View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42789
Location: NECTEC
|
Posted: 14/06/2009 2:20 pm Post subject: |
|
|
^^^^
จะโทษใครดีหละ เพราะปี 2482 รัฐบาลท่านมีมติ ครม. (29 ธค.2482) ก็ให้ตัดระยะการสร้างทางรถไฟ จากขอนแก่น ไปหนองคายไว้ที่ อุดรธานี โดยอ้างว่าหนองคาย และ เวียงจันทน์ คนน้อย ไม่คุ้มจะต่อระยะจากอุดร (ที่มั่นทางทหาร) ไปหนองคาย เพื่อขนเครื่องสีข้าวไปตั้งริมโขง เพราะสามารถสร้างถนนดินลูกรังทับทางเกวียน จากอุดรไปหนองคายได้ ซึ่งถูกกกว่ากัน 4 เท่า แถมยังสำทับอีกว่าหมดยุครถไฟแล้ว สร้างทางหลวงเพื่อกระจายให้ทั่วถึงจะดีกว่า
แต่เอาเข้าจริง สร้างได้แต่เฉพาะ ถนนดินลูกรัง สาย อุดร - สกลนคร - นครพนม (ทางหลวงสาย 22) เพราะ ติดสงคราม ซื้อราง และสะพานเหล้กจากยุโรปมาไม่ได้
ตอนที่สร้างทางสายอุดรเสร็จ ก็ขน ครฟ. + คนงานกะสร้่างทางรถไฟไปภูเก็ต ยุคดีบุกมีค่ามากหลาย ก็ดันติดสงคราม พอญี่ปุ่นบุก ก็ขอให้ญี่ปุ่นช่วยทางรถไฟสายไปภูเก็ต แต่ญี่ปุ่นไม่เอา เพราะไม่อยากเสี่ยงกับเรือดำน้ำ และทุ่นระเบิด เลยให้สร้างทางรถไฟสายมรณะอันลือชื่อแทน
ครั้นพอท่านผู้นำกลับมามีอำนาจ ก็ทำได้เพียงสร้างทางไปท่าขนอน ปี 2499 โดยเอาราง 60 ปอนด์ที่ได้จากการรื้อทางสายมรณะไปสร้าง จากนั้นไม่นานก็หมดอำนาจ ทางเลยดูท่าจะตายไปตามท่าน ไม่เหมือนทางหนองคายที่มีคุณมากพอที่จะทำให้รัฐบาลสหรัฐให้เงิน 4 ล้านดอลลลาร์ (80 ล้านบาทในยุคทองบาทละ 400) สร้างให้เสร็จใน 7 เดือน |
|
Back to top |
|
|
umic2000
2nd Class Pass
Joined: 06/07/2006 Posts: 676
Location: Lenin Grad , U.S.S.R.
|
Posted: 14/06/2009 5:39 pm Post subject: |
|
|
เป็นไปตามวลีที่ว่า "ผู้ใหญ่เปลี่ยน นโยบายก็เปลี่ยนตาม" ครับ
ยิ่งช่วงที่มีการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ก็มีการเร่งขยายเส้นทางถนน ประปา ไฟฟ้าตามนโยบาย "น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี" เข้าไปในหลายพื้นที่โดยเฉพาะภาคเหนือกับภาคอีสาน เพราะเริ่มมีปัญหาภัยคุกคามจากลัทธิคอมมิวนิสต์เข้ามาแล้ว ทางรถไฟซึ่งใช้เงินทุนสูง สร้างได้ช้ากว่าก็เลยพลอยถูกลืมเลือนไป
ไม่น่าเชื่อนะครับว่าแค่เวลา 50 ปี การรถไฟฯจะถูกบอนไซจนแคระแกร็นได้ขนาดนี้ |
|
Back to top |
|
|
suraphat
1st Class Pass (Air)
Joined: 12/02/2007 Posts: 1117
Location: ดินแดง ห้วยขวาง
|
Posted: 14/06/2009 7:26 pm Post subject: |
|
|
Mongwin wrote: |
ยุบ 355/356 เมื่อไหร่ สภาพทางคงคล้ายหาดใหญ่-สงขลาครับ ขอให้การยกเลิกการเดินรถสายสงขลา เมื่อปี 2521 เป็นบทเรียนบทสุดท้ายแล้วกันครับ
บ้านที่มีเจ้าของบ้านอาศัยอยู่ทุกวัน
กับบ้านที่ไม่มีคนอยู่ จ้างคนมาดูแลทำความสะอาดเป็นระยะ
อย่างไหนจะแข็งแรง คงทนกว่ากันครับ
|
ก็นั่นสิครับ แม้แต่กระผมยังเสียดายเลยว่า ได้มีการยกเลิกขบวนรถรวมที่ 345 และ 346(ธนบุรี-สุพรรณบุรี) ที่มีอยู่ในอดีตไป ทั้งนี้ก็เพราะหากยังมีขบวนรถรวมดังกล่าวนี้อยู่ ก็จะช่วยให้มีการลำเลียงรถสินค้าได้เป็นอย่างดีอีกด้วย โดยเฉพาะเป็นขบวนรถที่นำเอา บทต. ออกมาจากเส้นทางสายนี้ เพื่อมารอที่หนองปลาดุกได้ดีอีกด้วยนะสิครับ |
|
Back to top |
|
|
BanPong1
1st Class Pass (Air)
Joined: 07/12/2006 Posts: 2733
Location: กม.37 สายเหนือ, กม.68 สายกาญจนบุรี
|
Posted: 14/06/2009 9:54 pm Post subject: |
|
|
ลองเทียบกับญี่ปุ่นดูครับ
พ.ศ.2439 (ค.ศ.1896)ประเทศไทยมีทางรถไฟ 72 กิโลเมตร ญี่ปุ่นมีทางรถไฟ (ค.ศ.1901) 1,323 กิโลเมตร (ญี่ปุ่นเริ่มมีรถไฟ ค.ศ.1881 มีระยะทาง 122 กิโลเมตร)
พ.ศ.2484 (ค.ศ.1941) ประเทศไทยมีทางรถไฟ 3,267 กิโลเมตร ญี่ปุ่นมีทางรถไฟ 18,400 กิโลเมตร
พ.ศ.2552 (ค.ศ.2009)ประเทศไทยมีทางรถไฟ 4,346 กิโลเมตร ญี่ปุ่นมีทางรถไฟ 20,900 กิโลเมตร + 3400 กม.ของเอกชน _________________
|
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42789
Location: NECTEC
|
Posted: 14/06/2009 10:00 pm Post subject: |
|
|
umic2000 wrote: | เป็นไปตามวลีที่ว่า "ผู้ใหญ่เปลี่ยน นโยบายก็เปลี่ยนตาม" ครับ
ยิ่งช่วงที่มีการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ก็มีการเร่งขยายเส้นทางถนน ประปา ไฟฟ้าตามนโยบาย "น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี" เข้าไปในหลายพื้นที่โดยเฉพาะภาคเหนือกับภาคอีสาน เพราะเริ่มมีปัญหาภัยคุกคามจากลัทธิคอมมิวนิสต์เข้ามาแล้ว ทางรถไฟซึ่งใช้เงินทุนสูง สร้างได้ช้ากว่าก็เลยพลอยถูกลืมเลือนไป
ไม่น่าเชื่อนะครับว่าแค่เวลา 50 ปี การรถไฟฯจะถูกบอนไซจนแคระแกร็นได้ขนาดนี้ |
กรณีเช่นนี้ น่าจะตรงกับที่ นายพุดซ้อนเล่าให้คุณชายคึกฤทธิ์ ฟังว่า เหตุใดปราสาทหินจึงไม่มีหลังไหนสร้างเส็จโดยสมบูรณ์
Quote: | สมเด็จองค์เดิมถึงสุรคตไป สมเด็จองค์ใหม่ไม่สร้างต่อ |
BanPong1 wrote: | ลองเทียบกับญี่ปุ่นดูครับ
พ.ศ.2439 (ค.ศ.1896)ประเทศไทยมีทางรถไฟ 72 กิโลเมตร ญี่ปุ่นมีทางรถไฟ (ค.ศ.1901) 1,323 กิโลเมตร (ญี่ปุ่นเริ่มมีรถไฟ ค.ศ.1881 มีระยะทาง 122 กิโลเมตร)
พ.ศ.2484 (ค.ศ.1941) ประเทศไทยมีทางรถไฟ 3,267 กิโลเมตร ญี่ปุ่นมีทางรถไฟ 18,400 กิโลเมตร
พ.ศ.2552 (ค.ศ.2009)ประเทศไทยมีทางรถไฟ 4,346 กิโลเมตร ญี่ปุ่นมีทางรถไฟ 20,900 กิโลเมตร + 3400 กม.ของเอกชน |
อา ... แม้แต่ สมัย สมเด็จมในกรม ปี 2466 หนังสือพิมพ์ ก็เขียนว่า กระทรวงรถไฟแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่น ลงทุน 70 ล้านเยน (สมัย 100 บาทแลกได้ 133 เ้ยน) สร้างทางคู่จากโตเกียวไปโกเบ (สายโตไกโดแน่ๆ) ถึงขนาดต้องทำทางยกระดับ สูงถึงหลังคาบ้าน ในเขตที่มีคนอยู่อาศัยกันเอยะเช่นในตัวเมือง |
|
Back to top |
|
|
OutRun
1st Class Pass (Air)
Joined: 26/05/2006 Posts: 1187
|
Posted: 15/06/2009 12:37 am Post subject: |
|
|
Mongwin wrote: |
ผมสอนนิสิตอยู่บ่อยๆ ครับว่า ประเทศไทยเคยพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่งระบบรางเป็นอย่างมากในสมัย ร.5-ร.6
แต่มาเริ่มยุคเสื่อมในสมัย 250X-ปัจจุบัน นี่แหละครับ |
ผมก็คิดทำนองเดียวกับอาจารย์เอกครับ คิดที่จะพยายามซึมซับความคิดของเด็ก ๆ ให้มีรถไฟอยู่ในหัวบ้าง ที่ผมทำได้ก็คงมีอยู่ 2 อย่างคือ
1. เอาโมเดลรถไฟไปประกอบการสอนเพื่อเป็นสิ่งดึงดูดให้เด็ก ๆ สนใจเมื่อมีโรงเรียนมาติดต่อกับทางเว็บไซต์เราให้ไปเป็นวิทยากร
2. เอาโมเดลรถไฟไปวิ่งโชว์ที่งานวันเด็ก เพื่อเป็นแม่เหล็กดึงดูดความสนใจของเด็กให้เข้ามาที่ซุ้มของ รถไฟไทยดอทคอม ของเรา
เผื่อจะซึมซับให้เด็ก ๆ รักและสนใจรถไฟขึ้นมาบ้าง เพราะทุกวันนี้ผมเห็นวงการโมเดลส่วนใหญ่จะเน้นหนักไปทาง โมเดลรถซะมากกว่า
เลยทำให้พอเด็ก ๆ โตมามักจะสนใจแต่พวกรถแต่งซิ่งซะเป็นส่วนใหญ่ รองลงมาก็เห็นจะเป็นเครื่องบินของกองทัพอากาศ
นาน ๆ ครับ ถึงจะเห็นเด็ก ๆ บ้ารถไฟเหมือนพวกเราสักที _________________ นายจักรยานกับการรถไฟ ฯ |
|
Back to top |
|
|
BanPong1
1st Class Pass (Air)
Joined: 07/12/2006 Posts: 2733
Location: กม.37 สายเหนือ, กม.68 สายกาญจนบุรี
|
Posted: 15/06/2009 9:54 am Post subject: |
|
|
OutRun wrote: | Mongwin wrote: |
ผมสอนนิสิตอยู่บ่อยๆ ครับว่า ประเทศไทยเคยพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่งระบบรางเป็นอย่างมากในสมัย ร.5-ร.6
แต่มาเริ่มยุคเสื่อมในสมัย 250X-ปัจจุบัน นี่แหละครับ |
ผมก็คิดทำนองเดียวกับอาจารย์เอกครับ คิดที่จะพยายามซึมซับความคิดของเด็ก ๆ ให้มีรถไฟอยู่ในหัวบ้าง ที่ผมทำได้ก็คงมีอยู่ 2 อย่างคือ
1. เอาโมเดลรถไฟไปประกอบการสอนเพื่อเป็นสิ่งดึงดูดให้เด็ก ๆ สนใจเมื่อมีโรงเรียนมาติดต่อกับทางเว็บไซต์เราให้ไปเป็นวิทยากร
2. เอาโมเดลรถไฟไปวิ่งโชว์ที่งานวันเด็ก เพื่อเป็นแม่เหล็กดึงดูดความสนใจของเด็กให้เข้ามาที่ซุ้มของ รถไฟไทยดอทคอม ของเรา
เผื่อจะซึมซับให้เด็ก ๆ รักและสนใจรถไฟขึ้นมาบ้าง เพราะทุกวันนี้ผมเห็นวงการโมเดลส่วนใหญ่จะเน้นหนักไปทาง โมเดลรถซะมากกว่า
เลยทำให้พอเด็ก ๆ โตมามักจะสนใจแต่พวกรถแต่งซิ่งซะเป็นส่วนใหญ่ รองลงมาก็เห็นจะเป็นเครื่องบินของกองทัพอากาศ
นาน ๆ ครับ ถึงจะเห็นเด็ก ๆ บ้ารถไฟเหมือนพวกเราสักที |
Model รถไฟ เป็นความฝันในวัยเด็กของผมเลยครับ
ตอนเด็กไม่มีเงินซื้อหรอกครับ น้าๆอาๆเขาเอาเศษไม้มาต่อกันให้เป็นขบวนรถไฟ ก็ได้จินตนาการไปอีกแบบครับ
ตอนวัยรุ่นหน่อยได้แต่ไปเดินดูตามห้าง ถ้าชุดใหญ่ๆมีกลไกบังคับ มีรางหลายๆราง ราคามันมากกว่าเงินเดือนพ่อแม่รวมกันอีกครับ
พอทำงานได้เงินเดือนเอง ดันลืมซื้อครับ มัวแต่ยุ่งกับรถยนต์จริงๆมากไปหน่อย _________________
|
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 42789
Location: NECTEC
|
Posted: 11/10/2009 2:06 am Post subject: |
|
|
ถ้ารักจะฟื้นฟูทางสายสุพรรณบุรี เห็นที จะต้องไป Link กันที่บ้านภาชี และ ต้องตัดผ่าน ท่าเรือ อยุธยา ของ ซีพี ริมแม่น้ำป่าสัก ที่อำเภอนครหลวง เสียแล้ว เพราะ มีท่าเรือใหม่ให้ล่อใจ - ตามข่าวต่อไปนี้
//----------------------------------------------------------------------------
ซี.พี.ปักธง ‘กรีนพอร์ต’ ทุ่มพันล้านผุดท่าเรือคอนเทนเนอร์
Written by Administrator
Transporrt Journal Tuesday 12 May 2009
ยักษ์ใหญ่ ซี.พี. แตกไลน์ธุรกิจ จุดพลุขนส่งทางน้ำ ยึดทำเลอำเภอนครหลวงสร้างท่าเรือคอนเทนเนอร์แม่น้ำใหญ่สุดแห่งแรกของไทย มูลค่า 1,000 ล้านบาท บริการขนส่งสินค้าทั่วไปวิ่งตรงจากอยุธยาสู่ท่าเรือแหลมฉบัง พร้อมจับมือพันธมิตรกลุ่ม SC Group ให้บริการเรือคอนเทนเนอร์ NGV เจ้าแรก พลิกโฉมสู่ “Green Port”
นายสุชาติ โรจน์พรประดิษฐ์ Vice President International Transport C.P. Intertrade Co.,Ltd ในฐานะผู้บริหาร Ayutthaya Port & ICD เปิดเผยกับ “TRANSPORT” ถึงท่าเรืออยุธยาพอร์ทและไอซีดี ว่า ถือเป็นท่าเรือคอนเทนเนอร์แห่งแรกของ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ที่สร้างขึ้นโดยกลุ่ม ซี.พี. วัตถุประสงค์หลัก คือไว้ขนส่งสินค้าของกลุ่มและบริษัทในช่วงปีแรกและรองรับสินค้าของกลุ่มลูกค้าทั่วไปบริเวณ จ.พระนครศรีอยุธยา อ่างทองและรวมถึงลูกค้าทางภาคเหนือ ที่ต้องการเปลี่ยนถ่ายตู้สินค้าบริเวณอยุธยา
ท่าเรืออยุธยาและไอซีดี ตั้งอยู่บนเนื้อที่ทั้งหมด 313 ไร่ โดยท่าเรือขณะนี้ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยใช้เงินในการลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งท่าเรือมีความยาวหน้าท่า 276 เมตร มีเครนติดตั้งหน้าท่า 3 ตัว ติดตั้งเสร็จไปแล้ว 1 ตัว และเรือสามารถเข้าจอดเทียบท่าได้พร้อมกันครั้งละ 5 ลำ โดยในต้นเดือนหน้าจะมีการทดสอบเดินเรือจากท่าเรืออยุธยาไปท่าเรือแหลมฉบังซึ่งเป็นเรือคอนเทนเนอร์ที่สั่งต่อใหม่ทั้งหมดจำนวน 24 ลำ เป็นของกลุ่ม SC Group ซึ่งเป็นพันธมิตรการค้ากับกลุ่มบริษัท ซี.พี. เป็นเรือที่ใช้ก๊าซ NGV โดยเรือ 1 ลำ สามารถบรรทุกสินค้าได้ 60 ทีอียู และสั่งต่อเฉพาะเพื่อมาวิ่งในเส้นทางนี้เท่านั้น จึงมีการปรับระดับให้เหมาะสมกับสภาพแม่น้ำ โดยเรือสามารถวิ่งได้ทั้งปี
การสร้างท่าเรือที่อยุธยา ก็เหมือนท่าเรือสาธารณะทั่วไปที่มีไว้เพื่อบริการเรือ ขณะนี้ได้ตกลงกับกลุ่ม SC ให้มาวิ่งแต่เจ้าอื่นอีก 2-3 ราย ที่ได้ทาบทามไว้ว่าจะนำเรือเข้ามาวิ่งด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการคุยรายละเอียดและเงื่อนไขที่จะตกลงร่วมกัน
“แนวคิดในการสร้างท่าเรือคอนเทนเนอร์ได้เริ่มตั้งแต่ปี 2007 เนื่องจากผลการศึกษา พบว่า ลูกค้าในบริเวณ จ.พระนครศรีอยุธยา และภาคเหนือ ต้องขนถ่ายสินค้าไปที่ลาดกระบัง ซึ่งทำให้เสียเวลาและปริมาณตู้สินค้าที่หนาแน่นเพิ่มขึ้น และไม่ทราบว่ารัฐบาลจะขยายพื้นที่เมื่อไร ประกอบกับปัจจุบันรัฐบาลได้ส่งเสริมเรื่องระบบโลจิสติกส์และการขนส่งทางแม่น้ำ บริษัทจึงสนใจที่จะสร้างท่าเรือ และในช่วงนั้นราคาน้ำมันก็ขยับตัวขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น การขนส่งทางน้ำถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะต้นทุนต่ำและจากการศึกษาของทีมงานพบว่าพื้นที่บริเวณ อ.นครหลวง มีความเหมาะสมมากที่สุด” นายสุชาติ กล่าว
นายสุชาติ กล่าวอีกว่า ในอนาคตบริษัทไม่ได้มองแค่ท่าเรือและไอซีดีบริเวณนี้เท่าไร แต่ยังมองต่อในส่วนของรถไฟรางคู่ทางภาคเหนือ ถ้ามีการสร้างแล้วเสร็จและสามารถให้บริการได้เมื่อไรเราก็พร้อมที่จะสร้างส่วนต่อออกมาที่บริเวณ อ.บ้านภาชี เพื่อให้สอดรับกับแนวรถไฟรางคู่ของรัฐบาล และสามารถขนส่งสินค้าลงเรือได้ที่ท่าเรืออยุธยา
นายกมล สัจจา ผู้จัดการทั่วไปบริษัท Dynamic Intertransport Co ; LTd. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ซี.พี. กล่าวว่า ท่าเรืออยุธยาถ้าสร้างเสร็จเต็มพื้นที่สามารถรองรับสินค้าได้ 400,000 ตู้ต่อปีและพื้นที่หลังท่าก็จะมีศูนย์กระจายสินค้าไว้รองรับ หรือในส่วนของไอซีดีซึ่งมีเนื้อที่ทั้งหมด 80 ไร่ ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของไอซีดีมีไว้เพื่อให้บริการลูกค้าทั่วไป แต่คาดว่าในช่วง 1-2 ปีแรกสินค้าส่วนใหญ่ของเป็นของบริษัทมากกว่าลูกค้าภายนอก และหลังจากนั้นจะมีลูกค้าภายนอกเข้ามาใช้บริการความพิเศษของท่าเรือคือจะเน้นให้เป็นกรีนใช้พลังงานสะอาด เช่น เรือที่มาวิ่งก็ใช้ก๊าซ NGV เครนก็ใช้ไฟฟ้า
การสร้างท่าเรือคอนเทนเนอร์ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ถือว่าเป็นจุดที่เหมาะสม เพราะอยุธยามีผู้ส่งออกรายใหญ่หลายเจ้า มีทั้งสินค้าเกษตรเครื่องใช้ไฟฟ้า เฉพาะข้าวก็มีประมาณ 300,000 ตันต่อปี และในระยะยาวจะมองถึงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มีเพิ่มมากขึ้น เพราะในบริเวณอยุธยา และใกล้เคียงมีนิคมอุตสาหกรรม และโรงงานใหญ่ๆ หลายโรง และการขนส่งทางน้ำก็สะดวกมาก เพราะสามารถส่งสินค้าไปขึ้นเรือแม่ที่ท่าเรือแหลมฉบังได้เลย ซึ่งในช่วงแรกเราจะนำร่องด้วยสินค้าของ ซี.พี. ก่อน
การขนส่งสินค้าจากท่าเรืออยุธยาไปที่ท่าเรือแหลมฉบัง จะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 22 ชั่วโมง ข้อดีคือสามารถขนสินค้าไปที่เรือแม่ได้เลย และจากการทำการตลาดโดยการสำรวจลูกค้า ลูกค้าส่วนใหญ่ให้ความสนใจที่จะเข้ามาใช้บริการ เพราะปัจจุบันลูกค้าจะขนสินค้าทางรถบรรทุกซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการขนสินค้าทางน้ำอย่างนั้น ซึ่งขณะนี้ทีมงานกำลังศึกษาอยู่ว่าการขนส่งสินค้าทางน้ำกับทางถนนไปที่ท่าเรือแหลมฉบังจะมีต้นทุนอยู่ที่เท่าไรและถูกกว่ากันกี่เปอร์เซ็นต์
“ต้นเดือนหน้าจะมีการทดลองการเดินเรือ โดยเรือที่เข้ามาครั้งแรกจะมี 4 ลำ ซึ่งเมื่อทดลองเดินเรือแล้วก็ทำให้รู้ถึงธรรมชาติการเดินเรือในเส้นทางนี้ว่าเป็นอย่างไร และมีข้อจำกัดในการเดินเรือในเรื่องไหนบ้าง ระยะเวลาจริงเท่าไร และเรือสามารถบรรทุกสินค้าได้เต็มที่จำนวนเท่าไร ทั้งนี้ หลังจากมีการทดสอบแล้วเราก็สามารถมากำหนดราคาค่าบริการได้” นายกมล กล่าว
//-----------------------------------------------------------------------------------
เกาะติดความพร้อม‘ท่าเรืออยุธยา’วิ่งตรงเข้าท่าเรือแหลมฉบัง
Written by Administrator
Transporrt Journal Saturday, 03 October 2009 09:32
ซี.พี.ผงาดท่าเรือ & ICD กวาดลูกค้า 6 นิคม 4.5 แสนตู้กลาง ก.ย.นี้
ประชาชาติธุรกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 4136 วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552
“ท่าเรืออยุธยา” ตั้งเป้ากวาดลูกค้าเขตภาคกลาง ภาคเหนือ และบริเวณนิคมอุตสาหกรรมรอบๆ จับมือ 2 พันธมิตรเปิดบริการวิ่งตรงแหลมฉบัง
นายประสิทธิ์ ดำรงชิตานนท์ ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มการค้าระหว่างประเทศ เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า การวางแนวทางโครงการก่อสร้างท่าเรือและคลังสินค้า ของบริษัทท่าเรืออยุธยาและไอซีดี จำกัด เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤติพลังงาน ขณะนี้เฟสแรกมูลค่า 1,500 ล้านบาท บนพื้นที่ประมาณ 150 ไร่ บริเวณแม่น้ำป่าสัก ห่างจากถนนสายหลักหมายเลข 239 นครหลวง-ภาชี 6 กม. และห่างจากสถานีรถไฟบ้านภาชี 16 กม. จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว - โดยลงทุนถึง 23.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อขนตู้่คอนเทนเนอร์ 450,000 TEUs และจะลงทุนเพิ่มอีก 20.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับ คลัีงสินค้าบนเนื้อที่ 313 ไร่
ท่าเรือแห่งนี้สามารถจอดเรือได้พร้อมกัน 5 ลำ สามารถรองรับตู้คอนเทนเนอร์เต็มที่ได้ 450,000 ตู้ต่อปี มีบริเวณที่จะรองรับพื้นที่เก็บกองบรรจุสินค้าจากในตู้หรือขนถ่ายสินค้าออกจากตู้กว่า 100 ไร่ ส่วนโครงการก่อสร้างท่าเรือเฟส 2 จะเริ่มดำเนินการคงต้องรอดูการใช้งานในเฟสแรกก่อน
สำหรับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ตั้งเป้ารองรับลูกค้าในเขตภาคกลาง และภาคเหนือ และบริเวณนิคมอุตสาห กรรมรอบๆ เนื่องจากที่ตั้งของท่าเรืออยุธยาและไอซีดีปัจจุบันอยู่ห่างจากนิคมสหรัตนนคร 9 กม. ห่างจากนิคมโรจนะ 22 กม. ห่างจากนิคม Hi-Tech บ้านหว้า 35 กม. ห่างจากบางปะอิน 35 กม. ห่างจากหนองแค 22 กม. ห่างจากแก่งคอย 60 กม.
ทั้งนี้ ทางกลุ่มการค้าระหว่างประเทศ ได้มีนโยบายให้ทางบริษัท ไดนามิคทรานสปอร์ต จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ รับหน้าที่รับจองตู้คอนเทนเนอร์ และทำงานด้านการตลาดหาผู้มาใช้บริการ ซึ่งช่วงแรกลูกค้าหลักจะอยู่ในกลุ่มการค้าระหว่างประเทศด้วยกัน และ บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์เองที่อยู่นอกกลุ่มการค้าระหว่างประเทศ
ส่วนลูกค้าภายนอกคงมีประมาณ 5-10% เช่น กลุ่มน้ำตาลมิตรผล และกลุ่มน้ำตาลไทยรุ่งเรือง ซึ่งเป็นพันธมิตร ที่มีการประสานงานด้านการขนส่งกันอยู่ ส่วนเรือที่ใช้ในการขนส่ง ขณะนี้มีบริษัทที่ให้บริการด้านเรือขนส่ง 2 รายมาร่วมเป็นพันธมิตร และต่อเรือเฉพาะมาขนส่งสินค้าร่วมกับบริษัทท่าเรืออยุธยาและไอซีดี ได้แก่บริษัท เอส ซี กรุ๊ป จำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัด ปิ่นเจริญ โดยเรือที่ให้บริการสามารถบรรทุกได้ถึง 1,200 ตันต่อลำ
นอกจากนี้ มีบริษัทเรือลากจูงติดต่อเข้ามาเสนอบริการ โดยเส้นทางที่เรือขนถ่ายสินค้าวิ่งจะเริ่มจากท่าเรือในแม่น้ำป่าสักไปบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยา ที่วัดพนัญเชิง ออกสู่ทะเลจนถึงท่าเรือแหลมฉบัง รวมเวลาที่ใช้ทั้งหมดไม่เกิน 12 ชั่วโมงตามแผนก่อสร้างท่าเรือและคลัง สินค้าแบ่งเป็น 2 เฟส มีพื้นที่รวมขนาด 97,600 ตร.ม. เฟสแรกมีการก่อสร้างท่าเทียบเรือขนาดหน้าท่ากว้างประมาณ 276 เมตร มีพื้นที่ทั้งหมด 22,000 ตร.ม. สามารถรองรับตู้คอนเทนเนอร์ได้ประมาณ 250,000 ตู้ต่อปี ก่อสร้างคลังสินค้า 2 หลัง ขนาดหลังละ 9,800 ตร.ม. จะให้บริการโรงพักสินค้า เพื่อการตรวจปล่อยของเข้า และบรรจุของขาออก ที่ขนส่งโดยระบบคอนเทนเนอร์นอกเขตท่าเรือ แบบเดียวกับไอซีดีที่ลาดกระบัง มีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น โรงพักสินค้าขาเข้า-ออก รวม 4,800 ตร.ม. ลาดวางคอนเทนเนอร์ทั้งขาเข้า-ออก และตู้เปล่ารวม 25,000 ตร.ม. สามารถรองรับตู้คอนเทนเนอร์เต็มที่ได้ 450,000 ตู้ต่อปี และมีพื้นที่สำรองอีก 41,000 ตร.ม.
“ในอนาคตเพื่อให้ผู้ประกอบการขนส่งที่อาศัยลำน้ำเป็นหลักในการเพิ่มขีดความสามารถพัฒนาขยายธุรกิจ คงต้องฝากให้กระทรวงคมนาคม และกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ช่วยพิจารณา รวมถึงเรื่องการขนส่งต่อเนื่องหลากรูปแบบ ที่จะเชื่อมระบบการขนส่งทั้งหมด ทั้งระบบราง ระบบถนน และระบบทางน้ำเข้าด้วยกัน ยกตัวอย่าง ท่าเรืออยุธยา ปัจจุบันอยู่ไม่ห่างจากสถานี รถไฟชุมทางบ้านภาชี หากมีการเชื่อมต่อรางรถไฟเข้ามาจะทำให้ผู้ประกอบการที่อยู่บริเวณนี้ได้ประโยชน์”
//-----------------------------------------------------
งานนี้ซีพีใช้เรือขนตู้คอนเทนเนอร์เครื่อง NGV ขนาด 60 TEUs จำนวน 24 ลำ - คู่แข่ง รถขบวน Lad Krabang ICD - แหลมฉบังแน่ๆ แม้่เพิ่งมาล็อตแรก 4 ลำ เพราะ คุยเขื่องว่า ใช้เวลา แค่ 22 ชั่วโมงก็ถึงแหลมฉบัง ขณะที่เรือแบบเก่า ใช้เวลา 48-52 ชั่วโมงกว่าจะถึงแหลมฉบัง
http://cms.jctrans.com/jcnet/news/osn/2009915801572.shtml
http://www.thaibsaa.com/publications/bsaa-news/download-bsaa-news/doc_download/168-bsaa-news-june-2009.html
//------------------------------------------------------------------ |
|
Back to top |
|
|
black_express
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/03/2006 Posts: 10060
Location: อุตรดิตถ์ - กรุงเทพฯ
|
Posted: 11/10/2009 9:58 pm Post subject: |
|
|
เรื่องนี้ ต้องรอความเห็นป๋าณัฐ |
|
Back to top |
|
|
|