View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 46323
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 21/11/2015 3:05 pm Post subject: |
|
|
"บิ๊กตู่" แจกแจงสถานการณ์โครงการก่อสร้างถนน-รถไฟ
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 20 พ.ย. 2558 เวลา 21:01:47 น.
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ออกอากาศวันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน ถึงความคืบหน้าประเด็นเศรษฐกิจว่า กระทรวงคมนาได้สรุปสถานะโครงการสำคัญต่างๆของรัฐบาล ดังนี้
1) ทางถนน สายพัทยา - มาบตาพุด ระยะทาง 32 กิโลเมตร อยู่ระหว่างการประกวดราคา คาดว่าจะมีการลงนามในสัญญาภายในเดือนมกราคมปีหน้า และจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2562, สายบางปะอิน - นครราชสีมา ระยะทาง 196 กิโลเมตร อยู่ระหว่างการปรับปรุงรายงาน EIA เพื่อลดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน โดยจะสามารถเริ่มประกวดราคาได้ในเดือนธันวาคมปีนี้ โดยจะเริ่มดำเนินการก่อสร้าง เดือนเมษายนปีหน้า และเปิดให้บริการได้ในปี 2562, สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ระยะทาง 96 กิโลเมตร อยู่ระหว่างการปรับปรุงรายงาน EIA เช่นเดียวกัน โดยจะเริ่มประกวดราคาได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 เริ่มดำเนินการก่อสร้างในเดือนมิถุนายนและเปิดให้บริการได้ในปี 2562สำหรับสายบางปะอิน กับสายบางใหญ่จะดำเนินโครงการผ่าน PPP Fast Track
2) โครงการพัฒนาระบบการขนส่งทางรถไฟระหว่างเมืองภายใต้ความร่วมมือกับต่างประเทศ 2 โครงการได้แก่
- โครงการก่อสร้างทางรถไฟขนาดทางมาตรฐานกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน
ในช่วงที่ 1 กรุงเทพ - แก่งคอย และ
ระยะที่ 3 แก่งคอย - นครราชสีมา
คาดว่าจะสามารถสรุปจำนวนสถานีสัดส่วนแนวเส้นทางเดิมและเส้นทางใหม่ เพื่อใช้ในการออกแบบได้แล้วเสร็จ และสามารถเริ่มก่อสร้างได้ภายในเดือนธันวาคมนี้
ส่วนช่วงที่ 2 แก่งคอย - มาบตาพุด อยู่ระหว่างการเร่งรัดดำเนินการ
สำหรับโครงภายใต้กรอบความร่วมมือในการพัฒนาระบบทางรถไฟของไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น เส้นทาง กาญจนบุรี- กรุงเทพ - อรัญประเทศ และกาญจนบุรี- กรุงเทพ-แหลมฉบัง จะมีกำหนดให้มีการลงนามใน MOC ในเร็วๆ นี้
ส่วนเส้นทางกรุงเทพ - เชียงใหม่ ฝ่ายญี่ปุ่นได้ส่งผู้เชี่ยวชาญมาทำการสำรวจและจัดทำรายงานความเหมาะสม คาดว่าจะสามารถนำเสนอ ครม. เพื่อเห็นชอบในโครงการได้ในเดือนมิถุนายน 2559
----
ถกญี่ปุ่น ดึงร่วมมือสร้างรถไฟ กาญจนบุรี-สระแก้ว
มติชนออนไลน์ วันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 10:15:06 น.
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังหารือนายชินโก ซาโตะ(Shingo Sato) ประธานบริษัท MITSUI & CO.(Thailand)Ltd. ถึงแนวทางเดินรถโครงการรถไฟแนว ระเบียงเศรษฐกิจด้านใต้ โดยระบุว่า บริษัท MITSUI สนใจเรื่องการทำ O&M คือการเดินรถ และการบำรุงรักษาในเส้นทางความ ร่วมมือโครงการรถไฟระหว่างไทยกับญี่ปุ่น สายกาญจนบุรี-กรุงเทพ-สระแก้ว-แหลมฉบัง ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทดังกล่าวได้เข้าพบนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ขอให้ทางบริษัทเร่งศึกษาแผนการเดินรถในส่วนนี้ เพราะถือเป็นโอกาสในการขนส่งสินค้าไปสู่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทวาย บริษัทฯได้มาติดตามสอบถามขอทราบ รายละเอียด และรูปแบบการทำงานของ กระทรวงคมนาคมว่า จะมีการดำเนินการอย่างไร โดยทางกระทรวงฯ ได้ชี้แจงความคืบหน้า ที่อยู่ระหว่างเตรียมการเดินทางไปหารือ และลงนามสัญญาร่วมโครงการของรองนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 25-28 พ.ย.นี้ โดยจะมี การลงนามในเอกสารความร่วมมือเส้นทางกาญจนบุรี-กรุงเทพ-แหลมฉบัง-สระแก้ว พร้อมกับการลงนามสัญญาความร่วมมือ 3 ขั้นตอน
ประกอบไปด้วย 1.จะพัฒนารางเดี่ยว ซึ่งขณะนี้ ทางการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ได้มีการปรับปรุงรางที่ทรุดโทรมเป็นช่วงๆ และหากหารือกับญี่ปุ่นแล้ว น่าจะสามารถ เข้ามาดำเนินการให้บริการได้เลย แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการให้บริการในเส้นทางดังกล่าวแล้วก็ตามแต่ยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
ขั้นตอนที่ 2 จะมีการลงนามเพื่อจัดตั้ง บริษัทเดินรถร่วมกันระหว่างไทย-ญี่ปุ่น เพื่อ ทำธุรกิจ ทำการตลาดในเส้นทางกาญจนบุรี- กรุงเทพฯ-แหลมฉบัง-สระแก้ว และขั้นตอนที่ 3 จะพัฒนาไปสู่การทำทางคู่ และการปรับเปลี่ยนจากการใช้หัวรถจักรดีเซลเป็นรถไฟฟ้าในอนาคต ซึ่งในส่วนของขั้นตอนนี้จะต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาอีกระยะ
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันขั้นตอนพัฒนา โครงการในส่วนแรก จะมีการจัดทำรถไฟรางเดี่ยว ให้เชื่อมต่อกับโครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทวาย ซึ่งปัจจุบัน บริษัท อิตาเลียนไทย จำกัด(มหาชน) ได้ไปลงทุนที่เมียนมาแล้ว
"นอกจากจัดทำรถไฟรางเดี่ยวเข้าไปทวายแล้วตามแผนงาน หลังจากนั้นเราก็จะทำถนนเชื่อมโยงเข้าไป ซึ่งทางญี่ปุ่นได้มีการสำรวจออกแบบเบื้องต้นไปแล้ว และจะเชื่อมเส้นทางถนนกับเส้นทางรถไฟให้ไปด้วยกันได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ ครม.ได้อนุมัติงบประมาณ 4.5 พันล้านบาท เพื่อทำถนนเชื่อมจากน้ำพุร้อน ไปยังเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทวาย แต่ก็ยังพบว่า ขณะนี้เมียนมายังไม่สามารถนำแผนพัฒนาเข้าสู่รัฐสภาได้ ทำให้ในช่วงนี้ทางญี่ปุ่นก็จะศึกษาข้อมูลถนน และรถไฟจากพุน้ำร้อนไปทวายด้วยกันเลย" ส่วนของกรอบความร่วมมือโครงการรถไฟไทย-จีน ขณะนี้ได้ข้อสรุปถึงกำหนดการ ประชาหารือครั้งที่ 9 ที่จะมีการจัดขึ้นใน กรุงเทพฯ วันที่ 3 ธ.ค.นี้ พร้อมกับจะมีการลงนาม ในกรอบการดำเนินงานครั้งที่ 8 ที่ครม.เห็นชอบไปก่อนหน้านี้แล้ว นอกจากนี้ในวันเดียวกันจะมีการเดินทางลงพื้นที่ในการจัดทำพิธีเปิดโครงการและวางศิลาฤกษ์ ที่ศูนย์ควบคุมการเดินรถ และบริการเดินรถ(โอซีซี) ที่เชียงรากน้อย ซึ่งเตรียมจัดขึ้นในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 43404
Location: NECTEC
|
Posted: 23/11/2015 9:47 pm Post subject: |
|
|
"จีน-ญี่ปุ่น" ชิงไหวชิงพริบ ปักธงจอง "ระบบรถไฟไทย"
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
คลิกภาพเพื่อขยาย
23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 19:00:54 น.
ยังคงเป็นที่จับตาความคืบหน้าโปรเจ็กต์รถไฟไทย-จีน-ญี่ปุ่นภายใต้การผลักดัน "รัฐบาล คสช."
ผ่านมาเกือบ 1 ปี "รถไฟไทย-จีน" เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคายและแก่งคอย-มาบตาพุด 873 กม.หลังลงนาม MOU เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2557
ถึงแม้เงินลงทุนยังไม่ชัด เพื่อจะนำไปสู่จุดคิกออฟการก่อสร้าง เนื่องจากต้องรอบทสรุปสุดท้ายรูปแบบการลงทุนจะร่วมกันลงขันในบริษัทเฉพาะกิจ (SPV) วงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ย
ครบ 1 ปีรถไฟไทย-จีน
แต่ให้เห็นภาพก้าวหน้าโครงการตลอด 1 ปี ที่ผ่านการเจรจามาถึง 8 ครั้ง ในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ ทางรัฐบาลไทยกับจีนจะทำพิธีวางศิลาฤกษ์ มี "อาคม เติมพิทยาไพสิฐ" รมว.คมนาคมและรองเลขาธิการสภาพัฒน์ของจีนร่วมกันปักธงโครงการที่สถานีเชียงรากน้อย จะเป็นศูนย์ควบคุมการบริหารเดินรถ (OCC)
เป้าหมายเพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงจุดเริ่มต้นโครงการ และตีตราจองเส้นทางนี้ไว้ก่อน รวมถึงเป็นการฉลองครบรอบ 40 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน
ส่วนรายละเอียดเชิงลึกยังลุ้นกันต่อ ฝ่ายจีนจะใจอ่อนลดอัตราดอกเบี้ยให้ 2% หรือไม่ ในเมื่อล่าสุดจีนยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.5% (ไม่รวมความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน) ระยะเวลากู้ 20 ปี
ทั้งนี้ในการประชุม "ครม.-คณะรัฐมนตรี" วันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา กระทรวงคมนาคมรายงานความคืบหน้าให้ที่ประชุมรับทราบถึงความร่วมมือจะลงนามร่วมกันเร็ว ๆ นี้
"อาคม เติมพิทยาไพสิฐ" รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ได้รายงานความคืบหน้ารถไฟไทย-จีนเรื่องกรอบความร่วมมือ 5 เรื่อง 1.การพัฒนารางรถไฟให้เป็นมาตรฐาน 1.435 เมตร แบ่งเป็น4 ตอน คือ กรุงเทพฯ-แก่งคอย, แก่งคอย-มาบตาพุด, แก่งคอย-โคราช และโคราช-หนองคาย จะเริ่มสร้างกรุงเทพฯ-โคราชเดือนพ.ค. 2559 2.การเดินรถ จะจัดตั้ง SPV ลงทุนระบบตัวรถ การเดินรถและบำรุงรักษา สวนสัดส่วนลงทุนต้องหารือต่อไป ซึ่งไทยเสนอให้ลงทุนสัดส่วน 50:50
3.ขอบเขตของงาน จีนศึกษาความเหมาะสม สำรวจและออกแบบโครงการ ได้ส่งผลศึกษาระยะแรกแล้ว รอข้อมูลเพิ่ม เช่น ปริมาณผู้โดยสาร การขนส่งสินค้า อีกทั้งเห็นชอบหลักเกณฑ์เงินกู้จากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าของจีน (ไชน่าเอ็กซิมแบงก์) ต้องให้กู้อัตราผ่อนปรนที่สุด เมื่อเทียบกับแหล่งเงินกู้อื่น 4.การเดินรถและซ่อมบำรุง จีนรับผิดชอบ 3 ปีแรก ช่วง 3-7 ปี ไทยและจีนรับผิดชอบ 50:50 หลังปีที่ 7 ไทยรับผิดชอบทั้งหมด และ 5.จะพัฒนาบุคลากรร่วมกัน
19 ธ.ค.ปักธงสัญลักษณ์โครงการ
"วันที่ 19 ธ.ค.จะมีพิธีแสดงถึงการเริ่มต้นโครงการที่สถานีเชียงรากน้อย หลังจีนส่งแบบรายละเอียดครบทั้งโครงการ จะเสนอครม.อนุมัติหาผู้รับเหมาก่อสร้าง ซึ่งจีนให้บริษัท CRCC และ CREC ดำเนินการร่วมกับผู้รับเหมาไทย แต่ขอย้ำว่าก่อนจะเริ่มสร้างต้องได้ข้อยุติแบบรายละเอียด การลงทุน เงินกู้ ดอกเบี้ย" นายอาคมกล่าวย้ำ
ทั้งนี้ มีการข้อสังเกตว่าการลงนามกรอบความร่วมมือระหว่างไทย-จีนพร้อมกันทั้งรถไฟและการซื้อสินค้าเกษตร น่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ทั้งที่ผ่านมาจีนรีรอจะลงนามซื้อข้าวและยางพารา แต่เมื่อโครงการรถไฟไทย-จีน ฝ่ายไทยตกลงจะทำพิธีวางศิลาฤกษ์ ฝ่ายจีนจึงตกลงลงนามกรอบความร่วมมือด้วย
"กรอบความร่วมมือรถไฟไทย-จีนจะลงนามเร็ว ๆ นี้ จะพร้อมกับกรอบความร่วมมืออีก 2 ฉบับ คือ สัญญาซื้อขายข้าวฤดูกาลผลิตใหม่กับบริษัท คอฟโก้ และสัญญาซื้อขายยางพารา 2 แสนตันกับบริษัท Sinochem" แหล่งข่าวกล่าว
ญี่ปุ่นเร่งสปีดรถไฟเชื่อมทวาย
ในส่วนของ "รถไฟไทย-ญี่ปุ่น" แม้จะลงนามบันทึกแสดงเจตจำนง (MOI) ระหว่างกระทรวงคมนาคมของไทยกับกระทรวงที่ดินโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งและการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น เมื่อกลางปี 2558 แต่ดูเหมือนว่าญี่ปุ่นกำลังเร่งสปีดโครงการให้เกิดเร็วขึ้น โดยภาพความชัดเจนจะเกิดขึ้นช่วงวันที่ 25-28 พ.ย.นี้ หลัง "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เยือนประเทศญี่ปุ่น
นายอาคมกล่าวว่า รถไฟไทย-ญี่ปุ่น จะลงนาม MOU ระหว่างกระทรวงคมนาคมไทยกับญี่ปุ่นเส้นทางแนวระเบียงเศรษฐกิจด้านตะวันออก-ตะวันตกด้านล่างก่อน เนื่องจากเป็นเส้นทางพาดผ่านกลุ่มคลัสเตอร์ทางเศรษฐกิจในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง
ประเดิมยกเครื่องรางเก่า
แบ่งเป็น 3 ส่วน จะเริ่มเส้นทางกาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-สระแก้ว-แหลมฉบังเป็นลำดับแรก โดยปรับปรุงทางและรางเก่าขนาด 1 เมตรให้แข็งแรง เพื่อแก้ปัญหาจุดตัดและรองรับการขนส่งสินค้าจากท่าเรือแหลมฉบังต่อไปยังทวาย จะเริ่มสร้างปีหน้า
ส่วนการเดินรถจะตั้ง SPV ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) กับเอกชนญี่ปุ่น ขณะที่การพัฒนาเป็นรถไฟทางคู่ จะดำเนินการหลังผลศึกษาเสร็จ
สำหรับรถไฟเส้นทางแม่สอด-มุกดาหาร 770 กม. จะปรับแนวใหม่ช่วงแม่สอด-ตาก ลงมากำแพงเพชร-นครสวรรค์ และให้ญี่ปุ่นศึกษาช่วงพิษณุโลก-ขอนแก่นเพิ่ม ส่วนช่วงานไผ่-นครพนม-มุกดาหาร ศึกษาแล้ว
ด้านรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ 672 กม. ผลศึกษาจะเสร็จปีหน้า เริ่มสร้างต้นปี 2560 แต่จะเสนอ ครม.อนุมัติหลักการ มิ.ย. 2559
"อาคม" ย้ำว่า รถไฟไทย-ญี่ปุ่น เป็นโครงข่ายเชื่อมระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก ที่รัฐบาลไทยกำลังเร่งรัด เตรียมพร้อมรับเขตเศรษฐกิจพิเศษตาก มุกดาหาร สระแก้ว กาญจนบุรีและทวายที่รัฐบาลไทย พม่าและญี่ปุ่นจะร่วมกันพัฒนาโครงการ
เป็นความคืบหน้าของสองยักษ์ระบบรางที่กำลังรุกคืบมายังประเทศไทย ส่วนใครจะปักธงสำเร็จก่อนกัน ต้องติดตามกันต่อไปนับจากนี้ |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 43404
Location: NECTEC
|
Posted: 24/11/2015 5:19 pm Post subject: |
|
|
บิ๊กตู่ ฉุน รถไฟไทยจีนล่าช้า
หมวด: เศรษฐกิจ
เดลินิวส์
วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2558 เวลา 15:42 น.
บิ๊กตู่ ฉุน รถไฟไทยจีนล่าช้า แถมถูกจีนโก่งดอกเบี้ย 2.5% ตีโปร่งโครงการเป็น 5 แสนล้าน สั่ง ประวิตร ควง สมคิด ถกบิ๊กจีน หาข้อยุติด่วน ครม.ไฟเขียวร่างลงนามพัฒนารถไฟไทย-ญี่ปุ่น
นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมช.คมนาคม เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความกังวลในที่ประชุมครม.ถึงปัญหาความล่าช้าโครงการลงทุนก่อสร้างรถไฟไทย-จีน เส้นทางหนองคาย-นครราชสีมา-แก่งคอย-มาบตาพุดและเส้นทางแก่งคอย-กรุงเทพฯ รวมถึงต้องการผลักดันความร่วมมือรถไฟไทย-ญี่ปุ่น 3 เส้นทางให้เกิดโดยเร็ว โดยเฉพาะโครงการรถไฟไทย-จีน ที่นายกฯ ได้กำชับว่าเหตุใดถึงไม่คืบหน้า ทั้งที่ตัวแทนรัฐบาลไทย-จีน มีการประชุมมาแล้ว 8-9 ครั้ง ตั้งแต่เดือนม.ค.58 แต่ยังไม่สามารถสรุปการก่อสร้างได้เสียที นอกจากนี้ ยังพบล่าสุดทางการจีน ได้เสนอมูลค่าโครงการลงทุนรถไฟไทย-จีน เพิ่มสูงขึ้นเป็น 5 แสนล้านบาท มากกว่าเดิมที่ไทยเคยประเมินไว้ไม่เกิน 4 แสนล้านบาท ที่สำคัญจีนยังเสนอดอกเบี้ยเงินกู้ให้ไทยใช้ก่อสร้าง 2.5% ซึ่งสูงกว่าที่ไทยต้องการ 2%
ดังนั้นในเร็ว ๆ นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จึงมอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปหารือกับตัวแทนระดับสูงของรัฐบาลจีน เพื่อหาข้อยุติแนวทางลงทุนโดยด่วนที่สุด ทั้งนี้กระทรวงคมนาคมได้ชี้แจงนายกฯ ไปว่า ได้พยายามติดตามความคืบหน้ามาตลอด และแจ้งว่าจีนเพิ่งส่งผลรายงานการศึกษาความคุ้มค่าของโครงการ และประเมินมูลค่าเบื้องต้นของโครงการมาเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งสาเหตุที่โครงการแพงขึ้นเนื่องจาก หลายเส้นทางเป็นทางยกระดับ และต้องขุดเจาะอุโมงค์ลอดภูเขา ทำให้ต้องใช้งบประมาณเพิ่ม แต่ของไทยต้องการเน้นก่อสร้างเส้นทางราบเป็นหลัก ขณะที่เรื่องดอกเบี้ย จีนแจ้งว่าได้ให้ดอกเบี้ยไทยอัตราที่ต่ำแล้ว เพราะลาวได้ดอกเบี้ย 3% แต่ได้ไทยเพียง 2.5% แต่เรื่องนี้รูปแบบการก่อสร้างโครงการแตกต่างกัน เพราะประเทศลาวจะให้ผู้รับเหมาจีนเข้ามาก่อสร้างเป็นหลัก แต่โครงการในไทยจะใช้ผู้รับเหมา วัสดุก่อสร้างในไทยเข้ามาก่อสร้างมากกว่าลาว ซึ่งท้ายที่สุดถ้าจีนยังให้ดอกเบี้ยเกิน 2% ไทยจะเลือกหาเงินกู้ในประเทศแทน เพราะในการหารือกับ รมว.คลัง ก็ยืนยันว่าหาแหล่งเงินกู้ในประเทศได้ และยังบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ดีกว่า เพราะกู้เป็นสกุลเงินบาท อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าโครงการรถไฟไทย-จีน ยังเดินหน้าต่อ และเปิดตัววางศิลาฤกษ์ตั้งศูนย์ควบคุมการเดินรถก่อน ที่เชียงรากน้อย จ.ปทุมธานี ในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ และคาดเริ่มตอกเสาเข็มสร้างทางเดือนพ.ค.นี้
นอกจากนี้นายกฯประยุทธ์ ยังได้ย้ำให้กระทรวงคมนาคมศึกษาเส้นทางรถไฟต่อเชื่อมไทย-มาเลเซีย ซึ่งขณะนี้มาเลเซียได้สร้างทางมารอเชื่อมต่อที่ชายแดนปาดังเบซาร์ จ.สงขลา โดยกระทรวงฯ ชี้แจงกลับว่าสำนักงานนโยบายและแผนขนส่งและจราจร (สนข.) ได้มีการศึกษาเช่นกัน เป็นส่วนเส้นทางภาคเหนือสู่ภาคใต้ เริ่มจากเชียงใหม่-กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ นายออมสินกล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม.ได้เห็นชอบ ร่างลงนามความร่วมมือพัฒนาระบบรางไทย-ญี่ปุ่น เชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตกตอนล่าง (เอ็มโอซี) เส้นทางกาญจนบุรี-กรุงเทพฯแหลมฉบัง-สระแก้ว ซึ่งมอบหมายให้นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เดินทางไปร่วมลงนามกับกระทรวงที่ดินโครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น ในวันที่ 26-28 พ.ย.นี้ โดยสาระความร่วมมือประกอบด้วย 3 ระยะ ได้แก่ การปรับปรุงทางเดิมขนาด 1 เมตร ตั้งแต่กาญจนบุรี-กรุงเทพฯ แหลมฉบัง-สระแก้ว รวมถึงปรับปรุงจุดตัดทางรถไฟ เพื่อให้เดินรถได้เร็วขึ้น ช่วยอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าได้ ซึ่งคาดโครงการนี้จะเริ่มได้ก่อน และนำรถมินิคอนเทนเนอร์มาทดสอบได้เดือนม.ค.59 ส่วนระยะที่สอง จะร่วมทุนการเดินรถ พร้อมกับเสนอให้มีจัดตั้งบริษัทร่วมไทยระหว่างทั้ง 2 ประเทศเพื่อบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ และระยะสุดท้าย จะลงทุนขยายเส้นทางรถไฟทางเดี่ยว เชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านทั้งเมียนมา และกัมพูชา ได้แก่ เส้นทางกาญจนบุรี-พุน้ำร้อน ระยะทาง 36 กม.และ คลองลึก จ.สระแก้ว-ปอยเปต 6 กม.ขณะเดียวกันจะขยายบางช่วงให้เป็นรถไฟทางคู่ อำนวยความสะดวกในการเดินทางยิ่งขึ้น ตอนนี้ยังไม่ได้ลงรายละเอียดว่าไทยหรือญี่ปุ่นจะต้องลงทุนใช้งบประมาณเท่าไร แต่คาดหวังความร่วมมือรถไฟไทย-ญี่ปุ่น น่าจะอำนวยความสะดวกการขนส่งสินค้าได้เร็วขึ้น โดยญี่ปุ่นก็ต้องการให้เกิดเร็ว เพราะเชื่อมการขนส่งจากเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายไปถึงท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง หรือเลือกส่งต่อไปกัมพูชา ผ่านปอยเปต และทะลุไปถึงเวียดนามได้ด้วย
//---------------
นายกฯสั่งพลเอกประวิตร-สมคิดไปเจรจาดอกเบี้ยเงินกู้รถไฟไทยจีน
กอง บก.ข่าวเศรษฐกิจ
สำนักข่าวไทย
วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2558 เวลา 4:08 PM
กรุงเทพฯ 24 พ.ย.-นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมเปิดเผยว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันนี้ พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สอบถามความคืบหน้าโครงการลงทุนระบบรางรถไฟไทย-จีน ที่มีการประชุมร่วมสองฝ่าย 8-9 ครั้งแต่โครงการยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร และขอให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินโครงการให้เร็วขึ้น โดยนายออมสิน กล่าวว่า ได้ชี้แจงให้นายกรัฐมนตรีทราบว่า การดำเนินโครงการยังเป็นไปตามแผนที่กระทรวงคมนาคมวางไว้โดยจะมีการดำเนินโครงการอย่างรอบคอบ ที่ผ่านมายอมรับว่า มีประเด็นที่ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ เช่น ปัญหาอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่จีนจะให้กับไทยในโครงการนี้ จีนยืนยันจะคิดร้อยละ 2.5 ต่อปี แต่กระทรวงคมนาคมเห็นว่า ยังสูงเกินไปและกระทรวงคมนาคมยังยืนยันจุดยืนว่า หากจีนไม่ให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำกว่าร้อยละ 2 โครงการดังกล่าว สามารถใช้แหล่งเงินกู้ในประเทศได้ และหลังจากชี้แจงประเด็นให้นายกรัฐมนตรีทราบ นายกฯจึงสั่งการให้พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เดินทางไปจีนเพื่อเจรจาให้ได้ข้อยุติในเรื่องดังกล่าว
นอกจากนี้ รมช.กระทรวงคมนาคม ยังกล่าวถึงปัญหามูลค่าโครงการที่จีนได้ลงไปสำรวจพื้นที่และออกแบบโครงการเบื้องต้นพร้อมกับเสนอข้อมูลมูลค่าโครงการให้ไทยพิจารณาพบว่า โครงการมีมูลค่าประมาณ 5 แสนล้านบาท สูงกว่าที่ไทยเคยประเมินไว้ที่ 4 แสนล้านบาท เรื่องนี้ ฝ่ายไทยจำเป็นต้องพิจารณารายละเอียดของโครงการลงทุนในแต่ละงานก่อสร้าง เพื่อไม่ให้มูลค่าโครงการสูงกว่าที่ฝ่ายไทยเคยประเมินไว้ ส่วนประเด็นที่มีข้อสงสัยว่า ทำไมไทยไม่รับอัตราดอกเบี้ยที่จีนเสนอ ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเช่น สปป.ลาว ยังสามารถรับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ของจีนได้นั้น ในที่ประชุมครม.วันนี้ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงในที่ประชุมครม.ว่า การลงทุนระบบรางของจีนไปสปป.ลาวแตกต่างจากการลงทุนของไทย เนื่องจากการลงทุนในสปป.ลาวเป็นการลงทุนแบ่งกันสองฝ่ายในสัดส่วน 70 ต่อ 30 จึงเป็นประเด็นที่ทำให้มีอัตราดอกเบี้ยต่างกัน
นอกจากนี้ ที่ประชุมครม.วันนี้ ยังเห็นชอบร่างกรอบความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่น ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของไทยจะร่วมลงนามกับญี่ปุ่นในวันที่ 27-28 พ.ย.58 ในส่วนของโครงการเส้นทางรถไฟระเบียงเศรษฐกิจที่ญี่ปุ่นแสดงความสนใจเข้ามาลงทุนโครงการระบบรางขนาด 1 เมตรหรือมิเตอร์เกจ ในส่วนของเส้นทางรถไฟที่ยังขาดอยู่ในช่วงการญจนบุรี-พุน้ำร้อน และคลองลึก-ชายแดนกัมพูชา ซึ่งภายหลังลงนามความร่วมมือ ญี่ปุ่นก็จะเดินหน้าศึกษารายละเอียดของโครงการ เพื่อให้เกิดความร่วมและเกิดการสร้างโครงการในอนาคต-
//-----------------
"บิ๊กตู่" เกาะติดรถไฟไทย-จีน-ญี่ปุ่น ส่ง "ประวิตร-สมคิด" เจรจาจีนลดเงินลงทุน-ดอกเบี้ย
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2558 เวลา 16:40:51 น.
"บิ๊กตู่" เกาะติดรถไฟไทย-จีน-ญี่ปุ่น ส่ง "ประวิตร-สมคิด" เจรจาจีนลดเงินลงทุน-ดอกเบี้ย ดีเดย์ ม.ค.ญี่ปุ่นคิกออฟเดินรถสินค้า "กาญจน์-สระแก้ว"
นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา อนุมัติการลงนามในบันทึกความร่วมมือ (MOC) ด้านระบบรางกับรัฐบาลญี่ปุ่น เส้นทางแนวตะวันออก-ตะวันตกด้านใต้ ช่วงบ้านพุน้ำร้อน-กาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-แหลมฉบัง-อรัญประเทศ ระยะทาง 574 กิโลเมตร เป็นรางรถไฟขนาด 1 เมตร ของเดิมซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จะมีการปรับปรุงเส้นทางต่าง ๆ เหล่านั้น
อีกทั้งจะต่อขยายเส้นทางเพิ่มเติมเล็กน้อย ในช่วงกาญจนบุรี-ด่านพุน้ำร้อน ที่ยังขาดอีกประมาณ 30 กิโลเมตร และช่วงอรัญประเทศ-กัมพูชา อีก 6 กิโลเมตร รวมระยะทาง 42 กิโลเมตร
โดยระหว่างวันที่ 27-28 พ.ย.นี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นทำการลงนามบันทึกความร่วมมือ ณ โตเกียว หลังจากมีการลงนามเสร็จแล้วในช่วงเดือน ม.ค.2559 ทางประเทศญี่ปุ่นจะทดลองเดินรถขนสินค้าขนาด 12 ฟุต ตามเส้นทางดังกล่าวเพื่อเป็นการแสดงถึงจุดเริ่มต้นโครงการ
นายออมสินกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังเร่งรัดการพิจารณาโครงการรถไฟไทย-จีนและรถไฟไทย-ญี่ปุ่น ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เตรียมการให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เดินทางไปที่ประเทศจีน
เพื่อเจรจาให้แจกแจงข้อมูลการก่อสร้าง เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงด้านมูลค่าโครงการจาก 4 แสนล้านบาทเป็น 5 แสนล้านบาท และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยังสูงและในวันนี้ได้หารือกับนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังถึงอัตราดอกเบี้ย 2.5% เสนอมา หากไม่เกิน 2% ก็สามารถกู้ภายในประเทศ
//----------------------- |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 43404
Location: NECTEC
|
Posted: 25/11/2015 10:39 am Post subject: |
|
|
ม.ค.ปีหน้าคิกออฟรถไฟไทย-ญี่ปุ่นวิ่งฉลุย "กาญจน์-สระแก้ว"
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
26 พฤศจิกายน 2558 เวลา 22:00:13 น.
คมนาคมเร่งสุดตัวรถไฟไทย-จีน-ญี่ปุ่น เตรียมฤกษ์คิกออฟโครงการ สร้างความเชื่อมั่น ดีเดย์ 19 ธ.ค.ปักธงสถานีเชียงรากน้อย เปิดทางจีนฮุบคุมระบบเดินรถทั่วประเทศ ปลาย พ.ย.เซ็น MOU กับญี่ปุ่นดัน "กาญจนบุรี-แหลมฉบัง" ม.ค.เปิดทดลองเดินรถขนสินค้า
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ความคืบหน้าของรถไฟไทย-จีนและไทย-ญี่ปุ่นก้าวหน้าต่อเนื่อง ขณะนี้คณะทำงานศึกษาโครงการทีมงานของญี่ปุ่นเส้นทางกาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-สระแก้ว-แหลมฉบัง 574 กม.นำโดยองค์การเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (ไจก้า) ได้รายงานผลการศึกษา 5 เดือนที่ผ่านมา หลังได้ลงนามบันทึกแสดงเจตจำนง (MOI) ระหว่างกระทรวงคมนาคมของไทยกับกระทรวงที่ดินโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งและการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น (MLIT) พัฒนาระบบรถไฟราง 1 เมตร และ 1.435 เมตร
โดยเส้นทางรถไฟเชื่อมตะวันออก-ตะวันตกด้านใต้ จะมีการลงนาม MOC กับญี่ปุ่น วันที่ 25-28 พ.ย.นี้ ช่วงที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ได้ไปโรดโชว์นักลงทุนและเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ โดยญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับเส้นทางกาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-สระแก้ว-แหลมฉบัง เป็นลำดับแรก
แบ่งเป็น 3 ช่วง คือ กรุงเทพฯ-กาญจนบุรี 180 กม., กรุงเทพฯ-อรัญประเทศ 255 กม. และกรุงเทพฯ-แหลมฉบัง 139 กม. เริ่มพัฒนาเส้นทางเดิมที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) กำลังปรับปรุงเป็นช่วง ๆ ให้แข็งแรง โดยจัดตั้งบริษัทร่วมทุน (SPV) เดินรถขนส่งสินค้า และผลศึกษาเสร็จจะก่อสร้างเป็นรถไฟทางคู่ขนาด 1 เมตร และนำหัวรถจักรไฟฟ้ามาวิ่งให้บริการ
"ม.ค.ปีหน้าทางญี่ปุ่นจะนำรถตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 12 เมตร (ขนาด 40 ฟุต - รถ BCF) เป็นรถขนาดมินิไซซ์ขนสินค้าได้ 15 ตู้ ของ JR Freight วิ่งทดสอบช่วงกาญจนบุรี-สระแก้ว เป็นการคิกออฟโครงการที่ร่วมมือกัน ส่วนการเดินรถร่วมกันรอผลศึกษาเสร็จปีหน้า"
นายกมล ตั้งกิจเจริญชัย รองผู้ว่าการร.ฟ.ท. เปิดเผยว่ากำลังปรับปรุงเส้นทางช่วงฉะเชิงเทรา-คลองลึก 176 กม. และแยกหนองปลาดุก-กาญจนบุรี กว่า 100 กม.รองรับการเดินรถโครงการรถไฟไทย-ญี่ปุ่น จะเริ่มทดลองเดือน ม.ค.-ก.พ.ปีหน้า
นายอาคมยังกล่าวถึงความคืบหน้ารถไฟไทย-จีนว่า จะประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างไทยกับจีน ครั้งที่ 9 และลงนามกรอบความร่วมมือ วันที่ 3 ธ.ค.จากนั้นวันที่ 19 ธ.ค.นี้ จะมีพิธีวางศิลาฤกษ์เพื่อเริ่มต้นโครงการที่สถานีรถไฟเชียงรากน้อย ศูนย์ควบคุมและบริหารรถ
ส่วนการก่อสร้างจะดำเนินการช่วงกรุงเทพฯ-แก่งคอย-นครราชสีมา เป็นลำดับแรก มีกำหนดเริ่มสร้างเดือน พ.ค. 2559 หลังได้ข้อยุติครบทุกด้านแล้ว
รวมถึงพื้นที่ทับซ้อนกันช่วงกรุงเทพฯ-บ้านภาชี ระหว่างรถไฟไทย-จีนและรถไฟไทย-ญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นต้องการแยกรางสร้างรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ที่ใช้ระบบชินคันเซ็น ขณะที่พื้นที่มีจำกัด ต้องหารือร่วมกันต่อไป
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคมกล่าวเพิ่มเติมว่า มีการตกลงกับฝ่ายจีน เพื่อให้โครงการสร้างได้เร็ว ทางจีนยอมให้ปรับจุดเริ่มต้นโครงการจากเดิมสถานีบางซื่อ อยู่ที่สถานีเชียงรากน้อย เพราะปัจจุบันนอกจากจะทับซ้อนแนวรถไฟไทย-ญี่ปุ่น ต้องรื้อย้ายท่อก๊าซของ ปตท.ด้วย จึงทำให้การวางศิลาฤกษ์โครงการถึงมาเริ่มที่สถานีเชียงรากน้อยเป็นจุดแรก
โดยเชียงรากน้อยในอนาคตจะเป็นจุดก่อสร้างศูนย์ควบคุมการเดินรถทั้งรถไฟความเร็วปานกลางของจีนที่วิ่งด้วยความเร็ว 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง และรองรับระบบรถไฟราง 1 เมตรที่มีอยู่ปัจจุบัน และที่จะสร้างเพิ่มในอนาคตทั่วประเทศ อีกทั้งยังรวมถึงระบบราง 1.435 เมตรจะสร้างในอนาคต รวมถึงรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่, กรุงเทพฯ-ระยอง และกรุงเทพฯ-หัวหิน
//------------------
(เพิ่มเติม) ครม.อนุมัติ MOU รัฐบาลญี่ปุ่นพัฒนาเส้นทางขนส่งตามแนวเศรษฐกิจตอ.-ตต. 574 กม.
ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) --
อังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2558 16:42:10 น.
อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--
กระทรวงคมนาคม ระบุว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้กระทรวงคมนาคมลงนาม MOU กับรัฐบาลญี่ปุ่นในความร่วมมือพัฒนาระบบรางโครงการตามแนวเส้นทางพัฒนาเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก ตอนใต้ (Lower East West Corridor) เส้นบ้านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี-กทม.-แหลมฉบัง-อรัญประเทศ ระยะทาง 574 กม.
นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมช.คมนาคม เปิดเผยว่า วันนี้ครม.อนุมัติให้กระทรวงคมนาคมลงนาม MOU กับรัฐบาลญี่ปุ่นในกรอบความร่วมมือเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ จากบ้านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี - กรุงเทพฯ-แหลมฉบัง - อรัญประเทศ ระยะทาง 574 กม. โดยจะไปลงนามกรอบความร่วมมือเส้นทางดังกล่าวที่ประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 27-28 พ.ย.นี้
โดยเส้นทางดังกล่าวจะใช้เส้นทางเดิมซึ่งเป็นรางขนาด 1 เมตร โดยจะมีการปรับปรุงทางให้มีความมั่นคงแข็งแรง และจะมีการก่อสร้างเพิ่มช่วงไปทางบ้านพุน้ำร้อน ระยะทางกว่า 30 กม. เพื่อเชื่อมเข้าเมียนมาร์ และทางฝั่งอรัญประเทศสร้างต่อไปอีก 6 กม.เพื่อเชื่อมเข้ากัมพูชา
"ญี่ปุ่นสนใจเส้นทางนี้ เพราะขนส่งสินค้าจากพม่าเข้าไปที่กรุงเทพฯและไปที่แหลมฉบังจนไปถึงอรัญประเทศเข้ากัมพูชา"นายออมสิน กล่าว
รมช.คมนาคม กล่าวว่า สำหรับมูลค่าโครงการดังกล่าว ยังไม่สามารถประเมินได้ แต่คาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่มาก เพราะส่วนใหญ่ใช้เส้นทางเดิม และกรณีการทำใหม่ในเส้นทางขาดหาย (missing link) ก็คาดว่าใช้เงินลงทุนไม่มาก
ด้านนายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ขั้นตอนหลังจากเซ็นสัญญาแล้วจะเริ่มดำเนินการเฟสแรกที่เป็นการปรับปรุงเส้นทางเดิมให้มั่นคงแข็งแรง เฟสที่สองจะเดินรถโดยจะจัดตั้งบริษัทร่วมทุน และเฟสที่สามจะเป็นงานก่อสร้างส่วนที่ยังขาด หรือหากมีการขนส่งมากขึ้นจะทำเป็นทางคู่ต่อไป ทั้งนี้ทางญี่ปุ่นจะได้ศึกษาการปรับปรุงเส้นทางและการเดินรถต่อไป
//----------------
ครม.เห็นชอบบันทึกความร่วมมือรถไฟไทย-ญี่ปุ่น ฉบับที่ 2 ใส่มือ "สมคิด" บินไปญี่ปุ่น
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
อังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2558 เวลา 18:11:00 น.
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือด้านระบบรางระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น เส้นทางเศรษฐกิจด้านใต้ ฉบับที่ 2 (กาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-อรัญประเทศและกรุงเทพ ฯ-แหลมฉบัง) ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายจะลงนามเห็นชอบร่วมกันที่จะลงนามบันทึกความร่วมมือ ในช่วงการเยือนญี่ปุ่นของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมระหว่างวันที่ 25-28 พ.ย. 58
โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ทั้งสองฝ่ายยินดีสำหรับการเริ่มต้นการดำเนินการสำรวจโดย JICA และยืนยันว่าวัตถุประสงค์และเนื้อหาของการสำรวจเพื่อเพิ่มศักยภาพและพัฒนาการให้บริการขนส่งทางราง โดยการพัฒนาเส้นทางรถไฟที่อยู่เดิม ระบบรางคู่ หรือระบบรถไฟฟ้า เพื่อให้สามารถทำรายงานการดำเนินงานขั้นกลางให้แล้วเสร็จได้ทันภายในไตรมาส 2 ของปี 2559
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายจำสำรวจข้อเท็จจริงของการให้บริการขนส่งสินค้าทางรางรูปแบบใหม่ตามแนวเส้นทางเดิม และทั้งสองฝ่ายจะทดลองเดินรถเพี่อให้บริการขนส่งสินค้าทางรางรูปแบบใหม่ภายในต้นปี 2559 ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการจัดตั้ง SPV ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัทของญี่ปุ่น
Last edited by Wisarut on 26/11/2015 9:44 pm; edited 1 time in total |
|
Back to top |
|
|
Mongwin
1st Class Pass (Air)
Joined: 24/09/2007 Posts: 46323
Location: ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี สายสงขลา
|
Posted: 26/11/2015 5:58 pm Post subject: |
|
|
คมนาคม เผย รถไฟไทย-ญี่ปุ่น เริ่มทดลองเดินรถเปล่า ม.ค.59
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 26 พ.ย. 2558 17:50
คมนาคม เผย เดือน ม.ค.59 เริ่มทดลองเดินรถเปล่า โครงการรถไฟไทย-ญี่ปุ่น เตรียมพร้อม ก่อนทดลองส่งสินค้าจริงกลางปี เผย ใช้ตู้คอนเทนเนอร์ 12 ฟุต เพื่อให้เอสเอ็มอีใช้ประโยชน์ จ่อ พัฒนารถไฟดีเซลรางเป็นรถไฟฟ้าในอนาคต...
เมื่อวันที่ 26 พ.ย.58 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลัง จากการลงนามความร่วมมือ (เอ็มโอซี) เดินหน้าโครงการรถไฟไทย-ญี่ปุ่น เส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตกใต้ สายกาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-สระแก้ว-แหลมฉบัง ร่วมกับ รมว.ที่ดินโครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง และโครงสร้างพื้นฐานญี่ปุ่น ระหว่างร่วมคณะ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางโรดโชว์ประเทศไทย วันที่ 25-28 พ.ย. ที่ประเทศญี่ปุ่น ว่า ภายหลังการลงนามแล้ว จะเกิดบริษัทที่เป็นความร่วมมือกับญี่ปุ่น และการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อบริหารจัดการเส้นทางเดิม โดยในเดือน ม.ค.59 จะเริ่มทดลองเดินรถเปล่า เพื่อเตรียมความพร้อม ก่อนทดลองขนส่งสินค้าจริงกลางปี โดยใช้ตู้คอนเทนเนอร์ 12 ฟุต เพื่อให้เอสเอ็มอี ใช้ประโยชน์ได้ เพราะเป็นตู้เล็ก ซึ่งขณะนี้การรถไฟฯ กำลังปรับตัว เพื่อรองรับระบบใหม่ ส่วนรถไฟใหม่ขนาดราง 1 เมตร ความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะดำเนินการควบคู่ไป
"การรถไฟฯต้องปรับปรุงเส้นทางรางเดียว เพื่อให้การเดินรถรวดเร็วขึ้น จากนั้น บริษัทร่วมทุนกับญี่ปุ่น จะพัฒนาเส้นทางรางคู่ต่อไป รวมถึงพัฒนารถไฟดีเซลรางให้เป็นรถไฟฟ้าในอนาคต เพื่อเชื่อมต่อเส้นทางไปท่าเรือน้ำลึกทวาย ส่วนเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ขณะนี้ กำลังศึกษาเส้นทาง คาดจะแล้วเสร็จภายใน 1 ปี โดยในเดือนมิ.ย.59 น่าจะศึกษาขั้นกลางเสร็จ และเสนอ ครม.พิจารณาได้" รมว.คมนาคม กล่าว. |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 43404
Location: NECTEC
|
Posted: 26/11/2015 9:50 pm Post subject: |
|
|
รถคอนเทนเนอร์ 12 ฟุตบ้าบออะไรกัน ตอนหลังมีคนเอาภาพ รถคอนเทนเนอร์ 12 ฟุต ของ JR Freight มาให้ดูค่อยเชื่อถือได้หน่อย - ก็ไม่เลวนะ สำหรับคนมีเบี้ยน้อยหอยน้อย ที่อยากขนของลงตู้คอนเทนเนอร์ |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 43404
Location: NECTEC
|
Posted: 26/11/2015 10:51 pm Post subject: |
|
|
2 อาจารย์วิศวะ จุฬาฯ ชำแหละ"รถไฟไทย-จีน"ถามทำไมรัฐบาลต้องรีบ ชี้แผนเร่งรัดเดิมก็มี
สัมภาษณ์พิเศษโดย วรวิทย์ ไชยทอง
มติชน
วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 19:09:45 น.
ทุกคนในสังคมเห็นตรงกันว่าการพัฒนาระบบรางเป็นเรื่องจำเป็น เราได้เห็นแนวโน้มการพยายามผลักดันการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะรัฐบาลชุดก่อนที่บรรจุนโยบายการสร้างรถไฟความเร็วสูงไว้ตั้งแต่ช่วงหาเสียง กระทั่งรัฐบาลปัจจุบันที่แม้จะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
ล่าสุดก็พยายามเดินหน้าโครงการความร่วมมือระหว่างไทย-จีน เพื่อก่อสร้างรถไฟทางคู่แบบรางมาตรฐาน ความกว้าง 1.435 เมตร (Standard Gauge) เส้นทางหนองคาย-นครราชสีมา-แก่งคอย-ท่าเรือมาบตาพุด ระยะทาง 873 กิโลเมตร โดยปรับรถความเร็วตามแผนเหลือประมาณ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตามมาด้วยชื่อเรียก รถไฟฟ้าความเร็วปานกลาง ที่ยังหาคำนิยามไม่ได้ในตำราวิศวกรรมระบบราง ซึ่งโดยภาพรวม ก็ดูเหมือนว่าทุกภาคส่วนของสังคมจะเห็นพ้อง ไร้เสียงคัดค้าน
หลายปีที่ผ่านมา คนไทยได้เห็นข่าวขบวนรถไฟของการรถไฟแห่งประเทศไทยตกรางและชนกับรถยนต์ทั่วไปบ่อยมาก ทั้งวิ่งช้า และไม่ตรงต่อเวลา ซึ่งนำไปสู่การถกเถียงในวงกว้างว่ารางรถไฟขนาดความกว้างหนึ่งเมตรอย่างที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีขนาดแคบเกินไปควรจะต้องขยายขนาดความกว้างขึ้นใช้เป็นรางขนาดความกว้างมาตรฐานแบบยุโรปจึงเร่งผลักดันโครงการรถไฟโดยความร่วมมือระหว่างไทยกับจีนซึ่งแม้จะมีการเจรจากันแล้วหลายครั้งแต่ก็มีข่าวว่าทางการจีนเขี้ยวเรื่องดอกเบี้ยมากจนล่าสุดนายกฯต้องส่งรองนายกรัฐมนตรีไปเร่งรัด
เรื่องนี้ได้รับการตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลจะเร่งสร้างรถไฟขนาดราง1.435ไปทำไม?เพราะเรามีแผนเร่งรัดรถไฟทางคู่ขนาดหนึ่งเมตรอยู่แล้วที่จะทำพร้อมกันไปตามแนวเส้นทางที่แทบจะซ้อนทับกันนอกจากนี้คำถามทางวิศวกรรมที่ต้องตอบคือขนาดรางที่กว้างขึ้นจะดีกว่าและมีประสิทธิภาพสูงกว่าจริงหรือ ?
"มติชนออนไลน์"ขออนุญาตพาผู้อ่าน มาจับเข่าคุยกับ รศ.ดร.สมพงษ์ ศิริโสภณศิลป์ อาจารย์ประจำสาขาวิศวกรรมขนส่ง ภาควิชาวิศวกรรมโยธา และอดีต ผอ.สถาบันการขนส่ง จุฬาฯ และ ผศ.ดร.ประมวล สุธีจารุวัฒน อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ และเคยเป็น รอง ผอ.สถาบันการขนส่ง จุฬาฯ สองอาจารย์ด้านวิศวกรรมศาสตร์ที่จะมาชวนตั้งคำถามว่า จริงๆแล้วรางเล็กทำให้รถไฟวิ่งช้าและตกรางบ่อยจริงหรือ รวมถึงอนาคตการพัฒนาระบบรางของไทยควรจะเป็นไปในแนวทางไหนดี
อาจารย์ประมวล เริ่มต้นการวิจารณ์ประเด็นการขนส่งสาธารณะของไทยในยุคปัจจุบัน โดยระบุว่า การอธิบายโครงการทางวิศวกรรมเรื่องใดๆต้องเริ่มด้วย หลักคิด 3 ประการ คือ หนึ่งจะทำไปเพื่ออะไร? สองจะทำอย่างไร ใช้เทคนิคใด? และสามจะทำอย่างไรให้ยั่งยืน ซึ่งคำถามทั้ง 3 ข้อนี้ จะใช้เป็นแนวทางในการหาคำอธิบายสำหรับทุกนโยบายสาธารณะเสมอ
ทั้งนี้ ประเทศไทยติดปัญหา มายาคติ เรื่องความกว้างของทางรถไฟ ซึ่งเราถูกเป่าหูกันมาว่า ปัญหารถไฟไทยที่จำเป็นต้องเปลี่ยนขนาดทาง เพราะปัจจุบันมันตกรางกันบ่อยมาก จึงควรเปลี่ยนขนาดความกว้างของทาง จากความกว้าง 1 เมตร (meter gauge) ไปเป็น ทางมาตรฐานขนาด 1.435 เมตร (standard gauge) ซึ่งควรจะต้องถูกขยายความว่า ทางมาตรฐาน ในที่นี้หมายความถึงทางมาตรฐานของยุโรป ซึ่งผู้อ่านควรทราบว่า ในโลกกลมๆ ใบนี้ มีการใช้ทางรถไฟความกว้างต่างๆ มากมาย และการตกรางของรถไฟก็ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับรถไฟที่วิ่งบนทางกว้าง 1 เมตรเท่านั้น อาทิ หากไปตามข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2557 เกิดเหตุรถไฟตกรางที่กรุงมอสโค ประเทศรัสเซีย ทั้งที่ทางรถไฟมีความกว้างถึง 1.520 เมตร ขณะที่เมื่อต้นปี 2558 ที่ผ่านมา ราวเดือนกุมภาพันธ์ รถไฟที่อินเดียก็ตกราง ทั้งๆ ที่ใช้ทางที่มีความกว้าง 1.676 เมตร!
ปัญหาก็คือการตกรางของรถไฟ ไม่ได้สัมพันธ์โดยตรงกับความกว้างของเส้นทางแต่เพียงอย่างเดียว ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้ทางรถไฟกว้างแค่ไหน ถ้าดูแลกันไม่ดี รถไฟมันก็ตกรางได้ ประเด็นสำคัญมันเป็นเรื่องของวิธีการเดินรถ และการบำรุงรักษา หากดูแลไม่ดีรถไฟมันก็ตกราง อ.ประมวลกล่าว
ด้าน อาจารย์สมพงษ์ กล่าวสนับสนุนเพิ่มเติมว่า เมืองไทยยังมีอีกมายาคติหนึ่งคือ รถไฟขนาดรางหนึ่งเมตรมันไม่ดี จริงๆแล้วมันสามารถทำให้ดีได้ ทำให้สวยได้ ทำให้สะดวกก็ทำได้ แม้จะเล็กกว่า แต่ยืนยันว่าสามารถทำให้สวยได้ ประเทศญี่ปุ่นเองที่ใช้รถไฟฟ้าอยู่รอบประเทศ เส้นทางส่วนใหญ่ของเขาเป็นทางขนาด 1.067 เมตร มีเป็นส่วนน้อยและเฉพาะรถไฟฟ้าความเร็วสูงเท่านั้นที่เป็นทางขนาด 1.435 เมตร
ในส่วนความเร็วที่ทุกคนกังวลนั้น ยอมรับว่าได้รถไฟวิ่งเร็วๆ ก็น่าจะดี แต่ก็ต้องถามให้คิดต่อไปว่า ทุกวันนี้ชีวิตของคนไทยเรา ได้ทำให้เกิดความจำเป็นขนาดนั้นไหม อย่าลืมว่าโครงการทุกอย่างต้องใช้เงิน ไม่มีของฟรีในโลก เราต้องจัดสรรงบประมาณที่มีจำกัดให้สอดคล้องกับสิ่งต่างๆ ที่เรากำลังวางแผนเพื่อการพัฒนาประเทศ เงิน 1 บาทที่ลงทุนไปกับรถไฟฟ้าความเร็วสูง ก็หมายถึงเงิน 1 บาทที่อาจนำไปพัฒนาระบบสาธารณสุข หรือระบบการศึกษาได้เช่นกัน ต้องตั้งคำถามว่าทุกวันนี้ชีวิตของคนไทยต้องการความเร็วขนาดนั้นหรือไม่ การพูดว่าคนไทยยังไม่พร้อมจะใช้รถไฟความเร็วสูง ไม่ได้หมายความว่าคนไทยไม่ควรใช้ หรือใช้ไม่ได้ แต่ควรตั้งข้อสังเกตว่า คนไทยยังไม่เห็นและให้ความสำคัญกับเวลาขนาดนั้น
จากเอกสารของรัฐบาล รถไฟตกรางคือสาเหตุหนึ่งของการเร่งรัดโครงการ
ดร.สมพงษ์ ยกตัวอย่างว่า เอาแค่การขับรถยนต์ เรายังไม่นิยมซื้อ Easy pass กันเลย คนขับรถเบนซ์ก็ยังไม่ซื้อ หมายความว่าคนไทยยังมองเวลาด้วยมูลค่าต่ำมาก ดังนั้นไทยจึงจำเป็นต้องประเมินสถานะเรื่องรายได้ วิถีชีวิต และความจำเป็นว่าไทยควรจะอยู่ตรงไหน
การทำความเข้าใจเส้นทางรถไฟไทย-จีน ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่า ในขณะที่รัฐบาลกำลังพยายามเร่งรัดโครงการไทย-จีน หรือไทย-ญี่ปุ่น ตามที่เป็นข่าว ในเวลาเดียวกัน รัฐบาลก็มีแผนการปรับปรุงเส้นทางรถไฟของการรถไฟฯ เดิมที่เป็นทางเดี่ยว ให้เป็นรถไฟทางคู่ขนาดราง 1 เมตร มีแผนเร่งรัดอยู่ มีการศึกษาครบถ้วนแล้ว รอเพียงการผลักดันโครงการให้เป็นรูปธรรมเท่านั้น ประเด็นที่ไม่มีใครตั้งคำถาม ก็คือ ทำไมต้องรีบทำโครงการรถไฟไทย-จีน โดยมีแนวเส้นทางคู่ขนานไปกับแนวเส้นทางรถไฟขนาด 1 เมตรเดิม (ซึ่งในที่สุดจะเปลี่ยนจากทางเดี่ยวไปเป็นทางคู่) เรื่องนี้ไม่ได้รับการพูดถึงและไม่มีนักข่าวคนใดถาม ในเมื่อคุณมีทางคู่ 1 เมตรอยู่แล้ว และคุณก็พยายามทำทางคู่ขนาดความกว้าง 1.435 เมตร มีคู่กันไปทำไม? จะทำไปเพื่ออะไร? และความซ้ำซ้อนรวมถึงการใช้เงินล่ะ ยังไม่ต้องพูดถึงมูลค่าตัวรถไฟฟ้า ที่อาจจะต้องซื้อเพิ่มเติมในอนาคต" ดร.สมพงษ์กล่าว
โดยหากเทียบมาตรฐานการทำระบบกลางของยุโรปซึ่งจะมีการแบ่งแยกให้ชัดเจนว่าจะเป็นรถไฟขนส่งสินค้าและผู้โดยสารแต่ของไทยยังไม่มีความชัดเจนเพราะรถไฟขนาดราง1เมตรก็อยู่ในแผนเร่งรัดของรัฐบาลชุดนี้ขณะที่แผนรถไฟไทยจีนอยู่นอกงบประมาณ ซึ่งทางที่ถูกต้องควรจะทำรถไฟขนาดราง1 เมตรให้เสร็จและเปิดใช้ให้ดีเสียก่อน
ดร.สมพงษ์ย้ำว่าเมื่อเส้นทางมันซ้อนกันทำไมจึงต้องทำถึง 2 เส้น อันนึงเป็น 1 เมตรอีกอันนึงเป็น 1.435 เมตร เป็นทางคู่ทั้งคู่ และมันก็วิ่งขนานกันเลย
อาจารย์ทั้งสองท่านตั้งคำถามว่า ทำไมไม่ทำทางคู่ขนาด 1 เมตรให้เสร็จทั่วประเทศ และทำให้ดีเสียก่อน หากทางคู่ชุดแรกเสร็จแล้ว ถ้ายังอยากทำต่อจึงค่อยไปทำทางคู่ชุดที่ 2 จะดีกว่าการเดินหน้าสร้างทางคู่ทั้งสองเส้น คู่ขนานกัน จึงมีคำถามว่า ทำไปเพื่ออะไร ทั้งที่รัฐบาลชุดนี้ก็เป็นคนอนุมัติ
เมื่อถามว่าจากการศึกษาและติดตามข่าวสาร ทางรัฐบาลให้เหตุผลสำคัญในการก่อสร้างทั้งสองเส้นทางพร้อมกันหรือไม่ อาจารย์ทั้งสองท่านตอบตรงกันว่า "ผมไม่รู้สาเหตุและจากการติดตามก็ไม่เห็นมีใครพูดอะไรเลย"
ดร.ประมวลอธิบายเพิ่มเติมว่าทั้งนี้การผลักดันการสร้างรถไฟขนาดราง1.435เมตรมีมาโดยตลอดแล้วก็เงียบไปจนกระทั่งเปลี่ยนรัฐบาลแนวคิดดังกล่าวก็ขึ้นมาใหม่และก็อยู่ที่ว่าจะโดนสกัดหรือไม่หากโดนสกัดก็เงียบๆกันไป และไม่นานก็จะวนกลับขึ้นมาใหม่ ซึ่งตนเคยอธิบายเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้วว่ามันไม่เกี่ยวกัน ฉะนั้นคนที่จะคุยเรื่องนี้ต้องเข้าใจก่อนว่าเรื่องการตกราง สมรรถนะของรถไฟ มันไม่เกี่ยวกับขนาดของราง มันอยู่ที่การดูแล แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือข่าวที่ปรากฏ ก็จะบอกแค่ว่ารถไฟขนาดราง 1.435 เมตรดีกว่า เพราะมันกว้างกว่า คนทั่วไปที่ไม่รู้เรื่องก็จะมองว่ารถไฟขนาดราง 1.435 เมตรย่อมดีกว่า ประกอบกับข่าวรถไฟตกรางของ รฟท. ที่เกิดขึ้นบ่อยมาก ทั้งนี้ต้องแยกพิจารณาระหว่างการบริหารการใช้งาน กับตัวเทคโนโลยี หากหน่วยงานผู้บริหารทำไม่ดี ไม่ว่าเทคโนโลยีจะเป็นอย่างไรมันก็เจ๊ง
ทั้งสองท่านยืนยันอีกว่าไทยยังไม่จำเป็นต้องการรถไฟขนาดใหญ่เช่นนั้น และหากทำคู่กัน ก็อาจจะเกิดการขาดทุนได้อีกเพราะรถไฟทั้งสองขนาด ก็แย่งลูกค้ากลุ่มเดียวกัน ทั้งนี้ปัญหาของรถไฟไทยที่มีกว่า 4,000 กิโลเมตร คือส่วนใหญ่มันเป็นทางเดี่ยว ถามว่าทางเดียวไม่ดีอย่างไร คือหากเป็น 100 ปีที่แล้วมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะปริมาณความต้องการใช้มันไม่สูงมาก แต่ในปัจจุบัน เราต้องการใช้รถไฟในการขนสินค้าและขนคน โดยการขนส่งสินค้าเราไม่ต้องการความรวดเร็วแต่เราต้องการความตรงต่อเวลา และขนของได้ตามที่เราต้องการ ขณะที่การขนส่งคนจะต้องการความรวดเร็ว ฉะนั้นการเพิ่มรถไฟจากทางเดียวเป็นทางคู่จะเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งคนและสินค้า ฉะนั้นหากทำทางคู่ได้ปัญหาพื้นฐานทุกอย่างก็ได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสม ในระยะแรกแล้ว ส่วนเรื่องตกรางนั้นเป็นปัญหาการบริหารจัดการ ของการรถไฟฯ
โดยที่พูดเช่นนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าในระยะยาวไม่ต้องการการพัฒนา แต่การประเมินศักยภาพในระยะนี้ก็ต้องดูความคุ้มค่าด้านงบประมาณด้วย เพราะที่อื่นก็ต้องการสร้างทางรถไฟเช่นกัน เงินและทุกอย่างของเรามีจำกัด จึงต้องใช้ทุกบาทให้คุ้มค่า
รศ.ดร.สมพงษ์ ศิริโสภณศิลป์
ด้าน ดร.สมพงษ์กล่าวเพิ่มเติมว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นคนอนุมัติลงมาเอง คำถามคือว่ารัฐบาลไม่เห็นความซ้ำซ้อนหรือ เราควรที่จะเอาเงินไปใช้กับนโยบายสาธารณะอื่นๆที่จำเป็นมากกว่าหรือไม่ ดีกว่าที่จะมาสร้างรถไฟซ้ำซ้อนเส้นทางเดียวกันแบบนี้ ทำไมต้องมาสร้างในที่เดียวกัน พร้อมๆกัน ทั้งที่จังหวัดอื่นก็มีความต้องการเช่นกัน เคยสงสัยเช่นกันว่าทำไมสังคมและสื่อมวลชนไม่ตั้งคำถามเรื่องนี้ ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องตอบคำถามก่อนว่าจะทำแบบนี้ไปทำไม หากตอบคำถามได้แล้ว ยังไม่พูดถึงคำถามที่จะตามมาอีกคือ เราจะเลือกใช้เทคโนโลยีอะไร-อย่างไร ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ดร.ประมวลให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า บางคนอาจจะไม่รู้ว่ารถไฟสาย เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ถูกอนุมัติให้สร้างตั้งแต่ปี 2503 จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้สร้างเลย เรื่องนี้สำคัญกว่าเห็นได้ชัด ทำไมถึงไม่เร่งรัด เพราะทำการศึกษามาแล้วหลายครั้ง และสมควรจะต้องสร้างตั้งนานแล้ว กลับยังไม่สร้าง ซึ่งเส้นนี้ ตามแผนญี่ปุ่นจะเป็นคนทำ
"เชื่อว่ารัฐบาลหมดมุกในการพัฒนาเศรษฐกิจ ผมบอกให้เลย ยิ่งเราพูดเรื่องรถไฟมากยิ่งน่ากลัว คือรัฐบาลคิดเรื่องอื่นในทางเศรษฐกิจไม่ได้แล้ว ผมเปรียบเทียบเวลาเราเรียกข้าวกระเพราไก่ไข่ดาวว่าเมนูสิ้นคิด คิดอะไรไม่ออกก็สั่งอย่างนั้น ก็เหมือนกับกรณีของรถไฟ รัฐบาลทุกชุดเวลาเข้ามาใหม่ทุกคนเลย เมื่อคิดอะไรไม่ออกก็จะทำรถไฟความเร็วสูง ไปดูได้เลยทุกชุดเหมือนกันหมด " ดร.สมพงษ์ กล่าว
เมื่อถามว่า คนไทยเชื่อว่าหากมองดูประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศรวมถึงประเทศพัฒนาแล้วก็ล้วนมีรถไฟความเร็วสูงทั้งสิ้น ดร.สมพงษ์ตอบกลับทันทีว่า จนถึงทุกวันนี้แม้จะมีแผน แต่สหรัฐอเมริกาก็ยังไม่มีรถไฟความเร็วสูง ในอังกฤษก็มีแค่สายเดียวที่ข้ามไปฝรั่งเศสเท่านั้น ส่วนใหญ่ที่มีรถไฟความเร็วสูงก็เพราะประเทศนั้นเป็นเจ้าของเทคโนโลยีเอง ส่วนที่บอกว่าในประเทศกำลังพัฒนาอาจจะจำเป็นนั้นก็ยืนยันว่าไม่จริง เพราะความเป็นจริงแล้วรถไฟความเร็วสูงเหมาะสำหรับประเทศที่เวลาเป็นสิ่งมีค่า คำถามคือประเทศไทยเวลามีค่าขนาดนั้นหรือยัง ขนาดอีซี่พาสคนยังไม่ซื้อกันเลย เวลาของคนไทยเวลาเดินถนนกับคนต่างประเทศเดินก็ไม่เท่ากันแล้ว เวลาของเราไม่มีค่ามากขนาดนั้น หลักของรถไฟความเร็วสูงคือทุกนาทีมีค่า
ผศ.ดร.ประมวล สุธีจารุวัฒน
ด้าน ดร.ประมวลกล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องรถไฟความเร็วสูงก็ต้องกลับมาถามว่าเราจะทำไปเพื่ออะไร ต้องตอบให้ได้ว่ารถไฟความเร็วสูงมีความจำเป็นกับเมืองไทยอย่างไร ผมไม่อยากไปเถียงหรือชูประเด็นกรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านหนึ่งโต้แย้งกับอาจารย์ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เรื่องต้องให้ทางลูกรังหมดไปจากประเทศไทยก่อนทำรถไฟความเร็วสูง เพราะคนละประเด็นกัน แต่เราต้องทำความเข้าใจเรื่องข้อจำกัดของงบประมาณ จริงๆ ถ้าได้ทำทุกโครงการพร้อมๆ กันหมด ก็คงจะดี แต่เมื่อชีวิตจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น เราก็ต้องตอบคำถามให้ได้ก่อนว่าเรามีความจำเป็นอย่างไรที่จะต้องทำรถไฟความเร็วสูงขนาดนั้น การนำเงิน 1 ก้อนไปสร้างรถไฟความเร็วสูง ซึ่งเราอาจจะไม่ได้ใช้บ่อยๆ กับการนำเอาเงินก้อนนั้นมาปรับปรุงระบบขนส่งสาธารณะอื่นๆ ที่คนส่วนใหญ่ของสังคมจะได้ใช้งาน เช่น รถเมล์ ซึ่งเราใช้กันทุกวันไม่ดีกว่าหรือ รถเมล์เราใช้ทุกวัน เด็กเล็กๆก็ใช้ทุกวัน รถไฟความเร็วสูงบางคนหลายปีกว่าจะได้ไปเชียงใหม่ด้วยรถไฟฟ้าความเร็วสูงสักครั้งนึง เราไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ ในทุกๆ เช้า ที่ยังต้องเห็นเด็กนักเรียนโหนอยู่ตามท้ายรถสองแถว ซ้อนอยู่หลังมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เบียดแน่นกันอยู่บนรถเมล์ มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าคนส่วนใหญ่ยังมีชีวิตด้วยคุณภาพแบบนั้น ในขณะที่มีคนอีกกลุ่มเล็กๆ ได้นั่งรถไฟฟ้าความเร็วสูง
ทั้งนี้ หากเราไม่ปรับปรุงรถเมล์หรือระบบคมนาคมในเมือง ดร.สมพงษ์ยกตัวอย่างว่า เราก็จะเจอกับภาพคนใส่สูทนั่งรถไฟฟ้าความเร็วสูงและมาต่อ วินมอเตอร์ไซค์นั่นเอง ประเทศที่จะสร้างรถไฟความเร็วสูงนั้น จริงๆแล้วระบบขนส่งสาธารณะพื้นฐานมันต้องดีมากๆ ยุโรปที่ทำได้นั้น เพราะระบบขนส่งสาธารณะดีมาก ไม่ได้บอกว่าความเร็วสูงไม่ดี แต่ต้องดูความพร้อมหลายอย่าง รวมถึงความจำเป็นด้วย
"ยกตัวอย่างว่ารถเบนซ์กับกระบะอะไรดีกว่ากัน ในแง่เทคโนโลยี แน่นอนทุกคนก็คงจะตอบว่ารถเบนซ์สิดีกว่า แต่ถ้าสมมติเราเป็นเกษตรกร อะไรจะมีประโยชน์กับเรามากกว่ากันล่ะ นี่คือคำถามที่เราจะถามต่อ" ดร.ประมวลกล่าวเพิ่มเติม
จึงเป็นเรื่องของสังคมไทยที่มีมายาคติผิดๆเยอะมาก เวลารัฐบาลพูดเรื่องการพัฒนาประเทศจะยกเรื่องโครงสร้างพื้นฐานว่าเป็นเรื่องสำคัญในการพัฒนาและจะทำให้อันดับการพัฒนาของเราดีขึ้นแต่ในความเป็นจริงแล้วการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมอย่างเดียวไม่ได้ทำให้อันดับการพัฒนาเราดีขึ้นเลยเพราะการพัฒนาที่แท้จริงจะต้องมองอย่างองค์รวมกล่าวคือการจัดอันดับการพัฒนาเขามองการพัฒนาโครงสร้างเรื่องอื่นด้วยเช่นเรื่องการศึกษาการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วยการพัฒนาระบบเศรษฐกิจเป็นต้นซึ่งเมื่อเรามีเงินเรากลับทุ่มไปกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างเดียวที่พูดมาทั้งหมดอยู่บนสมมติฐานที่ว่าประเทศไทยไม่มีเงินเหลือเฟือ
ดร.สมพงษ์กล่าวเพิ่มเติมว่าประเด็นสำคัญอันหนึ่งซึ่งเป็นเบื้องหลังในการผักดันรถไฟสายดังกล่าวคือการพยายามสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการค้าขายกับจีนไม่มีใครตั้งคำถามว่าทำไมจีนจึงอยากทำที่อ้างว่าจะทำให้เราส่งสินค้าไปประเทศจีนง่ายขึ้น-รวดเร็วขึ้นนั้นในความเป็นจริงตรงกันข้ามเลยเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือรถส่งสินค้าของจีนนำสินค้าเข้ามาตีตลาดในประเทศไทยซึ่งต้องไม่ลืมว่าสินค้าของจีนมีราคาถูกและปริมาณมากกว่าไทยเยอะมากนอกจากนี้จีนยังซื้อที่หรือเช่าที่ในประเทศลาวเป็นระยะเวลาเกือบ 90 ปีในการทำการเกษตร เพื่อผลิต ปัญหาเรื่องนี้คือไทยไม่เตรียมความพร้อมเรื่องอื่นเลย ไม่รู้ว่าจะทำธุรกิจอย่างไร สนใจแต่การเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน แต่จีนกับเตรียมความพร้อมทุกด้าน และคำถามสำคัญที่สุดคือหากทำเสร็จสินค้าไทยจะไปจีน หรือสินค้าจีนจะมาไทยมากกว่ากัน อย่าลืมว่าสินค้าจีนบางอย่างดีกว่า และสินค้าไทยจะอยู่ได้ไหม
ปัจจุบันเราเห็นข่าวแล้วว่ามีคนจีนมาเปิดร้านขายของเองที่สำเพ็ง-ตลาดไทแล้วเป็นต้นเรื่องนี้ไม่ใช่การใช้ความรู้สึกแต่เป็นการตั้งคำถามและไม่ได้ต้องการโทษจีนเพราะเข้าใจว่ามันจำเป็นต้องทำหากตนเป็นรัฐบาลจีนและส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกผักก็จำเป็นต้องหาช่องทางในการส่งออกแต่ไทยจำเป็นต้องรู้ทันเพราะการเชื่อมโยงโดยไม่มียุทธศาสตร์เป็นเรื่องที่น่ากลัว
เมื่อถามถึงประเด็น การต้องเร่งทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาคนั้น ดร.สมพงษ์ตอบคำถามเรื่องนี้ว่า ในความเป็นจริงแล้วความเป็นศูนย์กลางเป็นเรื่องสัมพัทธ์ หากฟังจากรัฐบาลไทยก็จะบอกว่าไทยเป็นศูนย์กลางได้ แต่ในความเป็นจริงทุกประเทศเป็นศูนย์กลางได้หมด หากใช้ตรรกะดังกล่าว เมียนม่ามีความเป็นศูนย์กลางที่ดีมากกว่าไทยเสียอีก เพราะด้านซ้ายของเมียนม่าก็เป็นอินเดีย มีประชากรกว่าพันล้านคน ด้านบนก็ติดกับจีนมีประชากร พันล้านคนเช่นกัน ขณะที่ด้านขวาติดกับอาเซียนซึ่งมีประชากร 600 ล้านคน คำถามคือใครเป็นศูนย์กลางมากกว่ากัน
อาจารย์วิศวะ จุฬาฯ ทั้งสองท่านยืนยันว่ารัฐบาลต้องตอบคำถามว่าทำไม รัฐบาลต้องเร่งสร้างรถไฟความร่วมมือไทย-จีน ทั้งที่มีการเร่งแผนพัฒนารถไฟทางคู่ขนาดราง1 เมตรโดย รฟท.แล้ว เพราะหากจะอ้างเรื่องความปลอดภัย และสมรรถนะนั้น ยืนยันว่ารถไฟขนาดราง 1 เมตรก็สามารถทำให้ดีได้ หากมีการดูแลรักษาระบบรางที่ดี อ.จุฬาฯทั้งสองท่าน กล่าวทิ้งท้ายว่า
ในฐานะนักวิชาการจึงรู้สึกเป็นห่วงและเห็นว่าหากจะตัดสินใจอะไรต้องคิด และเป็นห่วงลูกหลานในอนาคต แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ การจะตีปี๊บและรีบเร่งจะทำให้ได้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ยืนยันว่าการพัฒนาชาติเป็นเรื่องดี นักวิชาการไม่ได้ขวางการพัฒนา แต่จำเป็นต้องถามเรื่องวิธีการที่ทำ เป็นความยั่งยืนและนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่าจริงหรือเปล่า เบื้องต้น น่าจะจำเป็นต้องมีการปฏิรูปด้านโครงสร้างการบริหารอย่างเร่งด่วน รวมถึงเห็นว่าสังคมทั้งสังคมจะต้องหยิบเรื่องนี้มาพูดคุยด้วยเหตุผลเสียที |
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 43404
Location: NECTEC
|
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 43404
Location: NECTEC
|
|
Back to top |
|
|
Wisarut
1st Class Pass (Air)
Joined: 27/03/2006 Posts: 43404
Location: NECTEC
|
Posted: 30/11/2015 10:50 am Post subject: |
|
|
ผู้บริหารด้านการรถไฟของไทยจำนวน 31 คนเยือนอู่ฮั่นดูงานรถไฟความเร็วสูงจีน
สำนักข่าวซินหัว
วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
สำนักข่าวซินหวารายงานว่า เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ศูนย์อบรมบุคลากรรถไฟความเร็วสูงเมืองอู่ฮั่น ซึ่งเป็นฐานฝึกอบรมบุคคลากรด้านรถไฟความเร็วสูงแห่งแรกของจีน ได้ต้อนรับผู้บริหารด้านการรถไฟจากประเทศไทยจำนวน 31 คน ที่มาศึกษาดูงานด้านการบริหารจัดการและทักษะที่เกี่ยวข้องเป็นเวลา 3 วัน นับเป็นการมาเยือนศูนย์อบรมบุคลากรรถไฟความเร็วสูงจีนกลุ่มแรก
ผู้รับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกรมการรถไฟอู่ฮั่นเห็นว่า การที่เจ้าหน้าที่ด้านการรถไฟของไทยมาศึกษาดูงานที่ศูนย์ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า โครงการร่วมมือด้านการก่อสร้างและบริหารจัดการการรถไฟจีน-ไทย กำลังเดินหน้าอย่างราบรื่นในทุกด้าน
ข่าวแจ้งว่า เนื้อหาการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ไทยประกอบด้วยการบรรยาย การแยกกลุ่มอภิปราย การเยี่ยมชมสถานที่ การฝึกปฏิบัติ เป็นต้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ไทยศึกษาเข้าใจผลสำเร็จ ประสบการณ์และเทคโนโลยีทันสมัยด้านการพัฒนาการรถไฟของจีนอย่างลึกซึ้งและถี่ถ้วน ความร่วมมือการรถไฟจีน-ไทย ไม่เพียงแต่จะสร้างคุณูปการต่อมิตรภาพ และการพัฒนาเศรษฐกิจของสองประเทศเท่านั้น หากยังจะส่งเสริมการแลกเปลี่ยนบุคลากรและเทคโนโลยีการรถไฟระหว่างสองประเทศ
ศูนย์อบรมบุคลากรรถไฟความเร็วสูงเมืองอู่ฮั่น เป็นองค์กรอบรมบุคลากรก่อนเข้าทำงานด้านการบริหารจัดการรถไฟความเร็วสูงเพียงแห่งเดียวของจีน รับผิดชอบต่อการให้คุณวุฒิการทำงานแก่บุคลากรด้านเทคโนโลยีและเจ้าหน้าที่บริหารด้านการรถไฟความเร็วสูง และเป็นหน่วยงานที่จัดเรียบเรียงตำราเรียนทางอชีวศึกษาด้านการรถไฟความเร็วสูงของจีน
//--------------------
นายกฯสั่งเร่งเจรจารถไฟฟ้าไทย-จีน
by Wanee L.
Voice TV
29 พฤศจิกายน 2558 เวลา 12:04 น.
ความร่วมมือก่อสร้างรถไฟฟ้า ไทย-ญี่ปุ่น มีความคืบหน้าไปอีกขั้น หลังไทยและญี่ปุ่นลงนามความร่วมมือ และจะจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในต้นปีหน้า ขณะที่โครงการความร่วมมือรถไฟไทย-จีน ยังคงไม่มีความ ชัดเจน ทำให้นายกรัฐมนตรีได้ออกมาเร่งรัดดำเนินโครงการโดยเร็ว
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เร่งรัดโครงการความร่วมมือระหว่างไทย-ญี่ปุ่น และความร่วมมือรถไฟไทย-จีนให้รวดเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะรถไฟไทย-จีน ในเส้นทางหนองคาย-นครราชสีมา-แก่งคอย-กรุงเทพฯ และแก่งคอย-มาบตาพุด หลังจากได้ประชุมร่วมกันมาแล้วถึง 8 ครั้ง แต่ยังไม่มีความคืบหน้า ขณะที่การสนับสนุนเงินกู้จากจีนเพื่อดำเนินโครงการ ยังหาข้อยุติไม่ได้ เนื่องจากทางจีน เสนออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ร้อยละ 2.5 ขณะที่ฝ่ายไทยต้องการดอกเบี้ยต่ำกว่าร้อยละ 2
ขณะที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ซึ่งอยู่ระหว่างนำทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจ และภาคเอกชนไทย โรดโชว์พบปะนักลงทุนที่ประเทศญี่ปุ่น และได้หารือกับ รองนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น ให้ช่วยเร่งรัดความร่วมมือในโครงการพัฒนาเส้นทางรถไฟ โดยไทยและญี่ปุ่น ได้ลงนามความร่วมมือ โครงการพัฒนาเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก สู่ตะวันตกใต้ และ ต้นปี 2559 จะจัดตั้งบริษัทร่วมทุนไทย ญี่ปุ่น |
|
Back to top |
|
|
|