View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
donatt76
1st Class Pass (Air)
Joined: 03/09/2006 Posts: 2587
Location: บางนา สุวรรณภูมิครับ
|
Posted: 28/02/2009 1:38 am Post subject: |
|
|
ตอบอย่าง Hardcore หน่อยนะครับ
ประเทศนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ...
- พูดจาหมิ่นประมาท ทำให้คนอื่นเสื่อมเสีย โดนฟ้อง แต่ไปฟ้องกลับคนอื่นฐานทำให้เสียรายได้ (ใครหวา???)
- ขับรถสวนเลน ไปชนรถที่ออกจากซอย...แต่เป็นฝ่ายถูก เพราะขับทางเอก (ซะงั้น)
- รถไฟวิ่งอยู่บนรางแท้ๆ ชนรถยนต์โครมเดียว แต่กลายเป็นจำเลย เพราะไม่สร้างที่กั้น (ไม่มองกันว่า คนขับรถขับโดยประมาท ผิดกฎจราจรมั่ง)
ทุกท่านมีสิทธิจะฟ้องรับ....เรื่องนี้ดูกันยาว กว่าจะสู้กันครบ 3 ศาล ไม่ต่ำกว่า 5 ปี....
แต่เมื่อมีคำพิพากษาแล้ว...ควรใช้เป็นบรรทัดฐาน สำหรับทางตัดทางรถไฟทุกแห่งนะครับ (ควรมีที่กั้นทุกแห่งมั้ย? ทางลักผ่านควรทำรั้วลวดหนาม ตั้งแนวเหล็กเจาะยาง เลยมั้ย?) _________________
Last edited by donatt76 on 28/02/2009 9:28 am; edited 1 time in total |
|
Back to top |
|
|
pattharachai
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 6536
Location: ราชอาณาจักรไทย
|
Posted: 28/02/2009 8:13 am Post subject: |
|
|
^
^
^
อ่านที่พี่โดนัทเขียน ก็นึกถึงเรื่องตลกเมื่อหลายปีก่อน มีคนไปโวยวายในเวบบอร์ดสาธารณะแห่งหนึ่งว่าถูกตำรวจจับ เพราะตัวเองขับรถย้อนศร เนื่องจากมีหลักฐานชัดเจนเพราะดันจอดรถหันหัวสวนทางชาวบ้าน ยังอุตส่าห์ถ่ายรูปมาลง แต่ในที่สุดก็โดนด่าจากคนทั้งกระทู้หละครับ เพราะใครอ่านใครเห็นภาพก็รู้ว่าผิด จนเจ้าตัวต้องรีบลบรูปแทบไม่ทัน
อาจไม่เกี่ยวกับหัวข้อเท่าไหร่นะครับเคสนี้
----------------- |
|
Back to top |
|
|
CivilSpice
1st Class Pass (Air)
Joined: 18/03/2006 Posts: 11192
Location: หนองวัวหนุ่มสเตชั่น
|
Posted: 28/02/2009 9:17 am Post subject: |
|
|
^^
จำได้ว่านอกจากจะถูกเขาด่ามาทั้งบอร์ดแล้ว ยังมีหน้าทำตัวเกรียนไปด่าสุภาพสตรีท่านนึงแบบไม่ให้เกียรติและไม่สุภาพอีกด้วย (ประมาณว่าจนตรอกสุดๆ ไม่รู้จะแถไปทางไหน ก็เลยด่ามันตรงๆ นี่ล่ะ) สุดท้ายตัวเองก็กลืนเสลดที่คายไว้ กลับมา Edit ข้อความในบอร์ดและลบรูปที่โพสต์ไว้ เป็นคำว่า "น่ากลัวจริงๆ" ไปหมดทุกโพสต์ (ที่เราเอามาเล่นในบ้านนี้จนติดปากนั่นแหล่ะ) .... แหม ... ถ้าคิดจะเกรียน ก็ให้มันกล้าๆ หน่อย
ขออภัยครับที่ข้อความที่โพสต์ อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับกระทู้นี้เลย |
|
Back to top |
|
|
mahachai_drc
VIP Member
Joined: 06/11/2006 Posts: 758
Location: เมืองประมง ดงโรงงาน ลานเกษตร เขตประวัติศาสตร์
|
Posted: 28/02/2009 12:00 pm Post subject: |
|
|
เรื่องการฟ้องร้องรถไฟ หรือฟ้อง พขร.มีให้เห็นบ่อยครับ ของสม.ก็เคยฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก การรถไฟฯและพขร.70ล้านเป็นค่าชดเชย ถ้าหากไม่โดนอุบัติเหตุ จะต้องมีรายได้จากการประกอบอาชีพ ปีละเท่าไหร่ชดเชยไปกี่ปี... ยีดเยื้อมานานหลายปี ก็จบลงที่ เป็นความประมาทของคนขับรถยนต์เอง |
|
Back to top |
|
|
pak_nampho
1st Class Pass (Air)
Joined: 25/06/2007 Posts: 2371
Location: คนสี่แควพลัดถิ่น ทำมาหากิน ที่เกาะภูเก็ต
|
Posted: 28/02/2009 1:36 pm Post subject: |
|
|
เห็นใจผู้ปกครองเด็กนักเรียนที่ต้องสูญเสียบุตรก่อนวัยอันควรครับ...
แต่ก็ขอเป็นกำลังใจให้ พขร และการรถไฟ ฯ หักล้างข้อกล่าวหาฟ้องร้องครับ... _________________ +++++++++++++++++ ๑๑๖ ปี รถไฟไทยก้าวไกล....จากรถจักรไอน้ำ +++++++++++++++++
....................บุตร ครฟ. พขร.ตรี แขวงรถพ่วงปากน้ำโพ ................... |
|
Back to top |
|
|
sannithi
3rd Class Pass
Joined: 07/10/2010 Posts: 94
|
Posted: 12/08/2011 4:27 pm Post subject: |
|
|
ผมขออนุญาตแสดงความคิดเห็น(เรื่องเก่าที่ผ่านมาแล้ว)นะครับ ในฐานะที่ผมก็เป็นนักกฎหมายคนนึง คือ
บางครั้งการที่เราจะรีบฟันธงเรื่องราวอะไร หรือจะชี้ขาดว่าใครมีความผิดในทีเดียวเลยนั้นคงไม่ใช่วิธีที่ถูกที่ควรแน่ครับ บางครั้งคนที่ไม่รู้เรื่องราวว่าเป็นเช่นไร มีความเป็นมาหรือมีที่มาอย่างไรแล้วไปทึกทักสรุปเอาเองโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าคนนู้ผิด คนนู้นทำ ก็อาจจะตีความผิด ฟันธงผิด จนเป็นเหตุให้มีการหมิ่นประมาทกันเกิดขึ้นครับ
ถ้าเป็นตามหลักทางกฎหมาย เรื่องนี้ถามว่าใครประมาท ก็ต้องตอบว่าประมาททั้งคู่แหละครับ หรือเรียกภาษากฎหมายว่าต่างคนต่างประมาท(ในทางอาญาส่วนมากไม่ใช่คำว่าประมาทร่วมอย่างที่คนทั่วไปพูดกันนะครับ เขาใช้คำว่าต่างคนต่างประมาทครับ แต่ที่พูดกันทั่วไปว่าประมาทร่วมก็น่าจะแสดงให้เห็นและเข้าใจกันง่ายๆว่าประมาททั้งคู่ละมั้งครับ)
กรณีรถไฟ พขร.เมื่อขับรถไฟมาถึงที่ใดก็ตามที่มีการจราจรพลุกพล่านหรือชั่วโมงเร่งด่วน(เป็นเวลาเลิกเรียนเลิกงาน) ก็ควรที่จะชะลอความเร็ว หรือเบาทางลง เพราะช่วงเวลานั้นๆไม่ต้องบอกก็รู้ว่ารถก็คงติดกันน่าดูครับเพราะเป็นเวลาเลิกงานหรือเลิกเรียน ดังนั้นเมื่อพฤติการณ์ฟังได้ว่า เวลาเกิดเหตุเป็นเวลาที่มีการจราจรพลุกพล่านหรือชั่วโมงเร่งด่วน ถ้า พขร.ยังคงเร่งความเร็วโดยไม่ชะลอหรือเบาทางก็คงมีความผิดฐานประมาทด้วย เพราะโดยปกติวิสัยของคนทั่วไปย่อมต้องรู้และคระหนักว่ามีการจราจรพลุกพล่านและติดขัด ย่อมอาจมีอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้นในทางข้างหน้าก็ได้ ไม่จำต้องเอากฎหมายหรือเอาพรบ.ของอะไรในประเทศมาอ้างได้หรอกครับถ้าข้อเท็จจริงสืบได้ว่า พขร.ยังขับด้วยความเร็ว และไม่เบาทางทั้งๆที่รู้ว่าเป็นชั่วโมงเร่งด่วน การจราจรติดขัด ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นโดยรถไฟชนกับรถที่วิ่งอยู่ พขร.ย่อมมีความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่น... จะอ้างเหตุสุดวิสัยหาได้ไม่ ส่วนใหญ่จะอ้างว่ารถไฟไม่ผิดเพราะมาทางตรง มาทางของเขาอยู่แล้ว จะผิดได้ไง แต่ถ้าสืบทราบได้ว่าเป็นเช่นที่ผมบอกก็มีความผิดครับ แม้ พขร.จะเปิดหวีดสักกี่ครั้งก็ตามครับ ในเมื่อเวลานั้นมันมีการจราจรพลุกพล่านและติดขัด (เหมือนเวลาคุณขับรกยนต์ด้วยความเร็วไปแถวสีลม ตอนเลิกงาน วันจันทร์ คุณบีบแตรไล่คันข้างหน้าขนาดไหนเขาก็ไม่สามารถที่จะหนีหรือหลีกรถเราได้หรอกครับ เมื่อเกิดการชนเกิดขึ้นคุณจะมาอ้างว่าคุณบีบแตรเตือนเขาแล้วหลายครั้ง หาได้ฟังขึ้นไม่ครับ)และแม้จะมีเครื่องกั้นหรือไม่มี เรื่องนี้ก็อาจจะถูกยกมาเป็นข้อต่อสู้ของอีฝ่ายหนึ่งได้ครับ เพราะส่วนมากก็จะอ้างเรื่องการรถไฟไม่มีเครื่องกั้นนำหน้าทุกครั้ง จริงๆแล้วทั้งสองฝ่ายย่อมต้องใช้ความระมัดระวังทั้งคู่อยู่แล้ว จึงผิดเพราะประาทด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละครับ ก็ไปต่อสู้กันในชั้นศาลเรียกร้องค่าเสียหายกัน(คนขับรถส่งนักเรียนกับการรถไฟ)
ส่วนกรณีคนขับรถส่งนักเรียนนี่ก็ผิดเต็มๆอยู่แล้วครับ ข้อหาประมาทเหมือนกัน ในเมื่อจะข้ามทางรถไฟที่ไม่มีเครื่องกั้น(หรือไม่มีเครื่องกั้นก็ตาม) ย่อมต้องใช้ความระมัดระวังเป็นที่สุด ส่วนใหญ่รถที่โดนรถไฟชนเพราะคนขับทะนงตัวว่าตัวเองเก่ง รอดอยู่แล้ว และความสะเพร่ารวมทั้งประมาทเลินเล่อด้วย จึงตามมาด้วยความสูญเสีย ทั้งจากข้อเท็จจริง พขร.เองเขาก็เปิดหวีดเตือนแล้วแต่ก็ไม่ใช้ความระมัดระวังให้เต็มที่ จึงมีความผิดฐานประมาท...เช่นกันครับ
บางครั้งคนที่ไม่รู้กฎหมายอย่างแท้จริงเข้าข้างใครแล้วข้างนั้นแพ้คดีก็จะตีความไปต่างๆนานา หาว่ายัดเงินตำรวจบ้าง ติดสินบน (เจ้าพนักงานอัยการ) บ้าง ศาลไม่ยุติธรรมบ้าง (อย่าไปทำต่อหน้าศาลนะครับ เดี๋ยวโดนละเมิดอำนาจศาลเข้า อิอิ) โดยอ้างเหตุผลตามความรู้สึกหรือใครหัวหมอก็อ้างตามกฎหมายแพ่งและอาญา แต่หารู้ไม่ว่า ทั้งกฎหมายพ่งและอาญา ยังมีวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความอาญาอยู่ ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอาจจะมาแพ้กันตรงนี้ก็ได้ เช่น นาย ก ข่มขืนนาง ข ในเวลากลางคืน เป็นคืนเดือนมืด ทั้งที่นาง ข รู้ว่าเป็น นาย ก แต่ ไม่เห็นหน้า นาย ก และไม่รู้ว่า นาย ก ตอนนั้นใส่เสื้อสีอะไร ประจบวกับไม่มีประจักพยานคนไหนเห็นเหตุการณ์ด้วย (ไม่นับการตรวจคราบอสุจิเหมือนในปัจจุบันนะครับ เพราะสมัยก่อนวิวัฒนาการยังไม่ล้ำหน้าเท่าปัจจุบันครับ) ด้วยเหตุนี้เมื่อสืบทราบไม่ได้ว่าใครข่มขืนและหาพยานหลักฐานมาสืบหักล้างได้ ย่อมต้องด้วย ม.226 ของ ป.วิ.อาญา คือ... เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยให้ยกประโยชน์ให้จำเลย... สรุป นาย ก รอดครับ บทสรุปความโชคร้ายก็มาตกอยู่ที่ศาลเหมือนคดีต่างๆในปัจจุบันครับ เพราะคนคิดว่าศาลนั้นไม่ยุติธรรมเหมือนชื่อ แต่ถ้าใครได้เข้ามาสัมผัสแล้วจะรู้ว่าศาลยุติธรรมแน่ครับ
อนึ่งผู้เสียหายเองคือพ่อแม่ของเด็กก็คงจะงงนิดหน่อยว่าแล้วจะฟ้องใครให้รับผิดล่ะ ก็ฟ้องได้ทั้งสองฝ่ายนั่นแหละครับคือ คบขับรถยนต์ กับ คนขับรถไฟ(การรถไฟ) (จำเลยที่ 1 และ จำเลยที่ 2 ) แต่ยังไงเสีย การรถไฟก็ต้องฟ้องคนขับรถยนต์ดังกล่าวต่างหากด้วยในการเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง ต้องดูเรื่องผู้เสียหายของ ป.วิอาญาดีๆนะครับ อย่าเพิ่งรีบสรุป เพราะถ้ามีส่วนร่วมในการกระทำผิด ไม่ใช่ผู้เสียหาย เช่น นายแดงขับรถคุยโทรศัพท์แล้วผ่าไฟแดงชนกับรถของนายดำซึ่งไม่มีใบขับขี่และมัวแต่คุยโทรศัพท์ขับรถพรวดออกมาจากซอยโดยไม่มองซ้ายมองขวา เช่นนี้เป็นต่างคนต่างประมาท ไม่มีใครเป็นผู้เสียหายนอกจากรัฐครับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะฟ้องร้องกันไม่ได้ ทั้งสองคนก็ไปฟ้องเรียกค่าเสียหายแล้สู้คดีกันในชั้นศาลในส่วนของแพ่งต่อไปครับ
(เป็นที่น่าสงสัยกันใช่มั้ยครับว่าทำไมคนขับรถชนตูดคันหน้าจึงผิดตลอด ก็ทำนองเดียวกันนี่แหละครับ ในเวลาที่การจราจรพลุกพล่านและติดขัด เป็นปกติวิสัยของคนขับรถทุกคนที่จะต้องพึงระลึกเสมอว่า ขับรถไวไม่ได้ และต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เมื่อคุณขับไม่ระวัง ไม่เว้นช่วงห่างระหว่างคันให้ดี แล้วเกิดเบรคไม่ทันไปชนรถคันหน้า คุณจึงมีความผิดไงครับ อธิบายง่ายๆเช่นนี้ครับ)
ปล.ที่ผมขอแสดงความคิดเห็นมาทั้งหมดนี้ไม่ได้แปลว่าผมพูดถูกทุกเรื่องนะครับ และผมไม่ได้กล่าวหาหรือหมิ่นประมาทฝ่ายใดและต้องกล่าวขออภัยถ้าได้พาดพิงถึงใครในการยกตัวอย่างให้เห็นภาพยิ่งขึ้น และอาจจะพูดไม่ถูกหลักกฎหมายเสียทั้งหมด ทั้งนี้ทั้งนั้นอยู่ที่พฤติการณ์ในขณะเกิดเหตุและอาจมีประเด็นอื่นของข้อเท็จจริงที่ต่างฝ่ายต่างยกมาเป็นข้อต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามได้เสมอครับ
(สรุปว่าต้องเปลี่ยนเป็นกระทู้เรื่องกฎหมายมั้ยครับเนี่ย อิอิ ) เอาใจช่วยทั้งคู่นะครับ ในความคิดส่วนตัวผม ผมคิดว่าต้นเหตุมันเกิดขึ้นเพราะคนขับรถรับส่งนักเรียนนี่แหละครับ ไม่ต้องโทษใครเลย รถไฟเขาไม่ได้มีหน้าที่ที่ต้องมาเบาทางทุกทางข้ามที่ไม่มีเครื่องกั้นนี่ครับ ถ้าคุณใช้ความระมัดระวังให้ดี ก่อนข้ามทางรถไฟ เพราะรู้และเห็นอยู่เป็นประจำ(ทุกวันหรือเกือบทุกวัน)ว่าทางข้ามนั้นไม่มีเครื่องกั้นก็ไม่ใช้ความระมัดระวังให้ดี บทสรุปเลยต้องมีความสูญเสียเกิดขึ้นเช่นนี้แหละครับ |
|
Back to top |
|
|
|