย สันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ถึงกับนำข้าราชการ และสื่อมวลชนลงสำรวจพื้นที่เส้นทางเดินรถ 4 เส้นทาง ประกอบด้วย สายสีม่วง (บางใหญ่-บางซื่อ) ส่วนต่อขยายสายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คลองสี่-ลำลูกกา สายสีเขียว (อ่อนนุช - บางปู)สายสีน้ำเงิน และจุดเชื่อมต่อสายสีเขียวช่วงหมอชิต ลำลูกกา และสีเหลือง รวมถึงแอร์พอร์ต ลิงก์ บริเวณมักกะสัน ซึ่งหากโครงการรถไฟฟ้าทั้ง 9 เส้นทาง 8 ทิศทาง เสร็จสมบูรณ์จะช่วยลดปริมาณการใช้รถยนต์ลงมากถึง 60 % และจะช่วยให้ประเทศประหยัดค่าเสียโอกาสถึงปีละ 90,000 ล้านบาท ประหยัดต้นทุนเชื้อเพลิงถึงปีละ 68,160 ล้านบาท และลดค่าใช้จ่ายในการขจัดมลพิษถึงปีละ 9,947 ล้านบาท
จากการที่สำรวจเส้นทางรถไฟฟ้าเส้นทางดังกล่าว ทำให้สันติ มั่นใจว่า หากก่อสร้างรถไฟฟ้า 9 เส้นทาง แล้วเสร็จ จะช่วยลดปริมาณการใช้รถยนต์ลงได้ 60 %
ปรับพื้นที่รับระบบฟีดเดอร์
ด้านประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่า รฟม. กล่าวว่า ขณะนี้รฟม.อยู่ระหว่างปรับแบบของสถานีปลายทาง เพื่อจัดเตรียมพื้นที่สำหรับจุดจอดรถ เพื่อรองรับฟีดเดอร์ ซึ่งต้องมีการปรับทั้งพื้นที่จุดจอดรถและรัศมีการตีวงของรถในการเลี้ยวเข้าสู่สถานี ส่งผลให้ต้องลดจำนวนพื้นที่ของอาคารจอดรถลงแทน
ส่วนแนวทางสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนนั้น รฟม.กำลังพิจารณาแนวทางอยู่ อาจจะเปิดทางให้เอกชนร่วมทุนเพื่อเปิดให้บริการเดินรถ ซึ่งจะเน้นเส้นทางระยะสั้นจากสถานีรถไฟฟ้าไปยังหมู่บ้านต่างๆ ในรัศมีประมาณ 3 5 กม.และจะประสานกับ ขสมก. เพื่อปรับเส้นทางเดินรถเป็นฟีดเดอร์รองรับรถไฟฟ้าด้วย
ขสมก.เร่งศึกษาเส้นทางรถเมล์
ด้านพิเณศวร์ พัวพัฒนกุล ผู้อำนวยการ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กล่าวว่าการจัดการเส้นทางเดินรถโดยสารประจำทาง เพื่อรองรับเส้นทางรถไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น ขสมก.อยู่ระหว่างศึกษาเส้นทางที่จะรองรับผู้โดยสารตามเส้นทางรถไฟฟ้า รวมถึงคาดการณ์จำนวนผู้ใช้บริการด้วยว่าจะคุ้มทุนหรือไม่ คาดว่าจะสรุปได้ในปลายเดือนเม.ย.นี้ |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42749
Location: NECTEC
|
Posted: 13/06/2008 11:55 am Post subject: |
|
|
เอกซเรย์รถไฟฟ้า'สมัคร' 4เดือนยังไปไม่ถึงไหน?
มติชนออนไลน์ วันที่ 12 มิถุนายน 2551 - เวลา 15:28:57 น.
เอกซเรย์โครงการรถไฟฟ้า'สมัคร'เฟสแรก 5 โครงการ 7 สายทาง มูลค่า 3 แสนล้าน 4เดือนไปถึงไหนแล้ว เผยทุกโครงการเผชิญพิษต้นทุนก่อสร้างที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นกันถ้วนหน้า
โครงการรถไฟฟ้าหนึ่งในโครงการเมกะโปรเจ็กต์ที่รัฐบาล "สมัคร สุนทรเวช" หมายมั่นปั้นมือจะให้เป็นผลงานชิ้นโบแดง และใช้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ผ่านมา 4 เดือน ท่ามกลางภาวะน้ำมันแพงและอุณหภูมิการเมืองที่กำลังร้อนแรง โครงการรถไฟฟ้าทั้ง 9 สาย 8 แฉก มูลค่า 7 แสนกว่าล้านบาท เดินหน้าไปถึงไหนแล้ว คนกรุงเทพฯและปริมณฑลคงอยากรู้คำตอบ
สำหรับรถไฟฟ้าเฟสแรก 5 โครงการ 7 สายทาง ระยะทาง 145 กิโลเมตร มูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท (ดูตาราง) แม้คณะรัฐมนตรี (ครม.) จะอนุมัติก่อสร้างและมีบางสายประกวดราคาไปแล้ว แต่ถึงนาทีนี้ดูเหมือนยังติดๆ ขัดๆ ไม่ราบรื่นอย่างที่คิด
ทั้งเรื่องการคัดเลือกคุณสมบัติผู้รับเหมาของรถไฟสายสีแดงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ที่เปิดประมูลตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ขณะนี้ก็ยังยืดเยื้อเพราะการเมืองเข้ามาแทรกทำให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ใช้เวลาพิจารณาล่าช้าจากแผนงานกว่า 2 เดือน ในขั้นตอนนี้กว่าจะคัดเลือกผู้รับเหมาเหลือ 1 ราย คือ กลุ่มยูนิคฯ และกำลังจะเปิดซองด้านเทคนิคก่อนพิจารณาด้านราคา คาดว่าจะเซ็นสัญญาได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้
ที่น่าห่วงคือทุกโครงการกำลังเผชิญกับพิษต้นทุนก่อสร้างที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมันที่ผันผวนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ค่าก่อสร้างเกินกรอบวงเงินที่ประมาณการไว้มาก กลายเป็นภาระเพิ่มของรัฐบาลจะต้องหาเงินกู้มาเติมเต็มส่วนที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ ทั้งเงินกู้ในประเทศและจากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (เจบิก) เพราะถ้าไม่ขยายกรอบวงเงินโครงการก็อาจมีความเสี่ยงเพราะไม่มีผู้เสนอราคาก่อสร้างหรือเสนอราคาสูงกว่ากรอบวงเงิน ทำให้ต้องยกเลิกประมูลและเริ่มต้นดำเนินการใหม่
ในส่วนของต้นทุนเพิ่มขึ้นที่ชัดเจน คือ รถไฟฟ้าสายสีม่วงเพิ่มขึ้นจาก 31,217 ล้านบาท เป็น 36,055 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4,838 ล้านบาท สายสีน้ำเงินจาก 48,821 ล้านบาท เป็น 52,956 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,135 ล้านบาท สายสีแดงบางซื่อ-รังสิตจาก 59,887.6 ล้านบาท เป็น 77,562.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17,675.1 ล้านบาท แค่ 3 สายต้นทุนก็พุ่งขึ้นจากเดิมถึง 26,648.1 ล้านบาทแล้ว ไม่รวมสายอื่นๆ ที่กำลังประเมินค่าก่อสร้างใหม่
ด้านแหล่งเงินกู้แม้รัฐบาลจะสร้างความมั่นใจว่ามีแหล่งเงินกู้แน่นอน แต่ยังมีปัญหา เพราะการเลือกใช้แหล่งเงินกู้มีส่วนผูกพันเป็นเงื่อนไขในการจัดทำทีโออาร์ ถ้าหากใช้แหล่งเงินกู้ในประเทศจะสามารถขายเอกสารประกวดราคาได้ตามแผนงาน แต่ถ้าใช้เงินกู้เจบิกขั้นตอนอาจล่าช้าออกไปอย่างน้อย 8 เดือน เพราะต้องทำตามระเบียบขั้นตอนของเจบิกด้วย
ดังนั้น รถไฟฟ้าส่วนที่เหลือที่ยังไม่มีแหล่งเงินจึงยังเป็นโครงการที่มีความเสี่ยง อาจจะเปิดประกวดราคาไม่ทันกรอบเวลาที่วางไว้ภายในสิ้นปีนี้ ทั้งสายสีน้ำเงิน สีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-พญาไท-หัวหมาก สายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ
ส่วนโครงการรถไฟฟ้าในเฟส 2 ที่รัฐบาลตั้งเป้าจะดำเนินการในปี 2552 เป็นต้นไป ทางกระทรวงคมนาคมกำลังเสนอ ครม.ขออนุมัติงบประมาณกลางปี 2551 ประมาณ 300 ล้านบาท ประกอบด้วยงบฯปรับแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชน 30 ล้านบาท การออกแบบรายละเอียดสายสีเขียวเข้มช่วงสะพานใหม่-ลำลูกกา คลอง 4 จำนวน 130 ล้านบาท การออกแบบรายละเอียดสายสีเขียวอ่อนช่วงเคหะบางปิ้ง-นิคมอุตสาหกรรมบางปู 72 ล้านบาท งบฯศึกษาสายวงแหวนรอบในตามแนวถนนรัชดาภิเษก จากรัชโยธิน-พระรามที่ 7 และท่าพระ-พระรามที่ 3-คลองเตย
ขณะที่การเจรจาซื้อหนี้จากบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือบีทีเอสซี ผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอสก็ยังไม่มีความคืบหน้า ล่าสุดกระทรวงการคลังขอตั้งงบประมาณ 50 ล้านบาท ว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงินประเมินมูลค่ากิจการของบีทีเอส และประเมินรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนส่วนต่อขยายและเส้นทางใหม่
ด้านนโยบายให้กระทรวงมหาดไทยที่รับจะเจรจากับกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อขอโอนภาระหน้าที่การดูแลสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอสมาอยู่ในความรับผิดชอบของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยรัฐจะจ่ายคืนเงินค่าก่อสร้างทางวิ่งและตัวสถานีช่วงสาทร-บางหว้า และช่วงอ่อนนุช-แบริ่งให้ กทม. ขณะนี้ก็ยังย่ำอยู่กับที่เหมือนกัน
ทั้งหมดล้วนเป็นปัญหาและอุปสรรคที่รัฐบาล "สมัคร" จะต้องฟันฝ่าเพื่อนำพาโครงการให้ถึงฝั่ง แต่หากการเมืองเกิดพลิกผันรัฐบาลอยู่ไม่ครบเทอม คนกรุงก็คงฝันสลายอีกครั้ง |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42749
Location: NECTEC
|
Posted: 23/06/2008 12:48 pm Post subject: |
|
|
ใช้232ล.ทำแผนแม่บทรถไฟฟ้าใหม่
Dailynews - 23 June 2008
นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินโครงการรถไฟฟ้า ว่า สนข.ได้เสนอของบกลางจำนวน 232 ล้านบาท เพื่อนำมาศึกษาโครงการรถไฟฟ้าตามนโยบายของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี แบ่งเป็น
1. จ้างที่ปรึกษาจัดทำแผนแม่บทระบบรางใหม่จำนวน 30 ล้านบาท
2. จ้างที่ปรึกษาศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียดส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม จากสะพานใหม่-ลำลูกกาคลอง 4 จำนวน 130 ล้านบาท
3. จ้างศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียดส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อน จากบางปิ้ง-บางปู จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 72 ล้านบาท
เมื่อได้งบประมาณ จะเดินหน้าทันที สำหรับความคืบหน้ารถไฟฟ้าในเมืองขณะนี้มีความก้าวหน้าหลายสาย โดย
1. สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน เปิดประกวดราคาไปแล้วอยู่ในขั้นตอนพิจารณาคุณสมบัติด้านเทคนิคผู้รับเหมา
2. ช่วงบางซื่อ-รังสิต ออกแบบรายละเอียดเสร็จแล้วและผ่านการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม แล้ว
3. คาดว่าจะเปิดประมูลได้ในเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งจะใกล้เคียงกับสายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ หัวลำโพง-บางแค
4. ส่วนสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ เปิดประมูลแล้ว คาดได้ผู้รับเหมาภายในปีนี้
5.สำหรับสายสีเขียวเข้มช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ และสีเขียวอ่อน ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ออกแบบรายละเอียดเรียบร้อย และได้ส่งแบบให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินการต่อแล้ว หลังจากนี้ สนข.จะเริ่มศึกษาพัฒนาระบบรถไฟรางคู่ และรถไฟความเร็วปานกลางวิ่งไปยังจังหวัดหัวเมืองหลักต่อไป. |
|
Back to top |
|
|
black_express
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
|
Posted: 23/06/2008 10:17 pm Post subject: |
|
|
ผมเห็นข่าวในบางกอกโพสฉบับวันนี้ บอกว่าผู้รับเหมาเริ่มโอดครวญกันแล้ว เพราะวัสดุก่อสร้างขึ้นราคาแบบรั้งไม่หยุด ฉุดไม่อยู่นี่แหละ |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42749
Location: NECTEC
|
Posted: 28/06/2008 8:50 am Post subject: |
|
|
สนข.เริ่มยกแรกพัฒนาตั๋วร่วมพิสูจน์ กึ๋น ผอ.สร้อยทิพย์
โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 27 มิถุนายน 2551 14:09 น.
สนข.เดินเครื่องพัฒนาระบบตั๋วร่วม จับมือคลัง ADB ศึกษา-กำหนดนโยบายการดำเนินการตั๋วร่วม คาด ก.พ.52 สรุปผลการศึกษา เผยอุปสรรคใหญ่ จัดสรรรายได้ให้เป็นธรรม
ขณะที่ภาครัฐพยายามเร่งก่อสร้างรถไฟฟ้า 9 สาย เพื่อรองรับการขยายตัวของเมือง และการเดินทางให้สะดวกรวดเร็วขึ้น ฟากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) ก็พยายามที่เร่งศึกษาระบบตั๋วร่วม เพื่อให้สามารถใช้งานได้สมบูรณ์ เมื่อโครงข่ายรถไฟฟ้าก่อสร้างแล้วเสร็จ และสามารถเชื่อมการเดินทางด้วยกันเป็นโครงข่ายที่สมบูรณ์ ทั้งรถไฟฟ้า รถโดยสารประจำทาง และเรือ เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน รวมทั้งสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชน
โดย สนข.ได้ลงนามความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารพัฒนาแห่งเอเซีย (ADB) ซึ่งได้เริ่มดำเนินการไปแล้วตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมาถึงวันที่ 18 ก.พ.2552 มีระยะเวลา 9 เดือน โดยชัยสวัสดิ์ กิตติพรไพบูลย์ ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลัง กับ ADB เพื่อศึกษาและกำหนดนโยบายการดำเนินการตั๋วร่วม จัดทำเอกสารการประกวดราคาสำหรับผู้ที่จะมาดำเนินงานระบบตั๋วร่วม แผนปฏิบัติการ งบประมาณ โดยว่าจ้างกลุ่มบริษัท ซีอีซีไอ เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแตนท์ จากประเทศไต้หวันศึกษา ใช้เวลาศึกษา 9 เดือน ทั้งนี้ ADB ได้สนับสนุนงบประมาณ 18 ล้านบาท สำหรับการดำเนินงานระบบตั๋วร่วมในส่วนของภาครัฐ
ด้านแผนการดำเนินงานตั๋วร่วมนั้น ระยะแรกภายในปี 2551-2552 จะเริ่มจากบีทีเอสและบีเอ็มซีแอล ระยะที่ 2 ปี 2552-2553 จะขยายระบบเพิ่มใช้กับโครงการแอร์พอร์ต เรล ลิ้งค์ และโครงการระบบรถเมล์ด่วนพิเศษสายแรก (บีอาร์ที) ระยะที่ 3 ปี 2553-2555 จะขยายระบบกับรถไฟฟ้าที่เปิดใหม่ เช่น สายสีม่วง รถบีอาร์ทีสายใหม่ เรือโดยสาร รถประจำทางและระยะสุดท้าย ปี 2555 เป็นต้นไป จะขยายระบบใช้กับระบบทางด่วนและผู้ประกอบการนอกภาคขนส่ง รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าสายอื่นๆ ที่จะเปิดให้บริการ
ด้านสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ผู้อำนวยการ สนข. กล่าวว่า การศึกษาของที่ปรึกษาจะต้องศึกษาข้อมูลระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ ทั้งหมด เพื่อประเมินว่าจะใช้ระบบใดที่เป็นระบบกลางของบัตร การพิจารณามาตรฐานของบัตรที่จะนำมาใช้ รวมถึงเครื่องรูดบัตรจะต้องเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำตั๋วร่วมคือ การจัดตั้งบริษัทจัดแบ่งรายได้ หรือ Clearing House ว่าจะเป็นในรูปแบบใด จะให้ภาครัฐเป็นผู้ดำเนินการรับผิดชอบ หรือจะให้สัมปทานเอกชนมาดำเนินการจัดการ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะต้องเป็นผู้จัดสรรรายได้ที่เกิดจากการใช้บัตรไปยังผู้ให้บริการอย่างถูกต้องและเหมาะสม หรือจะให้เอกชนดำเนินการซึ่งคงต้องหารือในรายละเอียดอีกครั้ง แต่ทั้งนี้ในต่างประเทศส่วนใหญ่จะให้ภาครัฐบริหาร เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นผู้ดูแลเรื่องดังกล่าว
นอกจากADBจะสนับสนุนเรื่องการศึกษาระบบตั๋วร่วมแล้วนี้ ADB ยังสนใจที่จะให้เงินกู้แก่รัฐบาลไทยเพื่อใช้ในการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่รัฐบาลจะดำเนินทั้งในปัจจุบันและอนาคต เช่น โครงการรถไฟทางคู่ ซึ่งจะเชื่อมต่อจากคุนหมิงของประเทศจีนและบ้านห้วยทราย ประเทศลาว เชื่อมต่อมายัง อ.เด่นชัย จ.แพร่ ต่อมายัง จ.เชียงราย และตรงมาบ้านภาชีหลังจากนั้นจะมีทางแยกไปยังด้านตะวันออก คือ ท่าเรือแหลมฉบัง และมาบตาพุด ส่วนด้านตะวันตกจะไปถึงสุพรรณบุรี กาญจนบุรี ทวาย ประเทศพม่า ด้านใต้จะไปถึงหัวหิน รวมถึงโครงการไฟฟ้าทั้ง 9 สาย ที่กำลังจะเกิดขึ้น หากรัฐบาลไทยสนใจทาง ADB ก็พร้อมจะพิจารณาอนุมัติเงินกู้โดยไม่จำกัดเงินกู้ และดอกเบี้ยต่ำสุด 1% และสูงสุดไม่เกิน 4% รวมถึงยังเป็นเงินกู้แบบผ่อนปรนอีกด้วย
ส่วนความคืบหน้าโครงการระบบขนส่งมวลชน ผู้อำนวยการ สนข.กล่าวว่า ในส่วนของสายสีแดง(ช่วงบางซื่อ-รังสิต)ผ่านรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว และคาดว่าจะประกวดราคาได้ในเดือนต.ค.นี้ ส่วนสายสีน้ำเงิน( หัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ) ทางคณะรัฐมนตรี(ครม.)รับหลักการและอนุมัติก่อสร้างแล้ว ปัจจุบันการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) อยู่ระหว่างการทำกรอบวงเงินใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพราคาวัสดุที่ปรับตัวสูงขึ้นหลังจากนั้นจะเสนอเข้าไปที่ครม.อีกครั้ง สายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่) อยู่ระหว่างการหาแหล่งเงินทุน ซึ่งหากได้แหล่งเงินกู้ทางรฟม.จะเสนอเรื่องไปยังครม.เพื่อรับทราบต่อไป ส่วนสายสีชมพู สายสีเหลือง และสายสีน้ำตาล นั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างความเหมาะสม ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการประชุมรับฟังความเห็นจากประชาชนครั้งที่ 3 ในเดือน ก.ค.นี้ |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42749
Location: NECTEC
|
Posted: 01/07/2008 1:07 pm Post subject: |
|
|
รถเมล์เข้าเชียงใหม่หาย 40%-ทุนขนส่งจี้รื้อระบบรางหนีวิกฤต
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 30 มิถุนายน 2551 11:23 น.
กลุ่มรถโดยสาร เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่ต้องปรับตัวขนานใหญ่จาก ปัญหาน้ำมันแพง ซึ่งรวมทั้ง เมล์เขียวของบริษัท ชัยพัฒนาขนส่ง จำกัด ผู้ให้บริการรถโดยสารยักษ์ใหญ่ของภาคเหนือด้วย
ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ กลุ่มทุนรถโดยสารภาคเหนือหมดทางดิ้นหนีน้ำมันแพง จำต้องจอดรถทิ้งไว้รอวันปิดกิจการกันระนาว ชี้เฉพาะรถระหว่างจังหวัดที่วิ่งเข้าเชียงใหม่ จอดทิ้งกันแล้ว 30-40% - ปิดกิจการไปแล้ว 3-4 ราย ยักษ์เมล์เขียวชี้ระยะยาวยังไร้ทางแก้ที่ชัดเจน ระบุแผนใช้ NGV ยังง่อนแง่น / ปตท.ไม่แน่นอน ด้านสมาพันธ์ขนส่งฯจี้รัฐรื้อแผนรถไฟ เจียดงบทำรางเชื่อม 3 หัวเมือง ลดคนใช้ถนน 40% - ประหยัดต้นทุนLogistic
นายสมชาย ทองคำคูน กรรมการผู้จัดการบริษัทชัยพัฒนาขนส่ง จำกัด ผู้ให้บริการรถโดยสารยักษ์ใหญ่ของภาคเหนือ (เมล์เขียว-Green Bus) อุปนายกภาคเหนือ ผู้ประกอบการรถโดยสารประจำทางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จนถึงขณะนี้ยังบอกกันไม่ได้เหมือนกันว่า กลุ่มทุนขนส่งจะทำกันอย่างไรถึงจะอยู่รอด ขณะที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติในระดับใด
เบื้องต้นต้องประคองตัวให้ได้ ประหยัดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมความเร็วของรถให้อยู่ในระดับที่ประหยัดน้ำมันที่สุด ลดเวลาติดเครื่องรอผู้โดยสารในสถานี ยืดระยะเวลาระหว่างเที่ยววิ่งให้ยาวขึ้น ฯลฯ แล้วนำเม็ดเงินที่ได้จากการประหยัดค่าใช้จ่ายในสัดส่วน 25% มาตั้งเป็นรางวัลจูงใจให้พนักงานแทน
นายสมชาย บอกอีกว่า ในส่วนของบริษัทมีรถอยู่ 100 กว่าคัน รถร่วมอีก 400 กว่าคัน นอกจากจะใช้วิธีข้างต้นแล้ว ก็ให้รถบางคันทดลองใช้น้ำมัน B5 ที่ ปตท.ทำออกมา เบื้องต้นลดต้นทุนได้ประมาณ 70 สตางค์ 1 บาท แต่ก็กำลังดูประสิทธิภาพของเครื่องยนต์อยู่ว่า ได้รับผลกระทบอย่างไรหรือไม่ พร้อมกับเริ่มทยอยเปลี่ยนรถใหม่เข้ามาให้บริการ โดยสั่งซื้อจากสาธารณรัฐประชาชนจีน เพราะการใช้รถใหม่ สามารถลดต้นทุนทั้งค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าซ่อมบำรุง ได้ประมาณ 10-15%
ส่วนแนวทางการเปลี่ยนเครื่องยนต์ เพื่อหันไปใช้ NGV ณ วันนี้ นอกจากจะต้องใช้ต้นทุนสูงถึง 1 ล้านบาท/คัน ถ้า 100 คัน ก็ตก 100 ล้านบาทแล้ว ปัญหาสำคัญก็คือ ปตท.ยังไม่สามารถให้ความมั่นใจได้ว่า จะสามารถส่งก๊าซได้ทันต่อความต้องการหรือไม่ เพราะเท่าที่มีอยู่ในขณะนี้ก็ไม่พอต่อความต้องการผู้บริโภคอยู่แล้ว ซึ่งรถโดยสารไม่สามารถที่จะรอเติมก๊าซได้นานแน่นอน ดังนั้น แนวทางนี้จะต้องรอจนกว่า ปตท.จะให้ความมั่นใจได้ว่า สามารถส่งก๊าซเพียงพอ และทันต่อความต้องการได้เท่านั้น
ตอนนี้ในส่วนของบริษัทอาจจะยังพอยื้อได้ เพื่อรอแนวทางแก้ไขในระยะยาวที่มั่นใจได้ แต่ในส่วนของรถร่วม ที่เข้ามาวิ่งกับเรา หลายรายต้องจอดรถทิ้งไว้รอวันปิดกิจการ และมีประมาณ 3-4 รายแล้ว ที่แจ้งขอเลิกกิจการ เพราะทนขาดทุนไม่ไหว
นายสมชาย ยังบอกอีกว่า และจากการพูดคุยกับนายสถานีขนส่งเชียงใหม่ ทราบว่า ปัญหาการขาดทุนของผู้ประกอบการรถโดยสารในภาคเหนือเริ่มขยายวงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยดูได้จากปริมาณรถโดยสารที่วิ่งเข้า-ออก สถานีเชียงใหม่ ขณะนี้พบว่า มีรถโดยสารหายไปแล้วมากถึง 40% เพราะผู้ประกอบการต้องจอดรถทิ้งไว้ ซึ่งแน่นอนว่าบางส่วนคงปิดกิจการไปแล้ว
ด้านนายยู เจียรยืนยงพงษ์ ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารสมาคมขนส่งทางบก เปิดเผยว่า การขนส่งเมืองไทยยังจำเป็นต้องใช้รถอยู่ แต่ภายใต้วิกฤตน้ำมันแพงที่ไม่มีทีท่าว่าจะยุติเมื่อใด หรือเท่าไหร่ ประเทศไทยจำเป็นต้องหันมาพัฒนาระบบรางมาสนับสนุน เพื่อลดต้นทุนลอจิสติกส์ให้ได้
แม้ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะรัฐมนตรี จะมีมติให้พัฒนาการขนส่งระบบรางทั่วประเทศ 3 แสนล้านบาท โดยส่วนตัวเห็นว่า เป็นไปไม่ได้ภายใต้โครงสร้างของการรถไฟฯที่เป็นอยู่ขณะนี้
นายยู กล่าวอีกว่า ที่จริงแล้วรัฐบาลไม่จำเป็นต้องใช้งบสูงถึง 3 แสนล้านบาท เพื่อพัฒนาการขนส่งระบบรางครอบคลุมทั่วประเทศ แต่น่าจะปรับแผนหันมาพัฒนาระบบรางเชื่อมเพียงหัวเมือง 3 เส้นทางหลัก คือ
1. กรุงเทพฯ นครสวรรค์ (245 กม. ถ้าแค่หนองปลิง หรือ 250 กม. ถ้าข้ามคลองบรเพ็ดไปโรงรถจักรปากน้ำโพ)
2. กรุงเทพฯ-นครราชสีมา (264 กม. ถ้าแค่แถวตลาดหัวรถไฟ หรือ 266 กม. ถ้าไปถึงถนนจิระ)
3. กรุงเทพฯ เพชรบุรี (166 กม.) แต่จะให้เด็ดดวงจริงๆ ต้องกรุงเทพ - หัวหิน (229 กม.)
ซึ่งแต่ละเส้นทางมีระยะเพียง 150 กิโลเมตร(กม.) โดยให้รถไฟในช่วงนี้วิ่งได้ด้วยความเร็ว 160-200 กม./ชม. ซึ่งเมื่อสินค้าที่ขนส่งมาทางรถจากภูมิภาคต่าง ๆ เข้ามาถึงทั้ง 3 จังหวัดก็เปลี่ยนมาใช้รถไฟได้ จะช่วยลดปริมาณการใช้รถ-ใช้ถนนเข้ากรุงเทพฯ ได้ไม่น้อยกว่า 40%
//----------------------------------------------------------------- |
|
Back to top |
|
|
BanPong1
1st Class Pass (Air)
Joined: 07/12/2006 Posts: 2733
Location: กม.37 สายเหนือ, กม.68 สายกาญจนบุรี
|
Posted: 01/07/2008 5:51 pm Post subject: |
|
|
Wisarut wrote: |
ด้านนายยู เจียรยืนยงพงษ์ ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารสมาคมขนส่งทางบก เปิดเผยว่า การขนส่งเมืองไทยยังจำเป็นต้องใช้รถอยู่ แต่ภายใต้วิกฤตน้ำมันแพงที่ไม่มีทีท่าว่าจะยุติเมื่อใด หรือเท่าไหร่ ประเทศไทยจำเป็นต้องหันมาพัฒนาระบบรางมาสนับสนุน เพื่อลดต้นทุนลอจิสติกส์ให้ได้
แม้ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะรัฐมนตรี จะมีมติให้พัฒนาการขนส่งระบบรางทั่วประเทศ 3 แสนล้านบาท โดยส่วนตัวเห็นว่า เป็นไปไม่ได้ภายใต้โครงสร้างของการรถไฟฯที่เป็นอยู่ขณะนี้
นายยู กล่าวอีกว่า ที่จริงแล้วรัฐบาลไม่จำเป็นต้องใช้งบสูงถึง 3 แสนล้านบาท เพื่อพัฒนาการขนส่งระบบรางครอบคลุมทั่วประเทศ แต่น่าจะปรับแผนหันมาพัฒนาระบบรางเชื่อมเพียงหัวเมือง 3 เส้นทางหลัก คือ
1. กรุงเทพฯ นครสวรรค์ (245 กม. ถ้าแค่หนองปลิง หรือ 250 กม. ถ้าข้ามคลองบรเพ็ดไปโรงรถจักรปากน้ำโพ)
2. กรุงเทพฯ-นครราชสีมา (264 กม. ถ้าแค่แถวตลาดหัวรถไฟ หรือ 266 กม. ถ้าไปถึงถนนจิระ)
3. กรุงเทพฯ เพชรบุรี (166 กม.) แต่จะให้เด็ดดวงจริงๆ ต้องกรุงเทพ - หัวหิน (229 กม.)
ซึ่งแต่ละเส้นทางมีระยะเพียง 150 กิโลเมตร(กม.) โดยให้รถไฟในช่วงนี้วิ่งได้ด้วยความเร็ว 160-200 กม./ชม. ซึ่งเมื่อสินค้าที่ขนส่งมาทางรถจากภูมิภาคต่าง ๆ เข้ามาถึงทั้ง 3 จังหวัดก็เปลี่ยนมาใช้รถไฟได้ จะช่วยลดปริมาณการใช้รถ-ใช้ถนนเข้ากรุงเทพฯ ได้ไม่น้อยกว่า 40%
//----------------------------------------------------------------- |
ถ้าภาคขนส่งทางบกเอกชน (จริงๆในที่นี้คือระบบรถยนต์) มีความเห็นอย่างนี้
และเข้าใจเรื่อง Multi mode transportation อย่างครบองค์รวม
ก็น่าจะส่งเสียงให้ดังกว่านี้ครับ และอยากเห็นเป็นรูปธรรมด้วยครับ
ขอปรบมือให้ และเชียร์ครับ |
|
Back to top |
|
|
nathapong
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 3515
Location: Ayuthaya - Lamlukka - Navanakhon - Silom
|
Posted: 03/07/2008 11:51 am Post subject: |
|
|
BanPong1 wrote: | ถ้าภาคขนส่งทางบกเอกชน (จริงๆในที่นี้คือระบบรถยนต์) มีความเห็นอย่างนี้
และเข้าใจเรื่อง Multi mode transportation อย่างครบองค์รวม
ก็น่าจะส่งเสียงให้ดังกว่านี้ครับ และอยากเห็นเป็นรูปธรรมด้วยครับ
ขอปรบมือให้ และเชียร์ครับ |
ประเด็นเรื่องนี้ มีสองสามแนวครับพี่ บ้านโป่ง1
แนวแรก ใช้การบริหารรถเที่ยวเปล่า
จากกลุ่มเส้นทางเป้าหมาย เช่น อิสานเหนือ จาก ขอนแก่น โคราช อยุธยา ปทุมธานี ท่าเรือกรุงเทพ ไอซีดี และท่าเรือแหลมฉบัง เส้นทางนี้ จะรวมไปถึงการส่งเข้าไปที่สปล สองเส้นทาง ที่หนองคาย และมุกดาหาร
(เส้นนี้มีผู้ให้บริการหลายคน บ่นๆ กันตามประสาว่า เสียเวลาการขนถ่ายระหว่างรถข้ามแดน+ค่าใช้จ่ายที่ไม่ควรจะเสีย อย่างนึง กฎระเบียบระหว่างประเทศ ที่ต้องรอเวลาทำการของราชการ ทั้งสองประเทศจนกว่า กรณีนี้จะบรรเทาลงบรรดาข้อตกลง ทั้งหลายผ่านเป็นกฎหมาย สู่ภาคปฎิบัติ คงราว ๆ อีกสองสามปี เป็นอย่างเร็ว อะครับ)
โต้โผ คือหอการค้าของแก่น กับ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับผู้ประกอบการขนส่งและ บ.ไปรษณีย์ไทย
ปัญหา คือ 1.การจัดการในสินค้าเกษตร สินค้าอุตสาหกรรม และพลังงาน กับรถที่ใช้แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม ไม่ค่อยลงตัว ประเด็นนึง
2. กลุ่มสินค้าเกษตร จะใช้บริการเป็นฤดูกาล แต่สินค้าอุตสาหกรรมจะมีตลอดเวลา
3.ส่วนของใหม่คือ สินค้าเกษตรที่เป็นพลังงานทดแทน กับการใช้รถบรรทุกที่มีถังประจำและของที่บรรจุไม่สามารถนำไปใช้ร่วมกับอย่างอื่น ๆได้
เรื่องนี้มีรายละเอียดอีกเยอะแยะครับ ขอกล่าวโดยรวม ๆ ไว้ก่อน
---------------------------------------------------------
กลุ่มที่สอง คือ อย่างที่คุณยูแกกล่าวคือ เอาระรบบ Multimodal Transport แต่ข้ออุปสรรค อยู่ที่ระบบรางที่ไม่ตอบรับได้เต็มที่ จากปัญหา ความจุของทาง รถจักร ล้อเล่น เอ็ยล้อเลื่อนที่ไม่เพียงพอ ที่ต้องพิจารณา คือการให้จุดร่วมระหว่างระบบถนนกับรางเชื่อมด้วยกันและการลงทุนสร้าง ศูนย์กระจายสินค้า ใครจะเป็นเจ้าภาพ เพราะหลาย ๆอย่างสร้างไปแล้ว กล่าวโดยรวม ๆ ว่า การจัดการตั้งแต่ ใครจะเป็นเจ้าภาพ และการบริหารงบประมาณ และการใช้งาน ที่ศึกษาและลงมือทำไปแล้ว ที่ไม่คืบหน้า ควรจะเอามาพิจารณา ปัจจัยต่าง ๆด้วยครับ
-----------------------------------------------------------------
ส่วนกลุ่มที่สาม คือ การสร้างรถที่ใช้งานร่วม ในระบบถนนและระบบราง ประเด็นนี้ถ้ามอง ๆ ข้อจำกัด จากที่กรมการขนส่งทางบก และการรถไฟต้องพิจารณาทั้งความยาว นำ้หนักลงเพลา และโครงสร้างการบรรทุกของระบบราง ที่เหมาะสมอยู่ที่ไหน และกฎระเบียบรถดังกล่าว เดี๋ยวไปติดปัญหาข้อกฎหมาย ตามกฎหมายอื่นๆ หรือไม่ เพราะปัญหา การใช้ตู้ ไฮคิว ในปัจจุบัน ยังปลดล็อกปัญหานี้ ไม่จบครับ
-----------------------------------------------------------
เฮ้อ พิมพ์ซะเมื่อยมือ ขอเวลาไปนวด.... สักแป็บ อ่าครับ |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42749
Location: NECTEC
|
Posted: 08/07/2008 10:24 am Post subject: |
|
|
ลูกกรอกอัดงบสร้างรถไฟฟ้าเพิ่ม 7.7 แสนล.อ้างต้นทุนวัสดุก่อสร้างพุ่ง
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 8 กรกฎาคม 2551 08:31 น.
รมว.คมนาคม เตรียมประเมินกรอบวงเงินสร้างรถไฟฟ้าใหม่ โดยจะเพิ่มจาก 5 แสนล้าน เป็น 7.7 แสนล้าน ระบุ ต้นทุนยังไม่นิ่ง ราคาวัสดุพุ่งไม่หยุด
วันนี้ (7 ก.ค.) มีรายงานข่าวแจ้งว่า กระทรวงคมนาคม แสดงความเป็นห่วงกรอบวงเงินโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าทุกเส้นทาง ยังไม่นิ่ง จากผลกระทบต้นทุนพุ่งไม่หยุด เตรียมทบทวนกรอบวงเงินโครงการรถไฟฟ้าทุกเส้นทางจาก 7.7 แสนล้านบาท ซึ่งมีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้น หลังจากเห็นกรอบวงเงินโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต ที่ปรับขึ้นมาเป็น 7.7 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่คาดไว้ที่ 5.9 หมื่นล้านบาท และยังอาจพุ่งต่อไปอีก
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม กล่าวว่า จะมีการประเมินกรอบวงเงินรวมโครงการรถไฟฟ้าที่ 7.7 แสนล้านบาท อีกครั้ง ว่า จะต้องปรับเพิ่มหรือไม่ แต่คาดว่าในปีนี้คงจะยังอยู่ภายใต้กรอบ 2 แสนล้านบาท แต่ในปี 2552 คงจะเห็นชัดเจนว่ากรอบวงเงินทั้งหมดจะปรับไปอย่างไร เพราะต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 5 แสนล้านบาท และมีปัจจัยราคาเหล็กที่อาจปรับลดลง หลังจากความต้องการในจีนลดลง
กรอบวงเงินที่เพิ่มขึ้นเราต้องชี้แจงต่อสาธารณชนได้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร ส่วนโครงการอื่นๆ เช่น สายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค ซึ่งมีแนวโน้มว่ากรอบวงเงินจะต้องเพิ่มขึ้น ก็จะให้ปรับปรุงกรอบวงเงินให้ตรงกับความเป็นจริง แต่จะชี้แจงรายละเอียดให้โปร่งใส และยืนยันว่าจะไม่มีการปรับลดเนื้องาน หรือระยะทางของโครงการรถไฟฟ้า เพราะถือว่าโครงข่ายเดิมดีอยู่แล้ว นายสันติ กล่าวภายหลังการหารือร่วมกับผู้แทนจากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น(เจบิก)
ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต ที่ปรับเพิ่มวงเงินก่อสร้างเป็น 7.7 หมื่นล้านบาทนั้น เป็นเพราะมีการปรับเพิ่มเนื้องานด้วยการเพิ่มขนาดของสถานีรถไฟฟ้าบางซื่อ และผลกระทบจากราคาวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้น ซึ่งได้มอบหมายให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จัดทำรายละเอียดแจกแจง
สำหรับโครงการรถไฟฟ้าที่จะใช้เงินกู้จากเจบิก คือ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ กรอบวงเงิน 3.6 หมื่นล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต กรอบวงเงิน 7.7 หมื่นล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน กรอบวงเงินประมาณ 5 หมื่นล้านบาท
ขณะที่โครงการที่เหลือจะใช้เงินกู้ในประเทศ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อน ช่วง แบริ่ง-สมุทรปราการ |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42749
Location: NECTEC
|
Posted: 10/07/2008 9:57 am Post subject: |
|
|
กมธ.เร่งคมนาคมเดินหน้าเมกะโปรเจ็กต์
ไทยโพสต์ 10 กรกฎาคม 2551 กองบรรณาธิการ
กรรมาธิการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎรจี้คมนาคมสร้างรถไฟทางคู่ รถไฟฟ้า 9 สายทาง "สันติ" หวั่นปัญหาการเมืองลาท นักลงทุนต่างชาติญี่ปุ่นไม่กล้าเข้า ยันเดินหน้าเมกะโปรเจ็กต์ต่อ
ด้านกรมทางหลวงชนบทดันถนนปลอดฝุ่น 7,000 กิโลเมตร วงเงิน 3.4 หมื่นล้านบาท
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม กล่าวภายหลังคณะกรรมาธิการการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร ตรวจเยี่ยมเพื่อวางกรอบแนวทางการพัฒนาและภารกิจสำคัญของกระทรวงคมนาคม ว่า คณะกรรมาธิการฯ ได้ให้ความสนใจเรื่องการก่อสร้างรถไฟรางคู่ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) และขนาดของรางรถไฟที่จะมีการขยายจาก 1 เมตร เป็น 1.45 เมตร พร้อมเร่งรัดให้มีการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนรถไฟฟ้าทั้ง 9 สายทาง รวมถึงการนำระบบรถรับส่งประชาชนจากที่อยู่อาศัยไปยังสถานีรถไฟฟ้า (Feeder) ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจประชาชนจอดรถไว้ที่บ้านและใช้บริการดังกล่าว ซึ่งจะช่วยประหยัดเงินได้ประมาณ 10,000 บาท ต่อรถ 1 คันต่อเดือน
นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมมีแนวคิดจะดึงนักลงทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนก่อตั้งโรงงานประกอบรถไฟฟ้าในไทย ซึ่งเร็วๆ นี้จะหารือร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมทั้งเชิญชวนผู้สนใจเข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งจะทำให้ระบบตัวรถไฟฟ้าถูกกว่าการนำเข้า
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีนักลงทุนจากญี่ปุ่นหลายรายให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในระบบสาธารณูปโภคของไทย แต่ยอมรับว่าหากสถานการณ์ทางการเมืองของไทยยังอ่อนไหวอยู่ อาจเป็นตัวแปรสำคัญต่อการตัดสินใจชะลอการลงทุนได้ แต่อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าโครงการเมกะโปรเจ็กต์อย่างการก่อสร้างรถไฟฟ้ายังคงเดินหน้าต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมาธิการฯ ให้ความสนใจเกี่ยวกับโครงการลาดยางถนนของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) มีระยะทางประมาณ 7,000 กิโลเมตร ใช้งบประมาณก่อสร้าง 33,942 ล้านบาท พร้อมทั้งให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินโครงการอย่างเร่งด่วน โดย ทช.กำลังพิจารณาหาแหล่งเงินกู้ในประเทศ คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้
สำหรับผู้รับเหมาที่จะเข้ามารับงานน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 500 ราย โดยลักษณะงานก่อสร้างจะเป็นแบบถนน 2 เลน คาดว่าภายในเดือน ก.ค.นี้ จะเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อรับทราบต่อไป ซึ่งภายหลังกระทรวงและ ครม.เห็นชอบ สามารถดำเนินโครงการได้ทันที คาดว่าจะแล้วเสร็จในกลางปี 2553. |
|
Back to top |
|
|
|