View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
ExtendeD
1st Class Pass (Air)
Joined: 04/07/2006 Posts: 9054
Location: สังกัดหน่วยสำรวจสะพาน ตะลอนทั่วราชอาณาจักร
|
Posted: 04/03/2010 8:58 pm Post subject: |
|
|
บันทึกชีวิตนอกราง : ตอนที่ 8 ครั้งหนึ่งในชีวิต กับการ " พิชิตภูกระดึง "
วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553
บันทึกตอนนี้จะเป็นเรื่องราวในตอนที่ผมไปปีนภูกระดึงเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาครับ พวกเราเริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพในคืนวันที่ 21 ม.ค. โดยรถทัวร์ ป.1 ของบริษัท แอร์เมืองเลย จำกัด เที่ยวเวลา 22:15 น. ครับ
รถทัวร์คันนี้เป็นสาย 29 ครับ เท่าที่เห็นในคืนนั้นยังมีรถ VIP.32 ที่นั่ง ซึ่งเป็นของบริษัทเดียวกัน ออกจากหมอชิต 2 เวลา 22:30 น. อีกด้วย แต่ตอนที่น้องชายผมไปซื้อตั๋วบอกว่ารถเที่ยวนั้นเต็มแล้ว ผมก็เลยไม่รู้ว่าที่จริงแล้วมีตั๋วเหลืออยู่ไม่ถึง 19 ที่นั่งให้พวกเรา ( 19 ชีวิต ) สามารถเดินทางไปพร้อมกันได้หมด หรือว่าตั๋วเต็มจริง ๆ . . .
นี่เป็นบรรยากาศในห้องโดยสารของรถทัวร์คันที่จะพาพวกเราไปลงที่ " ผานกเค้า " ก็ไม่ต่างอะไรจากรถทัวร์ทั่ว ๆ ไปครับ เบาะที่นั่งของเจ้าตี๋ที่อยู่ข้าง ๆ ผมปรับเอนไม่ได้ซะด้วยซ้ำ เฮ้อ . . .
_________________ Life will knock us down . . . but we can choose to get back up.
|
|
Back to top |
|
|
ExtendeD
1st Class Pass (Air)
Joined: 04/07/2006 Posts: 9054
Location: สังกัดหน่วยสำรวจสะพาน ตะลอนทั่วราชอาณาจักร
|
Posted: 05/03/2010 6:30 am Post subject: |
|
|
หลังจากออกจากหมอชิต 2 แล้ว รถทัวร์คันที่ผมนั่งมาก็วิ่งไปตามทาง จากถนนวิภาวดีรังสิต เข้าสู่ถนนมิตรภาพ เลี้ยวซ้ายไปทางปากช่องเพื่อแวะพักคนพักรถที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง พอผู้โดยสารนำหางตั๋วไปแลกขนม และเครื่องดื่ม ได้พักผ่อนกันแล้ว ก็กลับเข้าสู่ถนนมิตรภาพอีกครั้ง ผ่านบริเวณด้านหน้าทางเข้าเขื่อนลำตะคองไปสักพัก รถทัวร์คันนี้ก็เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนน Bypass เลี่ยงเมืองโคราช ตรงไปตามทางเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข้าสู่เขต จังหวัดขอนแก่น ก็เลี้ยวเข้าสู่ถนนหมายเลข 12 มุ่งหน้าสู่อำเภอชุมแพ แล้วเลี้ยวเข้าสู่ถนนหมายเลข 201 ไปทางจังหวัดเลย สักพักใหญ่ ๆ ก็จะมาถึง ร้านเจ๊กิม @ ผานกเค้า ในเช้ามืดวันนั้นพวกเราก้าวลงจากรถพร้อมกับสายฝนโปรยปราย ( ค่อนข้างหนัก ) เลยทีเดียว นักท่องเที่ยวที่ลงจากรถทัวร์ที่นี่ต้องรอเวลาเพื่อขึ้นรถสองแถวเดินทางต่อไปยัง อุทยานแห่งชาติภูกระดึง อีกทีหนึ่งครับ ระหว่างนั้นก็ไปล้างหน้า แปรงฟัน หรือใครหิวก็หามื้อเช้าเบา ๆ รองท้องกันที่นี่ได้เลย
หลัง 07:00 น. ไม่นาน พวกเราก็ขึ้นรถสองแถวมุ่งหน้าไปยัง อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ครับ จริง ๆ แล้วถ้าไม่มีเมฆฝนมาปกคลุมบริเวณนี้ เราจะสามารถมองเห็น ผานกเค้า ได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียวครับ น่าเสียดายจริง ๆ น่าเสียดายจริง ๆ . . .
รถสองแถวก็ขับตรงไปตามถนนหมายเลข 201 เรื่อย ๆ ไม่นานก็เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนหมายเลข 2019 ซึ่งเป็นถนนเล็ก ๆ 2 ช่องจราจร ถูกขนาบข้างด้วยป่ารก ๆ ครับ
_________________ Life will knock us down . . . but we can choose to get back up.
|
|
Back to top |
|
|
Adithepc20
1st Class Pass (Air)
Joined: 05/07/2006 Posts: 3403
Location: ลาดพร้าว 71 หรือ ชานเมือง 9
|
Posted: 05/03/2010 11:59 am Post subject: |
|
|
ขอเข้าคิวรอชมที่ จ.เลย เวลานี้ด้วยนะ เสียดายพี่เต้ยน่าจะแวะมาที่ จ.เลย เวลานี้ รถตู้ที่เหมามาจาก กทม. ว่างซะเหลือเกิน ไม่มีใครมางานที่นี่เลยอะ _________________ ฮิตาชิ 4506 ขณะทำขบวนรถสินค้าที่ 879 ออกจากสถานีชุมทางศรีราชา วันที่ 20 เม.ย. 2553 เวลา 16.50 น.
|
|
Back to top |
|
|
ExtendeD
1st Class Pass (Air)
Joined: 04/07/2006 Posts: 9054
Location: สังกัดหน่วยสำรวจสะพาน ตะลอนทั่วราชอาณาจักร
|
Posted: 05/03/2010 2:49 pm Post subject: |
|
|
รถสองแถวจะมาส่งนักท่องเที่ยวถึงบริเวณด้านหน้า ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่เห็นอยู่ในรูปข้างล่างนี้เลยครับ พวกเรายังต้องรอให้ถึงเวลา 08:00 น. หลังจากเคารพธงชาติเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ถึงจะเริ่มปล่อยให้ผู้มาเยือนจากต่างแดนได้ออกกำลังกาย ปีนขึ้นภูให้สาแก่ใจที่อุตส่าห์เดินทางไกลมาหลายร้อยกิโลเมตรครับ
ภายในศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแห่งนี้ มีรูปภาพและข้อมูลเกี่ยวกับ ภูกระดึง มากมาย นักท่องเที่ยวที่มีความสนใจอยากศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ก็จะได้เกร็ดความรู้เพิ่มเติมจากที่นี่ติดตัวก่อนขึ้นภูไปพอสมควรเลยครับ
ข้อมูลตามป้าย wrote: | ตำนานแห่งภูกระดึง
หากจะกล่าวถึงความเป็นมาของภูเขาอันน่าอัศจรรย์แห่งนี้ คงต้องย้อนกลับไปในมหายุค Mosozoic ซึ่งเป็นยุคที่พื้นโลกเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ เมื่อประมาณ 300 ล้านปีที่แล้ว บริเวณที่ราบสูงภาคอีสานเคยเป็นทะเลมาก่อน และมีการตกตะกอนทับถม ของดินทรายกลายเป็นชั้นหินชุดต่าง ๆ ต่อมาเมื่อประมาณ 250 ล้านปีที่ผ่านมา เปลือกโลกเกิดโก่งและโค้งตัว ทำให้พื้นที่แห่งนี้ยกสูงขึ้นเป็นเทือกเขาหินทรายอันยิ่งใหญ่
แต่อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติได้ใช้เวลานับล้านปีกัดเซาะหินทรายจนผุกร่อนสลายลงคงเหลือเฉพาะชั้นหินอันแข็งแกร่ง ที่ตั้งตระหง่านเย้ยฟ้าท้าดินดังที่ปรากฏถึงปัจจุบัน
ตำนานได้เล่าขานถึงเสียงกระดิ่งหรือระฆังใหญ่ ที่แว่วดังมาจากยอดภูสูงที่มีสัณฐานคล้ายดังกระดิ่งทับหล้าในวันโกน หรือวันพระ คล้ายกับว่ามีวัดอยู่บนยอดเขา บ้างว่าเป็นเสียงระฆังของพระอินทร์ แต่ยังไม่มีผู้ใดเคยย่างกรายไปถึง จึงได้แต่เรียกขานภูเขาแห่งนี้ว่า " ภูกระดึง " ตราบจนกระทั่งพรานป่าแห่งหมู่บ้านศรีฐานได้ตามรอยกระทิงขึ้นสู่ยอดภู สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาก็คือที่ราบกว้างใหญ่ไกลสุดสายตา หน้าผาสูงชัน ทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยฝูงสัตว์ป่าเดินหากินอย่างอิสระเสรี ป่าสนเรียงราย น้ำตกอันแสนงดงาม ตลอดทั้งมวลไม้ป่านานาพันธุ์ดังสวนสวรรค์ จึงเป็นที่เลื่องลือไปทั่วนับจากนั้นมา
จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระเจ้าวรวงศ์กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมสมุหเทศาภิบาล ได้รายงานเกี่ยวกับความสวยงามและธรรมชาติอันควรค่าแก่การเก็บรักษาไว้ของภูกระดึงให้กระทรวงมหาดไทยได้รับทราบ ต่อมากรมป่าไม้ได้ทำการสำรวจพื้นที่ภูกระดึงและประกาศเป็นป่าสงวนแห่งชาติ เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2486 นอกจากนี้ยังได้เตรียมการจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย แต่เนื่องจากงบประมาณมีจำกัด อีกทั้งขาดแคลนอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ ทำให้ดำเนินงานไปได้ไม่มากนัก จวบจนกระทั่งในปีพุทธศักราช 2505 พื้นที่ป่าภูกระดึงจึงได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ ตามประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 79 ตอนที่ 104 ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2505 ครอบคลุมพื้นที่ 217,581.25 ไร่ หรือประมาณ 348.13 ตารางกิโลเมตร นับเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งที่ 2 ของประเทศ ต่อจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
ตำนานภูกระดึงคงไม่สมบูรณ์ หากไม่ได้กล่าวถึงองค์พระพุทธเมตตาและเหล่าลูกหาบ องค์พระพุทธเมตตา เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์คู่ภูกระดึงมาช้านาน ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2463 โดยหลวงวิจิตรคุณสาร นายอำเภอวังสะพุงในขณะนั้นได้ร่วมกับราษฎรสร้างขึ้นเพื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจด้วยแรงศรัทธาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และมหัศจรรย์แห่งนี้ ซึ่งแต่เดิมพระพุทธรูปที่สร้าง ยังไม่มีชื่อ ต่อมาในปีพุทธศักราช 2526 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะบริเวณรอบ ๆ องค์พระด้วยหินอ่อน พร้อมทั้งเสด็จมาทรงเจิมและสวมเกศรวมถึงพระราชทานนามพระพุทธรูปนี้ว่า " พระพุทธเมตตา "
สำหรับลูกหาบ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่ภูกระดึงมาตั้งแต่เริ่มแรกโดยเริ่มจากความมีน้ำใจของราษฎรบ้านศรีฐานในการช่วยเหลือแบ่งเบาสัมภาระของนักท่องเที่ยวโดยไม่มีค่าจ้างต่อมาเมื่อปริมาณนักท่องเที่ยวมากขึ้น จึงเกิดเป็นระบบเกื้อกูลพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันระหว่างนักท่องเที่ยวและชุมชน ขณะที่นักท่องเที่ยวได้บรรลุจุดหมายสู่ยอดภูกระดึง ชาวบ้านก็มีรายได้เพิ่มมากขึ้น
ภูกระดึงเป็นที่รวมของภูผาและธารน้ำตกที่ล้วนเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ นักเดินทางรุ่นแล้วรุ่นเล่าต่างมุ่งหน้ามาสู่สถานที่แห่งนี้ ไม่ว่าหนทางจะลำบากยากเย็นแสนเข็ญสักเพียงใดก็ตาม แต่กลับเป็นสิ่งท้าทายให้ทุกคนบากบั่นเพื่อที่จะได้สัมผัสกับธรรมชาติ อันแสนยิ่งใหญ่วันเวลายิ่งผ่านเลยไป ผู้คนมากมายก็ยิ่งหลั่งไหลมาสู่ภูกระดึงมากขึ้น หลายคนเดินทางมาครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเก็บสะสมความงดงามอันหลากหลายที่ไม่สามารถสัมผัสได้ทั้งหมดภายในการมาเยือนเพียงครั้งหนึ่ง
แต่หลายครั้งที่ธรรมชาติได้ถูกทำลายจากการลักลอบเก็บพันธุ์ไม้ การล่าสัตว์ป่า ตลอดจนการเหยียบย่ำ การขีดเขียน และทิ้งขยะ ทำให้ภูกระดึงที่เป็นสวรรค์อันอุดมสมบูรณ์กำลังเสื่อมโทรมลงและคงจะเหลือเพียงตำนานในที่สุด หากเราปล่อยให้เป็นเช่นที่ผ่านมา ถึงเวลาแล้วที่ธรรมชาติอันงดงามบริสุทธิ์ ที่ยังคงเหลืออยู่ในวันนี้จะได้รับการดูแลรักษาจากทั้งชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ นักท่องเที่ยวผู้มาเยือนและผู้ที่รักและเข้าใจธรรมชาติอย่างแท้จริง |
_________________ Life will knock us down . . . but we can choose to get back up.
|
|
Back to top |
|
|
ExtendeD
1st Class Pass (Air)
Joined: 04/07/2006 Posts: 9054
Location: สังกัดหน่วยสำรวจสะพาน ตะลอนทั่วราชอาณาจักร
|
Posted: 05/03/2010 7:59 pm Post subject: |
|
|
ใกล้ ๆ กับประตูทางเข้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมีตัวเลขบอกปริมาณน้ำฝน และอุณหภูมิต่ำสุด - สุงสุด เอาไว้ขู่นักท่องเที่ยว เอ๊ย! ไม่ใช่ . . . คงจะแจ้งตัวเลขเอาไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รับรู้ว่าเมื่อขึ้นไปถึงบนยอดภูแล้ว จะได้พบเจอกับสภาพอากาศแบบไหนประมาณนั้นครับ
รอบ ๆ เสาต้นนี้ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับป่าไม้ชนิดต่าง ๆ ที่อยู่บนภูกระดึงแห่งนี้ด้วยครับ
ข้อมูลตามป้าย wrote: | สภาพป่าไม้และลักษณะสังคมพืชของอุทยานแห่งชาติภูกระดึง
ลักษณะและชนิดสังคมพืช ป่าในอุทยานแห่งชาติภูกระดึงในปัจจุบันนับว่าเป็นป่าที่มีสภาพที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดป่าหนึ่ง พื้นที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึงตั้งอยู่ที่ความสูงที่แตกต่างกันไป ระหว่าง 200 เมตร ถึง 1,300 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ดังนั้นสภาพของสังคมพืชจึงแตกต่างกันไปตามระดับความสูง พื้นที่ป่าพอจะจำแนกได้เป็น 5 ชนิดสังคมพืช คือ
1. ป่าเต็งรัง ( Dry Dipterocarp Forest )
2. ป่าเบญจพรรณ ( Mixed Deciduous Forest )
3. ป่าดิบแล้ง ( Dry Evergreen Forest )
4. ป่าดิบเขา ( Hill Evergreen Forest )
5. ป่าสนเขา ( Coniferous Forest )
ป่าแต่ละชนิดมีสภาพและชนิดไม้ที่สำคัญ ดังนี้
1. ป่าเต็งรัง ( Dry Dipterocarp Forest )
ป่าเต็งรังในอุทยานแห่งชาติภูกระดึงพบขึ้นกระจัดกระจายในพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 200 ถึง 600 เมตร บริเวณพื้นที่แห้งแล้งมีดินตื้นจนถึงมีความลึกปานกลาง ส่วนบริเวณที่มีความลาดชันมาก มักมีหินโผล่ทั่วไป มีเนื้อที่ประมาร 27.07 ตารางกิโลเมตร หรือ 7.78 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่อุทยานแห่งชาติทั้งหมด ป่าชนิดนี้มีเรือนยอด 3 ชั้น ความสูงของเรือนยอดชั้นบนสุดประมาณ 20 - 25 เมตร พันธุ์ไม้ที่สำคัญในชั้นนี้ได้แก่ เต็งรัง และประดู่ เรือนยอดชั้นสองมีความสูงประมาณ 15 - 20 เมตร พันธุ์ไม้ที่สำคัญในชั้นนี้ได้แก่ กระท่อมหมู กุ๊ก ตะแบกเลือด รกฟ้า มะกอกเกลื้อน และตับเต่าต้น ส่วนเรือนยอดในชั้นของไม้ขนาดเล็ก มีความสูงประมาณ 10 - 15 เมตร พันธุ์ไม้ที่สำคัญในชั้นนี้ได้แก่ เก็ดดำ เก็ดแดง ตานเหลือง มะค่าแต้ ยอป่า ส้าน ขว้าว ตะคร้อ กระบก และมะม่วงหัวแมงวัน เป็นต้น
พื้นที่ป่าประกอบด้วย กล้าไม้ของชั้นไม้ชั้นบนเป็นส่วนใหญ่ และพันธุ์ไม้ชนิดอื่น ๆ เช่น หญ้าเพ็ก กระดูกอึ่ง เหมือดโลด มะเม่า ลูกใต้ใบ กะตังใบ เล็บเหยี่ยว ผักปลาบ กระเจียวขาว หญ้าคา เปราะป่า และพันธ์ไม้ชนิดอื่น ๆ จากการสำรวจพืชในป่าเต็งรัง พบไม้ทั้งหมดจำนวน 41 ชนิดพันธุ์
2. ป่าเบญจพรรณ ( Mixed Deciduous Forest )
ป่าเบญจพรรณในอุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นสังคมพืชที่ค่อนข้างโปร่ง พบขึ้นกระจายในพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางระหว่าง 250 ถึง 1,000 เมตร มีเนื้อที่ประมาณ 233.79 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 67.16 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่อุทยานแห่งชาติทั้งหมด ป่าชนิดนี้มีเรือนยอด 4 ชั้น ความสูงของเรือนยอดชั้นบนสุดประมาณ 25 - 31 เมตร พันธุ์ไม้สำคัญในชั้นนี้ได้แก่ แดง กระบก ประดู่ พะยอม ตะแบกแดง ตะแบกเลือด เรือนยอดชั้นสองมีความสูงประมาณ 20 - 25 เมตร พันธุ์ไม้ที่สำคัญในชั้นนี้ได้แก่ มะกอก กระโดน ตะคร้อ งิ้วป่า ขว้าว แคทราย ขางหัวหมู และตะโกนา เรือนยอดชั้นที่สามมีความสูงประมาณ 15 - 20 เมตร ไม้สำคัญได้แก่ ส้าน คำแสด พฤกษ์ อินทนิลบก ตะคร้า เปล้าใหญ่ ขี้อาย กาสามปีก เลียงมัน ซ้อ กุ๊ก เก็ดแดง ผาเสี้ยน กระท่อมหมู ส่วนเรือนยอดของไม้ขนาดเล็กมีความสูงประมาณ 10 - 15 เมตร พันธุ์ไม้สำคัญได้แก่ นางนวล ยางตาบอด สมอ กระทอน ปอหู สะแกแสง ตะแบกเปลือกบาง สมอพิเภก เสี้ยวป่า เสี้ยวเครือ รวมทั้งไผ่ไร่และไผ่รวก
พื้นที่ป่าประกอบด้วยกล้าไม้ของไม้ชั้นบนและพันธุ์ไม้ชนิดอื่น ๆ เช่น สาบเสือ กล้วยป่า กะตังใบหญ้า บุก สบู่เลือด ข่าคม เข็มป่า คงคาเดือด ผักปลาบ และอื่น ๆ จากการสำรวจพืชในป่าเบญจพรรณ พบไม้ทั้งหมดจำนวน 73 ชนิดพันธุ์
3. ป่าดิบแล้ง ( Dry Evergreen Forest )
ป่าดิบแล้งในอุทยานแห่งชาติภูกระดึงเป็นป่าที่ขึ้นในที่ค่อนข้างชุ่มชื้น ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 300 ถึง 800 เมตร มีเนื้อที่ป่าประมาณ 14.4 ตารางกิโลเมตร หรือประมาร 4.16 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่อุทยานแห่งชาติทั้งหมด ป่าชนิดนี้มีเรือนยอด 4 ชั้น เรือนยอดชั้นบนสูง 25 - 30 เมตร พันธุ์ไม้สำคัญได้แก่ ยางแดง เรือนยอดไม้ชั้นสองมีความสูงประมาณ 20 - 25 เมตร พันธุ์ไม้สำคัญในชั้นนี้ได้แก่ ตะเคียนทอง ก่อ เรือนยอดไม้ชั้นที่สามมีความสูงประมาณ 15 - 20 เมตร พันธุ์ไม้สำคัญได้แก่ กระบก หว้า มะแฟน ส้าน ก่อ มะกอกเกลื้อน ตะไคร้ พญามีฤทธิ์ ส่วนเรือนยอดในชั้นของไม้ขนาดเล็กมีความสูงประมาณ 10 - 15 เมตร พันธุ์ไม้สำคัญมี สำไยป่า คอแลน และก่อบางชนิด
พื้นป่าประกอบด้วยกล้าไม้ของไม้ชั้นบนเช่น ยางแดงและตะเคียนทอง และพันธุ์ไม้ชนิดอื่น ๆ เฃ่น เข็ม ตดหมา เปล้าใหญ่ กะตังใบ ข่าคม มะกล่ำตาหนู สาบเสือ บุก บอน และอื่น ๆ จากการสำรวจพืชในป่าดิบแล้ง พบไม้ทั้งหมดจำนวน 93 ชนิดพันธุ์
4. ป่าดิบเขา ( Hill Evergreen Forest )
ป่าดิบเขาเป็นป่าที่ขึ้นในที่ชุ่มชื้นที่สุดในอุทยานแห่งชาติภูกระดึง สังคมพืชชนิดนี้จะขึ้นเฉพาะในที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาร 1,000 ถึง 1,300 เมตร มีเนื้อที่ประมาณ 39.51 ตารางกิโลเมตร หรือประมาร 11.35 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่อุทยานแห่งชาติทั้งหมด ป่าชนิดนี้มีเรือนยอดแบ่งเป็น 4 ชั้น เรือนยอดชั้นบนสุดสูง 25 - 35 เมตร พันธุ์ไม้สำคัญได้แก่ ก่อทั้ง 3 สกุลคือสกุล Castanopsis สกุล Lithocarpus และสกุล Quercus เช่น ก่อเดือย ก่อใบเลี่ยม ก่อข้าว ก่อหมาก และหว้า เรือนยอดไม้ชั้นสองมีความสูงประมาณ 15 - 25 เมตร พันธุ์ไม้สำคัญได้แก่ ก่อชนิดต่าง ๆ ตะเคียนเฒ่า ตะแบกแดง กล้วยฤาษี เรือนยอดไม้ชั้นที่สาม มีความสูงประมาณ 10 - 15 เมตร พันธุ์ไม้สำคัญได้แก่ ก่วมแดง มังตาน พญามะขามป้อม มะไฟ มะกอกเกลื้อน และลำไยป่า ส่วนเรือนยอดในชั้นของไม้ขนาดเล็ก มีความสูงไม่เกิน 10 เมตร ได้แก่ ส้าน สารภี สอยดาว ฝิ่นต้น หมากนางลิง คำแสด จ๊าเมี่ยง และสัตบรรณ
พื้นที่ป่าประกอบด้วยกล้าไม้ของป่าชั้นบนและพันธุ์ไม้ชนิดอื่น ๆ เช่น กระตังใบ หมากเหน่ง ( เร่ว ) เฟิร์น สัปปะรด และไม้เถาบางชนิด จากการสำรวจพืชในป่าดิบเขา พบไม้ทั้งหมด 78 ชนิดพันธุ์
5. ป่าสนเขา ( Coniferous Forest )
ป่าสนเขาในอุทยานแห่งชาติภูกระดึงพบเฉพาะบนยอดเขา ซึ่งเป็นภูเขายอดตัดเท่านั้น มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,000 ถึง 1,300 เมตร เป็นป่าโปร่งมาก มีเนื้อที่ประมาณ 31.38 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 9.13 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่อุทยานแห่งชาติทั้งหมด ป่าชนิดนี้มีเรือนยอด 2 ถึง 3 ชั้น ความสูงของไม้ชั้นเรือนยอดประมาณ 20 - 25 เมตร พันธุ์ไม้สำคัญได้แก่ สนสองใบ สนสามใบ ซึ่งขึ้นปะปนกันแต่จะมีสนสองใบมากกว่าสนสามใบ หรือจะมีเฉพาะสนสองใบขึ้นเป็นกลุ่มใหญ่ นอกจากนี้บางที่จะมีไม้ก่อขึ้นปะปนกับไม้สนโดยเฉพาะก่อขี้หมู ส่วนเรือนยอดในชั้นของไม้ขนาดเล็กมีความสูงไม่เกิน 10 เมตร จะมีพันธุ์ไม้ขึ้นปะปน เช่น หัวแหวน ( ส้มแปะ )
พื้นป่าสนเขาจะโล่งเตียนลักษณะเป็นทุ่งโล่ง มีกล้าไม้สนสองใบ สนสามใบ ก่อขี้หมู หัวแหวน มังตาน สนสร้อย นอกจากนั้นก็มีพันธุ์ไม้ขนาดเล็กขึ้นอยู่ตามพื้นป่า ได้แก่ หยาดน้ำค้าง เขนงนายพรานหมู น้ำเต้าพระฤาษี เทียนภู ตีนจ้ำ กระถินทุ่ง ดาวเรืองภู เอ็นอ้า จากการสำรวจพืชในป่าสนเขา พบไม้ทั้งหมด 3 ชนิดพันธุ์ |
_________________ Life will knock us down . . . but we can choose to get back up.
|
|
Back to top |
|
|
ExtendeD
1st Class Pass (Air)
Joined: 04/07/2006 Posts: 9054
Location: สังกัดหน่วยสำรวจสะพาน ตะลอนทั่วราชอาณาจักร
|
Posted: 06/03/2010 11:00 am Post subject: |
|
|
เดินเข้ามาข้างในก็ยังคงจะได้เห็นภาพถ่ายสวย ๆ ซึ่งก็มีทั้งภาพบรรยากาศยามเช้า ยามเย็น ภาพป่าไม้ ภูเขา น้ำตก รวมไปถึงสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ . . .
นอกจากนั้นก็ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับโปรแกรมการท่องเที่ยว และกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะถูกจัดขึ้นภายในพื้นที่เขต อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ในช่วงปีหนึ่ง ๆ ด้วยครับ
ข้อมูลตามป้าย wrote: | ปฏิทินการท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติภูกระดึง
ตุลาคม - พฤศจิกายน มนต์เสน่ห์แห่งการเริ่มต้น
อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยว
ขึ้นไปเที่ยวและพักแรมบนยอดภูกระดึงได้แล้ว
ชมป่าเขียวชอุ่ม ชุ่มชื้น เมฆหมอกไอน้ำ ขอบลำธารเขียวขจี
มีน้ำตกกึกก้องพนา สัตว์ป่าออกหากินยามค่ำคืน
สัมผัสทะเลหมอก ชมดอกไม้ริมขอบผา
ธันวาคม - มกราคม มนต์เสน่ห์แห่งความทรงจำ
สัมผัสอากาศหนาวเย็นยะเยือก
กับอุณหภูมิที่มีตัวเลขเพียงตัวเดียว
อิ่มเอมกับทุ่งหญ้าใบไม้ ใบเมเปิ้ลเปลี่ยนเป็นสีแดง
ชมแสงอาทิตย์อัสดง ท้ายสุดแห่งปี เปรมปรีย์กับแสงอรุณของวันใหม่
กุมภาพันธ์ - มีนาคม มนต์เสน่ห์แห่งสีสันและความรัก
อากาศหนาวเริ่มจากลา ชมทุ่งดอกหญ้า ดอกเอ็นอ้าบานสพรั่ง
สัมผัสความงามยามป่าเปลี่ยนสี กุหลาบแดง
เชิญหนุ่มสาวควงคู่ จดทะเบียนสมรสหมู่บนภูกระดึง
ในเทศกาลวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์
เมษายน - พฤษภาคม มนต์เสน่ห์แห่งการศึกษาธรรมชาติ และประเพณีท้องถิ่น
หลบลมร้อนพักผ่อนบนยอดภู ป่าปิดที่ถูกปิดมาแรมปี เริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าศึกษาและชมสังคมป่าได้แล้ว อากาศร้อนผ่านพ้นไป ฝนเริ่มเข้ามาแทนที่ ชมดอกกระเจียวตามทุ่งหญ้า สลับสีกับดอกไม้นานาพรรณ ร่วมงานสรงน้ำพระพุทธเมตตาบนเขา วันที่ 18 - 19 เมษายนของทุกปี |
ข้อมูลตามป้าย wrote: | กิจกรรมการท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
กิจกรรมพิธีเปิดการท่องเที่ยวและพักแรมบนยอดภูกระดึง
ในวันที่ 1 ตุลาคม โดยได้เรียนเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดเลย เป็นประธานในพิธี พร้อมกับจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การออกร้านแสดงผลิตภัณฑ์ของชุมชนท้องถิ่น การแสดงของชุมชนรอบแนวเขตและขบวนแห่อันน่าตื่นตา
กิจกรรมส่งเสริมสถาบันครอบครัว
การจัดงานจดทะเบียนสมรสหมู่บนยอดภูกระดึง ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี
กิจกรรมส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมประเพณี
อุทยานแห่งชาติภูกระดึงร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลศรีฐาน จัดงาน " เชิญเที่ยวภูกระดึงเดือนเมษา - พฤษภา " สรงน้ำพระพุทธเมตตา วันเนา เข้าศึกษาพื้นที่ป่าปิด ในวันที่ 18 - 19 เมษายน ของทุกปี |
_________________ Life will knock us down . . . but we can choose to get back up.
|
|
Back to top |
|
|
ExtendeD
1st Class Pass (Air)
Joined: 04/07/2006 Posts: 9054
Location: สังกัดหน่วยสำรวจสะพาน ตะลอนทั่วราชอาณาจักร
|
Posted: 06/03/2010 7:19 pm Post subject: |
|
|
08:00 น. เสียงเพลงชาติดังขึ้น พวกเรารวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ๆ ที่เดินทางมาถึง อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ในเช้าวันนั้น ก็ยืนตรงเคารพธงชาติกันที่บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวครับ หลังเสียงเพลงชาติจบลงพวกเราก็ทยอยกันเดินไปตามจุดต่าง ๆ ที่เจ้าหน้าที่กำหนดเอาไว้เพื่อดำเนินการตามขั้นตอน เริ่มจากจุดที่ 1 ที่เห็นอยู่นี้ เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวต้องมาติดต่อเรื่องบ้านพัก / เต๊นท์ที่จะใช้พักผ่อนกันในทุก ๆ ค่ำคืนตลอดช่วงที่ยังอยู่บนภูครับ
จากจุดที่ 1 เดินต่อไปด้านในจะพบกับจุดที่ 2 ที่จุดนี้เจ้าหน้าที่จะตรวจสัมภาระที่นักท่องเที่ยวกลุ่มต่าง ๆ นำติดตัวมา หากเป็นสิ่งของต้องห้าม เช่น เตาถ่าน ก็แน่นอนครับ นำขึ้นไปไม่ได้แน่ ๆ แต่หากเป็น ขวดน้ำพลาสติก เจ้าหน้าที่ก็จะเก็บเงินค่ามัดจำเอาไว้ แล้วพอนักท่องเที่ยวลงมาจากภูแล้ว ก็นำขวดพลาสติกนั้น ๆ มาแลกเงินค่ามัดจำคืนได้ครับ
_________________ Life will knock us down . . . but we can choose to get back up.
|
|
Back to top |
|
|
ExtendeD
1st Class Pass (Air)
Joined: 04/07/2006 Posts: 9054
Location: สังกัดหน่วยสำรวจสะพาน ตะลอนทั่วราชอาณาจักร
|
Posted: 06/03/2010 8:15 pm Post subject: |
|
|
ถูกตรวจค้นสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ก็เดินต่อไปยังจุดที่ 3 ซึ่งผมว่าสำคัญที่สุดเลย ถ้าไม่มีล่ะก็แย่แน่ . . . ที่นี่เป็นสถานที่ที่เราจะได้พบกับผู้ช่วยคนสำคัญ ผมกำลังหมายถึง " ลูกหาบ " นั่นเองครับ
ที่จุดนี้นักท่องเที่ยว ( ควร ) จะแยกสัมภาระคิดว่าจะต้องใช้ระหว่างการปีนขึ้นภู เช่น ผ้าเช็ดหน้า ยาดม ยาลม ยาหม่อง ยานวดต่าง ๆ ออกมา ส่วนสัมภาระชิ้นอื่นนอกเหนือจากนั้น ปล่อยให้ลูกหาบเป็นผู้แบกขึ้นไปแทนดีกว่า ผมว่าพี่ ๆ น้อง ๆ เกือบทุกคนคงจะเคยได้ยินกิตติศัพท์ความโหดของเส้นทางขึ้นภูกระดึงกันมาบ้างแล้ว เพราะฉะนั้นคงไม่มีใครคิดจะแบกขึ้นไปเองหรอกนะครับ
กระเป๋าหรือสัมภาระอย่างอื่นที่ถูกคัดแยกเอาไว้ให้ลูกหาบแบกขึ้นภูไป จะถูกนำมาชั่งน้ำหนักที่จุดที่ 3 แห่งนี้ โดยที่นักท่องเที่ยวจะต้องจ่ายค่าบริการในอัตรากิโลกรัมละ 15 บาท คุ้มแสนจะคุ้ม ว่าแต่กระเป๋าใบนั้นของใครหว่า คุ้น ๆ . . .
ข้อมูลตามป้าย wrote: | การจ้างหาบสัมภาระขึ้นเขาภูกระดึง
1. ติดต่อการจ้างหาบสัมภาระ ณ อาคารสัมภาระ
2. ซื้อบัตรติดสัมภาระตามจำนวนชิ้นที่จะว่าจ้างและรับบัตรคิวชั่งน้ำหนัก
3. เขียนชื่อผู้ว่าจ้าง และวันที่ลงบนบัตรสัมภาระทั้ง 3 ส่วนให้ชัดเจน ( ห้ามฉีกแต่ละส่วนออกจากกัน ) และติดบัตรสัมภาระแต่ละบัตรไว้กับสัมภาระแต่ละชิ้น รอเรียกชั่งน้ำหนัก
4. เมื่อชั่งน้ำหนักแล้ว เจ้าหน้าที่จะเขียนรายละเอียดน้ำหนักของสัมภาระแต่ละชิ้น และชื่อลูกหาบลงบนบัตรสัมภาระ พร้อมทั้งเรียกลูกหาบมารับสัมภาระเพื่อหาบสัมภาระขึ้นเขา โดยเจ้าหน้าที่จะฉีกบัตรในส่วนสำหรับนักท่องเที่ยว ให้ผู้ว่าจ้างไว้เป็นหลักฐาน
5. เมื่อเดินทางถึงยอดเขา โปรดติดต่อขอรับสัมภาระจากลูกหาบ ณ บริเวณอาคารสัมภาระ ตรวจดูสัมภาระครบถ้วนถูกต้อง จึงจ่ายค่าจ้างให้กับลูกหาบ ในอัตรากิโลกรัมละ 15 บาท
หากไม่ได้รับความสะดวก ไม่เป็นธรรม หรือลูกหาบแสดงกิริยาวาจาไม่สุภาพ หรือลูกหาบเรียกค่าบริการเพิ่มเติม จากที่ทางราชการกำหนด โปรดแจ้งหัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูกระดึง
อุทยานแห่งชาติภูกระดึง อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย 42180
การจ้างหาบสัมภาระลงจากเขาภูกระดึง
1. นักท่องเที่ยวโปรดแจ้ง วัน เวลา ที่จะลงเขากับเจ้าหน้าที่งานสัมภาระบนเขา ก่อนวันที่จะลง 1 วัน เพื่อจะได้นัดหมายลูกหาบขึ้นไปรับสัมภาระได้ถูกต้อง
2. เมื่อถึงวันนัดหมาย โปรดนำสัมภาระไปติดต่อการจ้างหาบสัมภาระ ณ อาคารสัมภาระ
3. ซื้อบัตรติดสัมภาระ ตามจำนวนชิ้นที่จะว่าจ้างและรับบัตรคิวชั่งน้ำหนัก
4. เขียนชื่อผู้ว่าจ้าง และวันที่ลงบนบัตรสัมภาระทั้ง 3 ส่วนให้ชัดเจน ( ห้ามฉีกแต่ละส่วนออกจากกัน ) และติดบัตรสัมภาระแต่ละบัตรไว้กับสัมภาระแต่ละชิ้น รอเรียกชั่งน้ำหนัก
5. เมื่อชั่งน้ำหนักแล้ว เจ้าหน้าที่จะเขียนรายละเอียดน้ำหนักของสัมภาระแต่ละชิ้น และชื่อลูกหาบลงบนบัตรสัมภาระ พร้อมทั้งเรียกลูกหาบมารับสัมภาระเพื่อหาบสัมภาระขึ้นเขา โดยเจ้าหน้าที่จะฉีกบัตรในส่วนสำหรับนักท่องเที่ยว ให้ผู้ว่าจ้างไว้เป็นหลักฐาน
กรณีสัมภาระทุกชิ้นของผู้ว่าจ้างรวมกันแล้วไม่ถึง 50 กิโลกรัม เจ้าหน้าที่จะพิจารณาจัดสรรสัมภาระของผู้ว่าจ้างรายอื่นมาให้ลูกหาบเพิ่มเติม เพื่อให้ลูกหาบมีรายได้คุ้มกับที่ต้องเดินขึ้นไปหาบสัมภาระบนเขา
6. 5. เมื่อเดินทางถึงเชิงเขา โปรดติดต่อขอรับสัมภาระจากลูกหาบ ณ บริเวณอาคารสัมภาระ ตรวจดูสัมภาระครบถ้วนถูกต้อง จึงจ่ายค่าจ้างให้กับลูกหาบ ในอัตรากิโลกรัมละ 15 บาท |
_________________ Life will knock us down . . . but we can choose to get back up.
|
|
Back to top |
|
|
ExtendeD
1st Class Pass (Air)
Joined: 04/07/2006 Posts: 9054
Location: สังกัดหน่วยสำรวจสะพาน ตะลอนทั่วราชอาณาจักร
|
Posted: 07/03/2010 6:45 am Post subject: |
|
|
หลังจากสลัดสัมภาระอันแสนจะหนักอึ้งให้ลูกหาบเป็นผู้รับภาระแทนไปแล้ว ทีนี้ก็สบายตัว พร้อมจะลุยขึ้นภูกันล่ะครับ แต่ก่อนหน้าที่จะก้าวเข้าสู่ประตูแห่งความลำบากลำบน ก็เลี้ยวขวาเข้ามาไหว้ ศาลเจ้าปู่ภูกระดึง เป็นการให้ความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และขอพรให้พวกเราแคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งปวงตลอดเวลาที่ผจญภัยอยู่บน ภูกระดึง แห่งนี้ครับ
_________________ Life will knock us down . . . but we can choose to get back up.
|
|
Back to top |
|
|
ExtendeD
1st Class Pass (Air)
Joined: 04/07/2006 Posts: 9054
Location: สังกัดหน่วยสำรวจสะพาน ตะลอนทั่วราชอาณาจักร
|
Posted: 07/03/2010 9:19 am Post subject: |
|
|
เอาล่ะครับ คงจะถึงเวลาที่ต้องออกกำลังกาย ( อย่างหนัก ) เพื่อปีนขึ้นไปบนภูกันแล้ว " ครั้งหนึ่งในชีวิต ขอพิชิตภูกระดึง " เหมือนอย่างเขาบ้าง . . .
พอเดินผ่านป้ายและซุ้มที่เห็นอยู่ในรูปข้างล่างนี้ไป ก็เท่ากับว่า 5.5 กิโลเมตร แห่งความท้าทายก็ได้เริ่มต้นขึ้น อ่านดูจากป้ายจะเห็นว่ามีข้อความที่บอกว่า " ระยะทาง 5,500 เมตร ใช้เวลาโดยประมาณ 3 - 5 ชั่วโมง " นี่คงเป็นข้อความการันตีคุณภาพความโหดของเส้นทางขึ้นภูกระดึงได้เป็นอย่างดีครับ . . .
_________________ Life will knock us down . . . but we can choose to get back up.
|
|
Back to top |
|
|
|